บทที่ 202 ฟางชิวจะถูกไล่ออก?
บทที่ 202 ฟางชิวจะถูกไล่ออก?
[วิเคราะห์แล้ว วิดีโอเป็นของจริง]
[ตรวจสอบแล้ว ภาพก็ไม่ได้ถูกตัดต่อเช่นกัน]
ด้วยการปรากฏตัวของผู้เชี่ยวชาญด้านวิดีโอและภาพถ่ายที่มีชื่อเสียงบนเวยป๋อ ทำให้โลกออนไลน์ทั้งหมดระเบิดในทันที
[ของจริง? มันกลายเป็นของจริง?]
[ฮ่าฮ่า พวกที่สงสัย เมื่อรู้ความจริงกันแล้ว รู้สึกเสียใจไหม? ฉันรู้อยู่แล้วว่าศิลปะการต่อสู้ของจีนนั้นไม่ธรรมดาเลย!]
[ถ้างั้นมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิงก็น่าทึ่งจริง ๆ !]
[ในความคิดของฉัน ควรจะเรียกว่ามหาวิทยาลัยนี้ว่ามหาวิทยาลัยปีศาจ]
[นักศึกษาของมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิงอยู่ที่ไหน? ช่วยออกมายืนยันวิดีโอและภาพถ่ายเหล่านี้หน่อย]
[แต่ฉันยังสงสัยอยู่ดีว่าวิดีโอกับรูปภาพเหล่านี้เป็นของปลอม]
ทันใดนั้น ผู้คนจำนวนมากบนเวยป๋อต่างก็มองหานักศึกษาจากมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิง เพื่อพิสูจน์ว่าวิดีโอ รูปภาพ และข้อความเหล่านี้เป็นของจริงหรือไม่
หลังจากที่มองหาอยู่นานก็ยังไม่มีนักศึกษาคนไหนกล้าออกมายืนยัน
เวลาผ่านไปไม่นานก็มีคนตอบกลับมา
[นักศึกษาของมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิงไม่กล้าที่จะออกมายืนยัน เพราะการด่าทอของพวกคุณ ในเวลานี้ ใครจะกล้ายอมรับว่าตนเองเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิงกันล่ะ?]
จากนั้นคำตอบนี้ก็กลายเป็นไวรัล ทุกคนในเวยป๋อจึงรู้สึกหดหู่ใจ
ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า พวกนักศึกษาจะรู้สึกกลัวกับการกระทำบ้า ๆ บอ ๆ ของพวกเขาในเว็บบอร์ดของมหาวิทยาลัย
เนื่องจากไม่มีหนทางอื่นแล้ว ชาวเน็ตจึงทำได้เพียงคาดเดาความจริงของวิดีโอและภาพถ่ายของชายลึกลับต่อไป
ณ มหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิง
มันเป็นความจริงที่พวกนักศึกษาไม่อยากออกไปยืนยันความจริงของวิดีโอและภาพถ่ายของชายลึกลับ และไม่มีใครกล้าออกไปยืนยันด้วย
ข่าวที่ฟางชิวยอมรับคำท้าก็ได้แพร่กระจายไปทั่วมหาวิทยาลัยในทันที ซึ่งทำให้อาจารย์และนักศึกษาทุกคนตกตะลึง
แม้แต่อาจารย์ที่พร้อมจะรับคำท้าก็ยังตกตะลึง
ใครจะคิดว่าคนที่ยอมรับคำท้าอย่างเปิดเผยบนเวยป๋อ จะอยู่ในมหาวิทยาลัยและอยู่ใกล้ตัวพวกเขาอย่างนี้
แม้ว่าพื้นฐานของฟางชิวจะแข็งแกร่ง แต่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเอาชนะคำท้าในการวินิจฉัยชีพจรตั้งครรภ์ ไม่ต้องพูดถึงอาจารย์เลย แม้แต่นักศึกษาด้วยกันเองก็ยังมองฟางชิวในแง่ไม่ดี
พวกเขารู้สึกว่า ฟางชิวประเมินตัวเองสูงเกินไป และมีความอวดดีหลังจากที่เขาได้รับรางวัลชนะเลิศในการแข่งขันความรู้
พูดตามตรง ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เต็มใจที่จะสนับสนุนฟางชิว เพราะท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเพื่อนร่วมสถาบันกัน ในใจคนเหล่านี้บางส่วนแอบเอาใจช่วย แต่ทว่าการกระทำของฟางชิวในครั้งนี้ มันอยู่เหนือความคาดหมายไปอย่างสิ้นเชิง
หากอาจารย์คนใดคนหนึ่งในมหาวิทยาลัยเป็นผู้ยอมรับคำท้าเอง พวกเขาจะสนับสนุนอย่างแน่นอน
ทว่าคนที่รับคำท้ากลายเป็นฟางชิวซะงั้น!
ในมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิง ทุกคนยังคงสงบนิ่ง
ทว่านอกมหาวิทยาลัย นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนแห่งอื่น ๆ ก็ปรากฏตัวทีละคนด้วยความโกรธและเข้าร่วมกลุ่มในการประณามฟางชิว
[ฉันเคยได้ยินเรื่องราวของฟางชิวมานานแล้ว ฉันคิดว่าเขาเป็นอัจฉริยะ แต่ไม่นึกว่าจะเป็นคนโง่ด้วย]
[ฉันก็เป็นนักศึกษาปีหนึ่งเหมือนกัน ฟางชิวคนนี้ไม่รู้จักการประมาณตนเองเลยจริง ๆ เขากล้าดียังไงไปยอมรับคำท้าด้วยความรู้เพียงน้อยนิด]
[ถูกต้อง ดีแค่ไหนแล้วที่นักศึกษาใหม่จะมีความเชี่ยวชาญความรู้พื้นฐานของการแพทย์แผนจีน แต่จะเป็นไปได้ยังไงที่นักศึกษาใหม่จะมีความเชี่ยวชาญในการจับชีพจร]
[มหาวิทยาลัยของพวกเราได้เข้าร่วมการแข่งขันด้วย ผลงานของฟางชิวนั้นดีมากจริง ๆ ตอนแรกฉันคิดว่าเขาจะกลายเป็นดาวดวงใหม่ของวงการแพทย์แผนจีนในอนาคตซะอีก แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นแค่คนโง่คนหนึ่ง!]
[ตอนนี้ฉันรู้สึกอายที่จะยอมรับว่ามหาวิทยาลัยของฉันก็มีส่วนร่วมในการแข่งขันความรู้ด้วยเหมือนกัน]
ขณะที่นักศึกษาของแต่ละมหาวิทยาลัยมุ่งเป้าไปที่ฟางชิว หานอวี่เซวียนที่เคยพ่ายแพ้ให้กับฟางชิวมาแล้วหลายครั้งก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาหลังจากได้ยินข่าว “ฉันคิดผิดที่ถือว่านายเป็นคู่แข่งของฉัน! ”
“อนิจจา… ทำไมฉันถึงต้องมาเจอคู่แข่งที่ไร้สมองแบบนี้ด้วยนะ”
“แชมป์ในการแข่งขันความรู้?”
“ฟางชิว นายไม่ได้เก่งไปกว่าใครเลย!”
…
ในมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิง หลังจากปิดเว็บบอร์ดแล้ว เจ้าหน้าที่แผนกเครือข่ายของมหาวิทยาลัยก็รายงานสถานการณ์ที่ผิดปกตินี้ให้เฉินอินเซิงทราบทันที
“อะไรนะ?!” เสียงคำรามด้วยความโกรธดังไปทั่วอาคารสำนักงานของผู้บริหารมหาวิทยาลัย
เฉินอินเซิงที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ดูกลัดกลุ้มใจมาก ดวงตาของเขาแดงก่ำ และลมหายใจหอบหนัก
“ให้ตายเถอะ! ฟางชิว!” เมื่อการหายใจของเฉินอินเซิงกลับมาเป็นปกติ เขาก็เริ่มตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง
เพราะเรื่องการท้าทายของการวินิจฉัยชีพจรตั้งครรภ์กับเรื่องของจางซินหมิง ทำให้เฉินอินเซิงอารมณ์เสียมาก เพื่อดูแลความเรียบร้อยของอาจารย์และนักศึกษา เฉินอินเซิงจึงไม่มีอารมณ์จะไปจัดการกับฟางชิว
แต่ตอนนี้ เมื่อได้ยินรายงานจากแผนกเครือข่ายแล้ว เฉินอินเซิงก็โกรธจัด เพราะไม่เคยคาดคิดว่าผู้ที่ยอมรับคำท้าจะเป็นฟางชิว!
มันเหมือนฝันร้าย เวลาที่เขาได้ยินชื่อของฟางชิวทีไรก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นตระหนก เมื่อก่อนเคยคิดว่าฟางชิวจะเป็นดาวนำโชคของมหาวิทยาลัย แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นดาวหายนะมากกว่า!
ตราบใดที่เวลามีคนกล่าวถึงฟางชิว มันก็มักจะมีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นอยู่เสมอ!
แม้ว่าเฉินอินเซิงจะให้ฟางชิวอยู่ในหมวดหมู่ตัวซวยมานานแล้ว แต่ยังคาดไม่ถึงว่าเจ้านั่นจะนำปัญหาใหญ่มาให้อย่างนี้!!
บัดซบ!
โลกออนไลน์สั่นสะเทือนเพราะฟางชิว ยิ่งไปกว่านั้น ชาวเน็ตต่างมาสร้างความปั่นป่วนในเว็บบอร์ดของมหาวิทยาลัย
จบแล้ว!
มหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิงจบสิ้นแล้ว!
ในอนาคต เขาจะกล้าไปยุ่งเกี่ยวกับการแพทย์แผนจีนได้อย่างไร!
“คุณ…”
หลังจากนั้นไม่นาน เฉินอินเซิงก็เงยหน้าขึ้น แล้วมองคนที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะ ก่อนจะออกคำสั่งว่า “ไปแจ้งผู้บริหารมหาวิทยาลัยทั้งหมดให้เข้าร่วมการประชุม คณบดีและรองคณบดีทุกคนก็ต้องเข้าร่วมการประชุมด้วย!”
เนื่องจากเห็นว่าเฉินอินเซิงกำลังโกรธเคือง เจ้าหน้าที่จะกล้าประวิงเวลาได้อย่างไร? เขารีบวิ่งออกจากสำนักงานทันทีเพื่อแจ้งให้ผู้บริหารทุกคนทราบ
เมื่อเจ้าหน้าที่ออกไปแล้ว เฉินอินเซิงก็ลุกยืนขึ้น เขาอดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่นแล้วกระแทกลงบนโต๊ะอย่างแรง
เวลานี้เขาโกรธมาก!
โกรธจนแทบคลั่ง!
“ฟางชิว แกต้องการที่จะโยนปัญหาให้กับมหาวิทยาลัยทั้งหมดโดยไม่คิดถึงผลที่ตามมาเลยหรือไง?” เสียงคำรามด้วยความโกรธดังออกมาจากลำคอของเฉินอินเซิง เขารู้ดีว่าฟางชิวทำเรื่องนี้เพื่อต่อต้านเขา
เพราะเขาไม่อนุญาตให้ไปเป็นผู้ช่วยแพทย์ ไม่ให้เปิดคลาสบรรยายในที่สาธารณะ และไม่ให้รางวัล รวมถึงทุนการศึกษาด้วย ดังนั้นฟางชิวจึงทำสิ่งนี้เพื่อแก้แค้นเขากับมหาวิทยาลัย!
สิ่งสำคัญก็คือ ข้อมูลประจำตัวบนเวยป๋อ ได้เน้นเป็นพิเศษว่าฟางชิวเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิง
ฟางชิว แกช่างไร้ความปรานีจริง ๆ !
แกต้องการอะไรกันแน่?
ในขณะนี้ เฉินอินเซิงรู้สึกเสียใจอย่างกะทันหัน เขาเสียใจที่บีบบังคับฟางชิวมากไป บางทีถ้าดีกับฟางชิวมากกว่านี้ ง ฟางชิวคงจะไม่ทำเรื่องแบบนี้ แต่ตอนนี้ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะย้อนเวลากลับไปแก้ไข
ดังนั้นความเกลียดชังของเฉินอินเซิงที่มีต่อฟางชิวจึงทวีคูณเพิ่มขึ้นหลายเท่า!!
“รอก่อนเถอะ!” เฉินอินเซิงเหวี่ยงหมัดอย่างรุนแรงและคำรามออกมาด้วยความโกรธ “ถ้าฉันจัดการแกไม่ได้ ก็อย่ามาเรียกชื่อฉันว่าเฉินอินเซิงเลย!”
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
คณบดีของแต่ละคณะและผู้บริหารทุกคนที่กลับบ้านไปก่อนหน้านี้แล้ว ก็กลับมาที่มหาวิทยาลัยอีกครั้ง
ในห้องประชุมของอาคารสำนักงานผู้บริหารมหาวิทยาลัย ทุกคนนั่งลงอย่างเรียบร้อยเพื่อรอเฉินอินเซิงคนเดียว
เนื่องจากเรื่องนี้แพร่สะพัดทางออนไลน์ ผู้บริหารเกือบครึ่งจึงได้รู้เรื่องนี้แล้ว ช่วงหลายนาทีนี้ที่พวกเขากำลังรอเฉินอินเซิงด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง
ซึ่งพวกเขาส่วนใหญ่เป็นแพทย์แผนจีนที่มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง ในสายตาของพวกเขา มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ฟางชิวจะชนะการท้าทายนี้ นักศึกษาปีหนึ่งจะวินิจฉัยการตั้งครรภ์โดยการจับชีพจรได้อย่างไร?
นี่มันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน!
ไม่ต้องพูดถึงนักศึกษาปีหนึ่งเลย แม้แต่ตัวพวกเขาเองก็ยังไม่มีความมั่นใจเช่นกัน
เหล่าผู้บริหารอีกครึ่งหนึ่งที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย มองดูไปรอบ ๆ ด้วยความมึนงง
การแสดงออกที่รุนแรงของคนรอบข้างทำให้พวกเขาสับสน พวกเขาสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมบรรยากาศถึงแลดูอึมครึมขนาดนี้
หลังจากนั้นไม่นาน เฉินอินเซิงก็เข้ามา และมีเจ้าหน้าที่สองคนเดินตามหลังเขาเข้ามาด้วย ทันทีที่เขาก้าวเข้าไปในห้องประชุม เจ้าหน้าที่สองคนก็วิ่งไปยังโปรเจ็กเตอร์ทันที
เฉินอินเซิงนั่งลงบนเก้าอี้ของตำแหน่งประธานด้วยใบหน้าที่เศร้าหมอง ก่อนจะจ้องไปที่หน้าจออย่างไม่วางตา
เมื่อเห็นดังนั้น ทุกคนจึงเริ่มหันหน้าไปที่หน้าจอเช่นกัน
ในเวลานี้ ภายใต้การควบคุมของเจ้าหน้าที่สองคน ภาพหน้าเข้าสู่ระบบของเวยป๋อก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอทันที หลังจากเข้าสู่ระบบเวยป๋อแล้ว พวกเขาก็ค้นหาบัญชีที่ชื่อว่า ‘แกมันก็งั้น ๆ แหละ’ แล้วคลิกเข้าไปที่หน้าแรก
หลังจากที่ได้รับคำแนะนำจากเฉินอินเซิงล่วงหน้าแล้ว เจ้าหน้าที่จึงแสดงข้อมูลการระบุตัวตนของบัญชีนี้ให้แก่ผู้บริหารทุกคนดู รวมถึงข้อความทั้งหมดที่ฟางชิวโพสต์ด้วย
ในช่วงเวลาต่อมา
“…”
ทุกคนต่างอ้าปากค้างทันที
เมื่อดูความคิดเห็นเหล่านั้นบนเวยป๋อ พวกเขาก็พบว่ามีการแสดงความคิดเห็นเกือบหนึ่งแสน และมีการรีโพสต์หลายหมื่นครั้ง แต่ความคิดเห็นทั้งหมดเป็นการด่าทอฟางชิว และไม่มีความคิดเห็นไหนที่กล่าวในทางที่ดีเลย
และบางคนถึงขั้นด่ามหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิงด้วยความหยาบคาย
เมื่อมองดูภาพตรงหน้าแล้ว ผู้บริหารทุกคนก็เปลี่ยนสีหน้าทันที และในตอนนี้เหล่าผู้บริหารที่ไม่รู้ความจริงต่างก็ตกตะลึง
“ช่วยบอกฉันทีว่าควรจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง” หลังจากที่ทุกคนดูเสร็จแล้ว เฉินอินเซิงก็เอ่ยถามขึ้นมา
ในห้องประชุม
ทุกคนต่างพากันเงียบกริบ ไม่มีใครรู้ว่าควรจะต้องทำอย่างไรดี ขนาดรองอธิการบดียังไม่รู้ แล้วพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรกัน
ไม่มีใครคาดคิดว่าฟางชิวที่เป็นแค่นักศึกษาปีหนึ่งจะกล้าได้กล้าเสียมากขนาดนี้ เขากล้าที่จะท้าทายคนอื่นบนเวยป๋อ!
แม้แต่ฉีไคเหวินเองยังตกตะลึง เขาคิดไม่ถึงว่าฟางชิวจะมีความกล้าหาญมากขนาดนี้ อีกทั้งกล้าดีอย่างไรที่ไปยอมรับคำท้าของผู้อื่นหลังจากที่เรียนรู้ได้เพียงไม่กี่เดือน
แน่นอนว่าทุกคนในห้องประชุมรวมถึงฉีไคเหวินด้วย ไม่มีใครเชื่อว่าฟางชิวจะชนะ
“พูดมา!” เฉินอินเซิงตะโกนขึ้นมา เพราะที่เขาเรียกทุกคนให้มาประชุมกันในวันนี้ก็เพื่อหาทางออก ถ้าไม่มีใครพูดออกมา แล้วการประชุมจะมีความหมายได้อย่างไร?
“ฉันมีข้อเสนอ” รองคณบดีคนหนึ่งเปิดปากพูด “พวกเราควรไล่ฟางชิวออก!”
ได้ยินแบบนั้นแล้ว ทุกคนก็ตัวแข็งทื่อทันที
รองคณบดีคนนั้นกล่าวเสริมว่า “ตราบใดที่นักศึกษาที่ชื่อฟางชิวถูกไล่ออก ปัญหาเหล่านั้นก็จะเป็นปัญหาส่วนตัวของเขาเอง แล้วจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยของพวกเราอีก”
ผู้บริหารหลายคนพยักหน้าเห็นด้วย เพราะพวกเขาไม่ต้องการให้นักศึกษาคนเดียวทำลายเกียรติของมหาวิทยาลัย
ไล่ฟางชิวออกถือว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด
แต่ในช่วงเวลาต่อมา ก่อนที่เฉินอินเซิงจะพูดอะไรออกมา จู่ ๆ ฉีไคเหวินก็ยืนขึ้นและพูดอย่างหนักแน่นว่า “พวกเราทำแบบนั้นไม่ได้!”
เป็นเหตุให้ทุกคนหันไปมองฉีไคเหวินเป็นตาเดียว
พวกเขาพากันคิดในใจว่า เนื่องจากฟางชิวเป็นนักศึกษาของคณะแพทย์แผนจีน และผลงานของฟางชิวก็ดีมากเช่นกัน นี่จึงเห็นได้ชัดว่าในฐานะคณบดี ฉีไคเหวินกำลังปกป้องฟางชิวอยู่
แต่มันไม่ถูกเวลา! เพราะเวลานี้การกระทำของชายหนุ่มกำลังจะนำความอับอายมาสู่มหาวิทยาลัย
“จะทำแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด!” เมื่อมองไปที่ผู้บริหารทุกคน ฉีไคเหวินก็พูดอย่างยุติธรรมว่า “ถ้าพวกเราไล่ฟางชิวออกในเวลานี้ พวกเราก็จะตกเป็นจำเลยของสังคม ทุกคนจะคิดว่าพวกเรากระตือรือร้นที่จะแยกตัวออกจากฟางชิว แล้วทีนี้พวกนักศึกษาจะคิดยังไงกับพวกเรา? สมาชิกของวงการแพทย์แผนจีนจะคิดยังไง? แล้วมหาวิทยาลัยอื่นล่ะจะคิดยังไง?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนก็คิดว่าสิ่งที่ฉีไคเหวินพูดนั้นไม่ผิด แต่ถ้าการไล่ฟางชิวไม่เหมาะสม แล้วพวกเขาจะทำอะไรได้อีก?
“ถ้าอย่างนั้น คุณก็ช่วยบอกฉันทีว่าพวกเราควรจะทำอย่างไรดี?” เฉินอินเซิงจ้องมองที่ฉีไคเหวิน แล้วเอ่ยถามอย่างเย็นชา