คุรุการแพทย์ – บทที่ 207 เวลาและสถานที่ได้ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการแล้ว!

คุรุการแพทย์

บทที่ 207 เวลาและสถานที่ได้ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการแล้ว!

บทที่ 207 เวลาและสถานที่ได้ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการแล้ว!

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

แล้วเวลาครึ่งวันในตอนเช้าก็หมดไป…

หลังจากที่ฟางชิวกับสวีเมี่ยวหลินเสร็จสิ้นการตรวจชีพจรในแถวแล้ว พวกเขาก็ไปที่แผนกนรีเวชวิทยาต่อ ด้วยการที่สวีเมี่ยวหลินได้พูดคุยกับผู้บริหารของโรงพยาบาลล่วงหน้าแล้ว ทำให้พวกเขาไปที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น

ยิ่งไปกว่านั้น ทางโรงพยาบาลยังส่งแพทย์คนหนึ่งมาติดตามพวกเขาด้วย ไม่ว่าจะไปที่ไหน แพทย์ผู้ติดตามก็จะแนะนำกับคนอื่นว่า …พวกเขาทั้งสองคนเป็นแพทย์แผนจีนที่เก่งมากและมาที่นี่เพื่อตรวจชีพจร

เมื่อทุกคนได้ยินแบบนั้นแล้ว…

พวกเขาก็คิดว่าของดีแบบนี้จะพลาดได้อย่างไรกัน หลายคนจึงเข้ามาให้ฟางชิวกับสวีเมี่ยวหลินจับชีพจร

แต่ฟางชิวก็รู้สึกสับสนมาก

“อาจารย์สวี ผมไม่เข้าใจ”

หลังจากจับชีพจรไปแล้วหลายราย ฟางชิวก็หันไปหาสวีเมี่ยวหลิน “ผมเข้าใจว่าพวกเราต้องอยู่ที่แผนกสูติที่เดียวซะอีก แต่ทำไมถึงต้องมาแผนกนรีเวชวิทยาด้วยครับ”

“ก็มาจับชีพจรไง ถามได้?” สวีเมี่ยวหลินทำให้ฟางชิวรู้สึกพูดไม่ออกอีกครั้ง ชายหนุ่มจึงต้องก้มหน้าก้มตาจับชีพจรต่อไป

ในแผนกนรีเวชวิทยา มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก บางคนยังเด็กและบางคนก็อยู่ในวัยกลางคนแล้ว

ฟางชิวไม่รู้ว่าสวีเมี่ยวหลินกำลังคิดอะไรอยู่ แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงชีพจรปกติ เขาจะผลักชีพจรปกติทั้งหมดไปให้สวีเมี่ยวหลินจัดการต่อ

ด้วยเหตุนี้ สวีเมี่ยวหลินจึงได้เปิดโลกทัศน์ของฟางชิวให้กว้างขึ้นมาก

และนี่เป็นครั้งแรกที่ฟางชิวเห็นว่าสวีเมี่ยวหลินช่างพูดเหลือเกิน เพราะผู้หญิงเกือบทุกคนที่ถูกสวีเมี่ยวหลินจับชีพจรจะพากันยิ้มแย้มแจ่มใสด้วยความปีติ

ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขากำลังคุยกันในหัวข้อสนทนาเรื่อยเปื่อย แต่พอตั้งใจฟังจะพบว่าอาจารย์ผู้นี้แค่บอกเหล่าสตรีว่าสิ่งที่ควรใส่ใจมีอะไรบ้าง วิธีดูแลความงามกับความขาวใส และอื่น ๆ คำพูดของสวีเมี่ยวหลินเต็มไปด้วยสาระความรู้ ทั้งยังมีความเข้าอกเข้าใจผู้หญิงมาก

ฟางชิวพูดไม่ออก เพราะปกติสวีเมี่ยวหลินจะไม่พูดมาก แต่ทำไมเวลาที่อยู่ในแผนกนรีเวชวิทยาถึงพูดไม่หยุดเลยล่ะ? เหตุผลที่เขามาที่แผนกนรีเวชวิทยาคงไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตนหรอกใช่ไหม?

ขณะที่ฟางชิวกำลังแอบคาดเดา หญิงสาวในวัยยี่สิบปีคนหนึ่งก็เดินมานั่งที่โต๊ะตรวจ

เห็นดังนั้นชายหนุ่มจึงจับชีพจรของเธอ

“หืม?” ขณะที่จับชีพจรฟางชิวก็เหลือบมองเธอด้วยความประหลาดใจ เพราะรู้สึกได้ถึงชีพจรลื่นเล็กน้อย

“ยินดีด้วย คุณกำลังตั้งครรภ์” หลังจากยืนยันสภาพชีพจรแล้ว ฟางชิวก็พูดออกไปทันที

“อะไรนะ?” หญิงสาวแปลกใจจึงรีบถามออกไป “จริงเหรอคะ”

“ประจำเดือนของฉันมาช้าก็จริง แต่ผลตรวจครรภ์ไม่ได้บอกว่าฉันท้องนะคะ” หญิงสาวรู้สึกงงงวย

“ยินดีด้วยครับ” ฟางชิวพยักหน้าด้วยความมั่นใจ “คุณท้องจริง ๆ”

“นี่…” หญิงสาวพูดอย่างกระวนกระวาย “ฉันไม่เข้าใจจริง ๆ เพราะมาที่นี่เพื่อตรวจดูว่าทำไมประจำเดือนถึงมาช้า และไม่ได้มาตรวจครรภ์ด้วย”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฟางชิวก็ตกตะลึงนิ่งงันไปชั่วขณะ เธอไม่ได้ท้องเหรอ? แต่เขาสัมผัสได้ถึงชีพจรตั้งครรภ์นะ!

หลังได้ยินการสนทนาทั้งสอง สวีเมี่ยวหลินก็พูดขึ้น “มานี่สิ มาให้ฉันดูหน่อย”

หญิงสาวรู้สึกกังวลเล็กน้อย เธอมองไปที่ฟางชิวด้วยใบหน้าแดงก่ำ เนื่องจากเธอแค่มาตรวจโรค แต่ทำไมจู่ ๆ ถึงท้องกะทันหันได้

ที่สำคัญเธอยังเด็กอยู่เลยและยังไม่ได้แต่งงาน ถ้าข่าวนี้แพร่ออกไปความบริสุทธิ์ของเธอคงจะหายไปด้วย

“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันดูให้เอง” สวีเมี่ยวหลินรีบเดินไปข้างหน้าเพื่อปลอบประโลมหญิงสาว “การตรวจชีพจรตั้งครรภ์มีความผิดพลาดได้ง่าย ดังนั้นฉันจะตรวจสอบให้ใหม่อีกครั้ง” ขณะที่พูดสวีเมี่ยวหลินก็เริ่มจับชีพจรทันที

หลังจากที่จับชีพจรแล้ว สวีเมี่ยวหลินก็ยิ้มและถามว่า “ประจำเดือนของคุณไม่มานานแค่ไหนแล้ว?”

“…ประมาณหนึ่งเดือนสิบวันค่ะ” หญิงสาวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตอบ

“เมื่อก่อนประจำเดือนมาปกติไหมครับ? บางครั้งมาช้าหรือมาไวด้วยหรือเปล่า” สวีเมี่ยวหลินยังคงถามต่อไป

“ไม่ค่อยปกติเท่าไร” หญิงสาวตอบว่า “จะมาช้าสองสามวันทุกเดือน แต่ก็ไม่นานเท่าครั้งนี้”

“เร็ว ๆ นี้คุณได้มีเพศสัมพันธ์หรือเปล่าครับ” สวีเมี่ยวหลินถามอีกครั้ง

หญิงสาวหน้าแดงรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “มะ… ไม่มี”

“อืม… ในกรณีนี้ คุณไม่ได้ท้อง” สวีเมี่ยวหลินพูดด้วยรอยยิ้ม “เดี๋ยวไม่กี่วันข้างหน้าประจำเดือนก็จะมาแล้ว ฉะนั้นควรพักผ่อนและควบคุมอาหารในตอนกลางคืน อย่าดื่มเครื่องดื่มเย็น ๆ และถ้าเกิดภาวะเลือดจาง คุณควรดื่มน้ำที่ใส่น้ำตาลทรายแดงเพื่อให้เลือดมีความสมบูรณ์มากขึ้น”

“ฟู่…” เมื่อได้ยินเช่นนั้น หญิงสาวก็ถอนใจออกมายาว ๆ ด้วยความโล่งอก “ขอบคุณค่ะคุณหมอ”

“ด้วยความยินดีครับ” สวีเมี่ยวหลินยิ้มและพยักหน้า หญิงสาวก็ขอบคุณเขาอีกครั้ง ก่อนจะมองฟางชิวด้วยแววตาคาดโทษ หลังจากนั้นเธอก็หันหลังจากไป

เมื่อเห็นแบบนั้นแล้ว ฟางชิวก็ยิ้มไม่ออก ตอนนั้นเขารู้สึกได้ถึงชีพจรที่ลื่นไหลจริง ๆ แม้ว่าความรู้สึกนั้นจะไม่ชัดเจน แต่เป็นเรื่องจริง ทว่าทำไมเธอถึงไม่ได้ท้องล่ะ

“อาจารย์สวีครับ” เมื่อหญิงสาวจากไป ชายหนุ่มจึงรีบถามทันที “ผมรู้สึกได้ถึงชีพจรลื่นจริง ๆ แต่ทำไมเธอถึงไม่ได้ท้องล่ะครับ?”

“พ่อหนุ่ม เธอรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงพาเธอมาที่นี่ มันเป็นเพราะว่าชีพจรลื่นไม่ได้แปลว่าตั้งครรภ์เสมอไปน่ะสิ!”

สวีเมี่ยวหลินกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “เมื่อตั้งครรภ์จะต้องมีชีพจรลื่น แต่มีโอกาสสูงที่ผู้หญิงบางคนจะเกิดชีพจรลื่นก่อนมีประจำเดือน”

“ประโยคที่พูดว่า ‘คนทั่วไปที่มีชีพจรลื่นย่อมมีสารอาหารครบถ้วนและมีสุขภาพที่ดี’ หมายความว่าหากคนทั่วไปมีชีพจรลื่น แสดงว่าบุคคลนั้นได้รับสารอาหารครบถ้วน และนั่นก็แสดงว่ามีสุขภาพที่แข็งแรงเช่นกัน”

“ขณะที่ผู้หญิงมีประจำเดือนก่อนหรือหลังประจำเดือนมาสามวัน หรือในช่วงที่มีประจำเดือนสองครั้ง นั่นคือช่วงตกไข่ พวกเธออาจจะมีชีพจรลื่นได้ ดังนั้นพวกเราจึงไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าพวกเธอตั้งครรภ์ด้วยการตรวจชีพจรเพียงอย่างเดียว”

ฟางชิวรู้สึกตกตะลึง ถ้าเป็นเช่นนั้น …ก็แสดงว่าชีพจรตั้งครรภ์มีความซับซ้อนกว่าที่คิดเอาไว้มาก

“แล้วจะตัดสินยังไงว่าผู้หญิงคนนั้นท้องหรือไม่ท้องกันแน่” ฟางชิวรีบถาม

“เธอโง่หรือเปล่า” สวีเมี่ยวหลินมองผู้พูด “เธอต้อง ดู ดม ถาม และรู้สึก ไม่มีประโยชน์อะไรหากแค่รู้สึกถึงชีพจรเพียงอย่างเดียว”

“เธอต้องถามผู้หญิงเหล่านั้นก่อนว่าเพิ่งมีเพศสัมพันธ์มาหรือเปล่า เพราะถ้าไม่มีแล้วจะท้องได้ยังไง”

“ในขณะเดียวกันก็ต้องดูว่าประจำเดือนของผู้หญิงเหล่านั้นมาปกติไหม แล้วค่อยจับชีพจรเพื่อดูว่าสุขภาพดีหรือไม่ เป็นต้น”

เวลานี้ฟางชิวรู้สึกอับอายมาก เพราะเขาใช้แต่วิธีตรวจชีพจร

การดู ดมกลิ่น และการถามเป็นวิธีการวินิจฉัยเบื้องต้นและเป็นหัวใจหลักของการแพทย์แผนจีน

แต่เดิมเขาคุ้นเคยกับการวินิจฉัยทั้งสี่แล้ว แต่ในวันนี้ได้มาที่นี่เพื่อศึกษา ชั่วขณะหนึ่งก็หลงลืมการวินิจฉัยจากมุมมองของแพทย์ ยิ่งไปกว่านั้นความยากลำบากในการวินิจฉัยชีพจรตั้งครรภ์ก็ไกลเกินจินตนาการไปมาก ดังนั้นเขาจึงทำผิดพลาดโดยไม่ได้ตั้งใจ

“เอาละ เธอจับชีพจรต่อไปเถอะ” สวีเมี่ยวหลินกล่าว

ตลอดทั้งวัน สวีเมี่ยวหลินปล่อยให้ฟางชิวทำการวินิจฉัยชีพจร เมื่อฟางชิวประสบปัญหา เขาจะรีบอธิบายและให้คำแนะนำทันที ดังนั้น ฟางชิวจึงได้เรียนรู้มากขึ้นเรื่อย ๆ

ไม่นานก็ถึงเวลาเลิกงาน…

“วันนี้พอแค่นี้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากันต่อ” สวีเมี่ยวหลินเก็บข้าวของแล้วออกจากโรงพยาบาลกลางพร้อมกับฟางชิว

ในตอนเย็น เวยป๋อที่เคยเงียบสงบตลอดทั้งวันก็กลับมาวุ่นวายอีกครั้ง

ภายใต้ความคาดหวังของผู้คนทั้งหมด หลี่เหวินป๋อได้ประกาศสถานที่นัดหมายอย่างเป็นทางการ

[เวลา: 14:00 นาฬิกา สถานที่ : ห้องประชุม 3 ชั้น 21 อาคารจงเฟิง เนื่องจากได้รับความสนใจจากชาวเน็ตจำนวนมาก การนัดหมายนี้จะถูกถ่ายทอดสด @แกมันก็งั้น ๆ แหละ]

เมื่อโพสต์นี้ปรากฏขึ้นมา ทำให้ดึงดูดความสนใจจากผู้คนนับไม่ถ้วนทันที

และในเวลาเดียวกัน ฟางชิวที่เพิ่งกลับมาถึงมหาวิทยาลัยก็ได้รับข้อความแจ้งเตือนจากเวยป๋อ เขาเลยคลิกเข้าไปอย่างรวดเร็ว

ชายหนุ่มรีบรีโพสต์ทันทีโดยปราศจากความลังเล และตอบไปว่า [ตกลง!]

ขณะที่ฟางชิวตอบกลับ ชาวเน็ตก็พากันตื่นเต้น

สำหรับผู้ที่สนับสนุนการแพทย์แผนตะวันตก พวกเขาคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะกำจัดแพทย์แผนจีน และพิสูจน์ว่าการแพทย์แผนตะวันตกนั้นดีกว่า

แต่พวกที่สนับสนุนแพทย์แผนจีนก็บ่นไปตาม ๆ กัน เพราะไม่มีใครยอมรับตัวตนของฟางชิวในฐานะแพทย์แผนจีนเลย ในความคิดเห็นของพวกเขา …ชื่อเสียงของแพทย์แผนจีนจะถูกฟางชิวทำลายแน่นอน

ส่วนคนดูกลับตื่นเต้น เพราะพวกเขารอนานมากแล้ว ในที่สุดก็ไม่ต้องมาทนดูสงครามน้ำลายอีกต่อไป

แม้ว่าพวกเขาจะเป็นเพียงผู้แสวงหาความสุข แต่ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นคนจีน และทุกคนต่างอยากเห็นว่าการแพทย์แผนจีนมีมนต์ขลังเหมือนที่กล่าวไว้ในตำนานจริงหรือไม่

และถึงพวกเขามักจะตรวจโรคกับแพทย์แผนตะวันตก แต่ในการท้าทายนี้ ผู้ชมยังคงหวังว่าการแพทย์แผนจีนจะชนะ

เพราะอย่างน้อยการแพทย์แผนจีนก็เป็นของพวกเรา และเป็นแก่นแท้ของวัฒนธรรมจีน!

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในขณะที่การถกเถียงอย่างเผ็ดร้อนกำลังแพร่กระจายออกไป ผู้คนจำนวนมากก็ให้ความสนใจกับการท้าทายเรื่องชีพจรตั้งครรภ์

ทุกคนต่างรอคอยวันนัดหมายที่จะมาถึง

วันรุ่งขึ้น ฟางชิวยังคงติดตามสวีเมี่ยวหลินไปที่โรงพยาบาลกลางเพื่อเรียนรู้

ชายหนุ่มใช้เวลาทั้งวันในการเรียนรู้การวินิจฉัยชีพจรตั้งครรภ์

ตามคำพูดของสวีเมี่ยวหลิน เดิมทีการเรียนรู้ชีพจรตั้งครรภ์ไม่ใช่เรื่องยาก แต่สิ่งที่ยากคือการแยกแยะรายละเอียดต่าง ๆ

เนื่องจากในการวินิจฉัยชีพจร สภาวะชีพจรของผู้หญิงส่วนใหญ่เป็นชีพจรแบบลื่น และเป็นเรื่องยากที่สุดที่จะระบุได้อย่างสมบูรณ์ว่าตั้งครรภ์หรือไม่จากรายละเอียดปลีกย่อยของสภาวะชีพจรเหล่านี้

แน่นอนว่า สวีเมี่ยวหลินยังคงอธิบายอย่างตั้งใจกับฟางชิวในเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้เขาเข้าใจรายละเอียดปลีกย่อยของชีพจรได้

ด้วยวิธีนี้เท่านั้น ฟางชิวถึงจะมีโอกาสชนะมากขึ้น เพราะท้ายที่สุดแล้ว หลี่เหวินป๋อก็ไม่ใช่ตะเกียงที่ประหยัดน้ำมัน*[1]

เนื่องจาก หลี่เหวินป๋อสามารถสร้างเรื่องราวจนใหญ่โตขนาดนี้ได้ แน่นอนว่าคงจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อทำให้ฟางชิวลำบาก และจะต้องมีผู้หญิงบางคนที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ในหมู่คนที่หลี่เหวินป๋อพามา

แต่สำหรับฟางชิวแล้ว …ไม่มีทางลัดที่จะเอาชนะหลี่เหวินป๋อได้เลย มีแค่ทางเดียวเท่านั้นนั่นก็คือการเรียนและการสั่งสมประสบการณ์!!

นี่คือเหตุผลที่สวีเมี่ยวหลินพาฟางชิวมาที่แผนกสูติกับแผนกนรีเวชวิทยาในโรงพยาบาลกลาง

แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่โชคดีที่ที่นี่มีผู้คนมากมาย และชายหนุ่มก็เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้นสวีเมี่ยวหลินยังคอยสอนอยู่ข้าง ๆ ตลอดเวลา ทำให้ฟางชิวมีประสบการณ์และความเข้าใจมากขึ้นเรื่อย ๆ

หลังจากเรียนรู้มาทั้งวันแล้ว ชายหนุ่มก็เริ่มมีความมั่นใจมากขึ้น

หลังเลิกงาน ทั้งสองก็เดินออกจากโรงพยาบาลพร้อมกัน

“…เรียนสองวันก็พอแล้วแหละเนอะ” สวีเมี่ยวหลินยืนอยู่หน้าประตูโรงพยาบาลพร้อมหายใจเข้าลึก “สองวันที่ผ่านมาฉันเหนื่อยแทบตาย ฉันสอนทุกอย่างที่สอนได้ให้เธอไปหมดแล้ว ฉะนั้น… ที่เหลือขึ้นอยู่กับตัวเธอแล้ว”

“เรียนแค่นี้เองเหรอครับ?” ฟางชิวมองไปที่สวีเมี่ยวหลินด้วยความประหลาดใจ

“แล้วจะต้องเรียนนานแค่ไหนกันล่ะ?” สวีเมี่ยวหลินชำเลืองมอง “เธอได้เรียนรู้เกือบจะทุกอย่างที่เกี่ยวกับชีพจรตั้งครรภ์แล้ว แม้ว่าจะเรียนต่อไป มันก็เปลืองเวลาและเสียพลังงานไปโดยเปล่าประโยชน์ ตราบใดที่จำสิ่งที่เรียนรู้ในสองวันที่ผ่านมาได้ มันก็เพียงพอแล้ว”

พูดตามตรง ความสามารถในการดูดซับและย่อยความรู้ของฟางชิวทำให้เขาประหลาดใจมากจริง ๆ

เขาคิดว่าจะต้องใช้เวลาสามวันกว่าเจ้าหนุ่มนี่จะเข้าใจอย่างถ่องแท้ แต่สุดท้ายก็จบลงในสองวัน

ลูกศิษย์คนนี้ยอดเยี่ยมมาก จนรู้สึกว่าตนไม่ใช่อาจารย์…

“อาจารย์สวี อาจารย์ขาดความรับผิดชอบเกินไปหรือเปล่า” ฟางชิวยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “อาจารย์เป็นคนยอมรับคำท้าและสัญญาว่าจะสอนผม แต่สอนผมแค่สองวันอย่างนี้เนี่ยนะ ถ้าเกิดผมแพ้ขึ้นมา อาจารย์จะไม่เสียหน้าเหรอ?”

“ฉันจะเสียหน้าได้ไง” สวีเมี่ยวหลินจ้องมองชายหนุ่ม “ในเมื่อเธอเป็นคนรับนัดหมายเอง ความอับอายก็ต้องเป็นของเธอสิ และเกียรติยศก็เป็นของเธอเช่นกัน การชนะหรือแพ้ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันเลย”

ฟางชิว “…”

ไม่ใช่อาจารย์หรือที่ยอมรับคำท้าให้เขา…

“การทำงานและการพักผ่อนที่มีความสมดุลกัน ถือว่าเป็นแนวทางที่ดี” สวีเมี่ยวหลินยกยิ้ม “ไอ้หนู เธอควรเที่ยวดื่มกินให้มากกว่านี้นะ บางทีอาจจะไม่มีโอกาสอีกในอนาคต ตอนนี้เธอยังเหลือเวลาอยู่ ดังนั้นจงใช้ชีวิตให้คุ้มซะ”

“พูดอะไรดี ๆ หน่อยไม่ได้เหรอคร้าบบบ” ฟางชิวส่ายหัวอย่างจนปัญญา “อาจารย์ทำให้ผมรู้สึกว่าพรุ่งนี้ผมจะตายอย่างงั้นแหละ…”

[1]เป็นสำนวน หมายถึง คนที่เรื่องมากมักจะสร้างความยุ่งยากให้ผู้อื่นเสมอ

คุรุการแพทย์

คุรุการแพทย์

Status: Ongoing
เขาตั้งใจจะมาศึกษาวิชาแพทย์แผนจีนเพื่อรักษาผู้มีพระคุณแท้ ๆ แต่ไหงชีวิตถึงได้มีเรื่องวุ่นวายเข้ามาตลอด แบบนี้ความคิดที่จะเรียนแบบเงียบ ๆ ไม่แสดงฝีมือจะเป็นจริงไหมเนี่ย?ฟางชิว ชายหนุ่มวัยสิบเจ็ดหมาด ๆ นักศึกษาน้องใหม่มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิง แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเจ้าห้าแห่งห้องพักห้าศูนย์หนึ่ง แต่แท้จริงแล้วฟางชิวนั้นซุกซ่อนอีกตัวตนหนึ่งเอาไว้ภายใต้หน้ากาก… เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์มากฝีมือ! แต่เพื่อชีวิตปกติสุขในมหาวิทยาลัย และเป้าหมายสำคัญของชีวิตอย่างการรักษาผู้มีพระคุณ! ฟางชิวคนนี้จึงพยายามไม่เป็นที่สนใจ แต่สุดท้ายก็อดใจไม่ไหว ต้องใช้พลังช่วยเหลือผู้คนทุกทีไปซิน่า! แล้วไหนจะเทพธิดามหาลัยที่เข้ามาเกี่ยวพันในชีวิตอีก! แบบนี้ชีวิตปกติสุขที่เขาคาดหวังเอาไว้จะพังทลายลงหรือไม่ ฟางชิวจะจัดการเรื่องวุ่นวายและใช้พลังช่วยชีวิตผู้คนในคราบนักศึกษาไร้วรยุทธ์ได้อย่างไร มาร่วมปลดล็อคสกิลพระเอกเทพไปด้วยกันกับคุรุการแพทย์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน