ตอนที่ 14 เด็กหนุ่ม
ในห้องทางปีกตะวันตก
หยุนเชวี่ยรินน้ำชาด้วยท่าทีนอบน้อม ก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างประคองถ้วยชาแล้วยื่นให้หยุนลี่เต๋อ “ท่านพ่อ ข้าผิดไปแล้ว ท่านอย่าโมโหเลยนะ”
“ท่านพ่อ เป็นข้าเองที่ไม่ดี ข้าไม่รู้จักห้ามปรามเชวี่ยเอ๋อ นางยังเด็กจึงยังไม่รู้ความ ท่านพ่ออย่าโกรธนางเลย” หยุนเยี่ยนก้มศีรษะลง ประสานนิ้วมือไว้แนบแน่น
เสี่ยวอู่มองมาด้วยดวงตาสีดำขลับ ไร้ระรอกคลื่น “เป็นเพราะข้าอยากกินเนื้อ”
เด็กทั้งสามยืนเรียงกันด้วยท่าทีสำนึกผิดอย่างสุดซึ้ง หัวใจของหยุนลี่เต๋อถึงกับอ่อนยวบ
หยุนเชวี่ยสัมผัสได้ถึงพื้นฐานจิตใจของเขา หยุนลี่เต๋อเป็นคน แข็งนอกอ่อนใน ยอมจำนนต่อผู้อ่อนแอแต่ไม่ยอมแพ้ผู้แข็งแกร่ง ความจริงแล้วในใจของเขารักภรรยาและลูกมาก เพียงแต่ไม่เคยเอ่ยออกมาเท่านั้น
ข้อบกพร่องที่เห็นได้ชัดคือซื่อสัตย์และใจดีเกินไป เขาไม่ใช่คนโง่เขลา เพียงแต่กตัญญูรู้คุณบิดามารดา
ใด ๆ ในโลกล้วนไม่สมบูรณ์แบบ เมื่อเปรียบเทียบกับหยุนลี่จงและหยุนลี่เซี่ยวแล้ว หยุนเชวี่ยคิดว่าพ่อไร้ค่าของนางยังดีกว่ามาก ไม่ถึงขั้นเกินเยียวยา
“ใช่ความผิดของเด็ก ๆ ที่ไหนกัน? ทั้งหมดเป็นเพราะแม่ที่ไร้ความสามารถ แค่ปกป้องลูกก็ทำไม่ได้ ปล่อยให้ท่านย่ากับหยุนชิ่วด่าทอทุบตีพวกเจ้า…” แม่นางเหลียนก้มหน้าคร่ำครวญ พร้อมกับปาดน้ำตาที่ไหลรินออกมา
หยุนลี่เต๋อยังคงนิ่งเงียบ
เขาเป็นคนซื่อสัตย์ ยอดกตัญญู แต่ไม่สามารถพูดได้ว่าฝ่ายไหนถูก ฝ่ายไหนผิด ในเมื่อฝั่งหนึ่งเป็นภรรยาและลูกที่รักใคร่กลมเกลียว ส่วนอีกฝั่งหนึ่งคือพ่อแม่บังเกิดเกล้าที่เลี้ยงดูเขามา
ความรู้สึกผิดฉายชัดในแววตาของเขาจนไม่อาจปกปิดได้ ฝ่ามือหยาบกร้านลูบลงบนศีรษะของหยุนเชวี่ยอย่างอ่อนโยน ก่อนจะยืนขึ้นและหยิบหน้าไม้ที่แขวนอยู่ตรงผนังออกมา
“เด็ก ๆ อยากกินเนื้อ เช่นนั้นพ่อจะขึ้นเขาไปล่าสัตว์มาทำอาหารให้กิน”
เมื่อหยุนเชวี่ยได้ยินดังนั้นก็ดวงตาเปล่งประกาย “ท่านพ่อ ข้าอยากไปด้วย!”
“เจ้าจะไปได้อย่างไร? มิใช่เรื่องง่ายที่จะเดินขึ้นไปด้านหลังภูเขา เดี๋ยวเจ้าก็ลื่นล้มหัวกระแทกหรอก” แม่นางเหลียนรีบห้ามปรามบุตรสาว
“ข้าสัญญาว่าจะเดินตามหลังท่านพ่อทุกฝีก้าว ไม่วิ่งออกนอกเส้นทางไปไหน ให้ข้าไปเถอะนะ ท่านแม่ได้โปรด…” หยุนเชวี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อนพร้อมกับดึงแขนเสื้อผู้เป็นมารดาอย่างดื้อดึง
“ทั้งวันเอาแต่วิ่งเล่นซุกซนอย่างกับไม่ใช่เด็กผู้หญิง ดูพี่สาวของเจ้าเถิด เกิดมาจากท้องเดียวกันแท้ ๆ แต่เจ้าไม่รู้ไปเอาความดื้อรั้นมาจากไหน…”
“ท่านแม่ของข้าสวยที่สุด ดีที่สุดและยังรักข้าที่สุดด้วย ท่านแม่…”
หยุนเชวี่ยอาศัยความเป็นเด็กน้อยวัยสิบสองปี กล่าวออดอ้อนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและใบหน้าน่ารักเกินขีดกำจัดของตัวเอง
แม่นางเหลียนนั้นเป็นคนหูเบา เพียงได้ยินคำพูดออดอ้อนแค่ไม่กี่คำจากลูกสาวก็ไม่อาจทำใจแข็งได้อีกต่อ หลังจากที่น้ำตาเหือดแห้งไปแล้ว นางก็หัวเราะออกมา “เจ้าบอกมาซิ ว่าเจ้าโตมาเหมือนใคร?… “
“หากเป็นหน้าตา ข้างดงามเหมือนท่านแม่ ส่วนนิสัยใจคอเหมือนท่านพ่อ”
หยุนเชวี่ยกล่าวประจบสอพลอพร้อมกับหยอกล้อหยุนลี่เต๋อที่ทำสีหน้าเศร้าหมอง เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกวักมือเรียก “เอาล่ะ ไปกันเถอะ”
“เดินต้องเดินตามพ่อ อย่าวิ่งเล่นซุกซนเป็นอันขาด”
หมู่บ้านไป๋ซีล้อมรอบด้วยแม่น้ำทั้งสองด้าน ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นภูเขา ถือเป็นทำเลที่เหมาะแก่การอยู่อาศัย ผู้คนในหมู่บ้านนี้ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร ทำไร่ ไถนา ปลูกผัก นอกจากหยุนลี่เต๋อแล้ว น้อยคนนักที่จะสามารถหาของป่าหรือล่าสัตว์โดยใช้ธนูกับหน้าไม้
“ภูเขาด้านหลังเป็นหญ้ารกทึบ มีงู แมลง หนูและมดอยู่มาก เจ้าระวังตัวด้วย” หยุนหลี่เต๋อหยิบถุงผ้าหยาบ ๆ ออกมาจากแขนแล้วส่งให้หยุนเชวี่ย
ภูเขาแห่งนี้ไม่มีชื่อ ชาวบ้านในหมู่บ้านใกล้เคียงจึงมักจะเรียกกันว่า ‘ด้านหน้าภูเขา’ และ ‘ด้านหลังภูเขา’
ด้านหน้าภูเขามีถนนตัดผ่านเข้าสู่วัดร้างตรงเนินเขา ปกติเด็ก ๆ มักจะมาที่นี่เพื่อเก็บฟืน เก็บรังนก หรือเก็บผลไม้ป่า
ลึกเข้าไปคือด้านหลังภูเขา ทางเดินด้านหลังเป็นภูเขาสูงชันและปกคลุมไปด้วยวัชพืช แม้จะไม่เคยได้ยินว่ามีสัตว์ร้ายมาก่อน แต่มีเพียงไม่กี่คนที่กล้าข้ามไป
หยุนเชวี่ยถือตะกร้าหวายใบเล็กเดินตามหลังหยุนลี่เต๋อ เมื่อลองเปิดถุงเพื่อดมดู ก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นฉุนที่โชยออกมา น่าจะเป็นผงยาบางชนิดที่ใช้ไล่แมลงและงู
“ท่านพ่อ ที่ด้านหลังภูเขามีอะไรหรือ?” นางเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ไก่ฟ้า กระต่าย จิ้งจอก และผลไม้ป่า” หยุนลี่เต๋อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “บางครั้งก็เจอกวาง”
หยุนเชวี่ยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “เหตุใดถึงไม่มีใครเคยล่ามันได้เลย?”
“เจ้าคิดว่ามันล่าได้ง่ายหรือ? สัตว์พวกนี้มีสัญชาติญาณการรับรู้ได้ในระยะไกล เมื่อเห็นคนมันจะวิ่งหนีทันที บางครั้งใช้เวลาทั้งวันยังไม่สามารถจับกระต่ายได้ ดังนั้นชาวนาส่วนใหญ่จึงหาเลี้ยงชีพด้วยการทำนาเสียมากกว่า”
“เช่นนั้นท่านพ่อจะล่าสัตว์ได้หรือไม่?”
หยุนลี่เต๋อไม่ตอบ เพียงแค่ยิ้มและตบหน้าไม้ในมือ
เดินต่อไปอีกครึ่งชั่วยามก็เริ่มเข้าสู่พื้นที่ป่ารกชัฏขึ้นเรื่อย ๆ ถนนที่เดินมาเริ่มมองเห็นเส้นทางได้ไม่ชัดเจน ทันทีที่มีลมภูเขาพัดผ่าน ก็ทำให้อากาศเย็นชื้นและรู้สึกสบายมาก
หยุนเชวี่ยเหนื่อยล้าจากการเดินทางจึงเอนตัวพิงต้นไม้ใหญ่ และพักสองมือไว้ที่เข่าพร้อมกับหอบหายใจ
หยุนลี่เต๋อเก็บผลไม้ป่าลูกเล็กสีแดงจากพุ่มไม้แล้วยื่นให้นาง “รอพ่ออยู่ตรงนี้ ไม่ต้องเข้าไปในป่าลึก แล้วก็อย่าเดินไปทั่ว”
จากนั้นเขาก็ใช้เท้าเหยียบพุ่มหญ้าให้แบนราบ ก่อนจะโบกมือให้นางนั่งลง
หยุนเชวี่ยนั่งขัดสมาธิอย่างเชื่อฟัง พร้อมกับเอาผลไม้มาเช็ดถูเสื้อที่สวมใส่อยู่และลองกัดดูหนึ่งคำ ผลไม้ป่าสุกกรอบ มีรสเปรี้ยวอมหวาน รสชาติเหมือนพุทราป่า
หยุนลี่เต๋อเดินสำรวจบริเวณใกล้ ๆ อยู่ในระยะสายตาที่หยุนเชวี่ยสามารถมองเห็นได้
ในป่านี้มีไก่ฟ้าและกระต่ายมากมาย แต่สัตว์เหล่านี้ราวกับหายตัวได้ หลายครั้งที่นางมองเห็นมันอย่างชัดเจน ทว่าในชั่วพริบตาพวกก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เพียงนึกถึงรสชาติของกระต่ายป่าผัดเผ็ด หยุนเชวี่ยที่ไม่ได้ลิ้มรสเนื้อสัตว์มากว่าครึ่งเดือนก็อดไม่ได้ที่จะน้ำลายสอ
หลังจากนั่งพักได้ครู่หนึ่ง นางก็ลุกขึ้นปัดหญ้าออกจากสะโพกและเริ่มมองสำรวจไปรอบ ๆ
คราแรกนางตั้งใจจะเดินเก็บพุทราป่ากลับไปให้หยุนเยี่ยนและเสี่ยวอู่กิน แต่วันนี้ดูเหมือนว่าจะมีโชคอยู่ไม่น้อย จึงพบเข้ากับรังของไข่ไก่ป่าที่ซ่อนอยู่ตรงพุ่มไม้
หยุนเชวี่ยวางตะกร้าหวายลงและหาหญ้ามารองด้านล่าง ก่อนจะหยิบไข่ไก่ใส่ลงไป เมื่อเดินออกไปอีกสองสามก้าว ทันใดนั้นนางก็สะดุดกับบางอย่างที่อ่อนนุ่มอยู่ใต้ฝ่าเท้า
นางตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อคิดว่าสิ่งนั้นคืองู เหงื่อเย็นหลั่งชโลมออกมาจนแผ่นหลังของนางเปียกชื้น หยุนเชวี่ยไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวหรือเดินออกไป จึงค่อย ๆ ก้มลงมอง…
มือคน!
เจ้าของมือนั้นนอนแน่นิ่ง ร่างกายเกือบทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยหญ้า แต่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนเนื่องจากรูปร่างที่สูงใหญ่ของเขา
หรือว่าตายแล้ว?
หยุนเชวี่ยสะดุ้งและกำลังจะกรีดร้องตามสัญชาตญาณ แต่ในขณะที่นางกำลังอ้าปากตะโกนออกมานั้น การคาดเดาและสมมติฐานนับไม่ถ้วนก็ผุดขึ้นมาในความคิดของนาง
เด็กสาวพยายามตั้งสติและนั่งลง เอื้อมมือไปแตะที่จมูกของชายแปลกหน้าอย่างระมัดระวัง ก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ยังมีลมหายใจอยู่ แม้จะแผ่วเบาแต่ก็ยังมั่นคง
“นี่…” หยุนเชวี่ยเขย่าตัวเขาด้วยน้ำหนักมือที่ไม่เบาแต่ก็ไม่รุนแรงนัก
ชายหนุ่มขมวดคิ้วและขยับเปลือกตาเบา ๆ จนแทบมองไม่เห็น
หยุนเชวี่ยจึงตบหน้าเขาอีกครั้ง แต่ก็ยังไร้การตอบสนอง
หยุนเชวี่ยดึงหญ้าที่ปกคลุมร่างกายของเขาออกไป จึงพบว่าบริเวณไหล่ซ้ายได้รับบาดเจ็บสาหัส แขนเสื้อของชายหนุ่มเปียกชุ่มไปด้วยเลือด ทั้งยังมีลูกธนูสีดำปักคาอยู่
เมื่อเพ่งพิศชายหนุ่มตรงหน้า เขายังเป็นเพียงเด็กหนุ่มวัยแรกรุ่น อายุราวสิบหกหรือสิบเจ็ดปี ใบหน้าซีดเซียว คิ้วโก่งรับกับสันจมูกตรง แม้ว่าเขาจะนอนหลับตาอยู่ แต่ก็รับรู้ได้ถึงความแปลกประหลาดลึก ๆ ในใจ
เด็กหนุ่มแปลกหน้าที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้ามีราคา ยังคงหมดสติจากอาการบาดเจ็บสาหัส
หยุนเชวี่ยตระหนักดีถึงความอันตรายนี้ แต่ก็ไม่อาจช่วยเขาโดยการพากลับไปที่บ้านได้ เพราะอาจจะเกิดปัญหาตามมา
แต่ถ้าไม่ช่วยเขา เกรงว่าจะไม่รอดพ้นสองวันนี้ไปแน่
ชีวิตหนึ่งชีวิต…
นางไม่ใช่แม่พระผู้เอื้ออารี แต่ก็ไม่อาจทำใจร้ายปล่อยให้คนบาดเจ็บตายไปโดยไม่ช่วยเหลือ
ทำอย่างไรดี?
“เชวี่ยเอ๋อ?” เสียงหยุนลี่เต๋อร้องเรียกหานางมาแต่ไกล
“ท่านพ่อ ข้าอยู่นี่!” หยุนเชวี่ยยืนขึ้นและโบกมือให้เขา “ท่านพ่อ ข้าเก็บไข่ของไก่ป่าได้หนึ่งรัง”
“เดินระวัง อย่าวิ่งซนไปทั่ว!”
“รู้แล้วเจ้าค่ะ!”
หยุนเชวี่ยสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ปลดผ้าคาดเอวของชายผู้นั้นออกมาเพื่อพันรอบไหล่ซ้ายของเขาที่ได้บาดเจ็บเอาไว้อย่างแน่นหนา ก่อนจะใช้หญ้าคลุมตัวชายหนุ่มไว้ตามเดิม จากนั้นก็โปรยผงไล่งูและแมลงในถุงบริเวณรอบ ๆ ตัวเขา
ในที่สุด นางก็เดินออกมาจากพงหญ้าและลอบทำเครื่องหมายบนต้นไม้ที่แข็งแรงและมองเห็นได้ชัดเจนในบริเวณใกล้เคียง
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้น ไม่รู้ว่าด้วยความประหม่าหรือความรู้สึกผิด ฝ่ามือของนางจึงเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อที่หลั่งไหลออก
Related