ตอนที่ 31 ชายเจ้าเล่ห์
“มาแล้ว! บะหมี่ไก่สี่ชามและบะหมี่น้ำใสหนึ่งชาม เชิญพวกเจ้าทั้งห้าทานให้อร่อย” เจ้าของร้านบะหมี่กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
น้ำซุปของบะหมี่ไก่มีสีเหลืองเข้มข้นส่งกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอ เนื้อไก่หลายชิ้นถูกจัดวางอย่างสวยงามอยู่ในชาม ส่วนน้ำซุปของบะหมี่น้ำใสเป็นน้ำซุปสีใส ภายในชามประกอบด้วยเส้นบะหมี่ธรรมดา ผักใบเขียวสองหยิบมือ และต้นหอมซอยหนึ่งหยิบมือ
“อากาศช่วงนี้ทั้งร้อนและแห้ง พวกเรามากินอะไรที่เบาท้องกันดีกว่า” เหลียนซื่อกล่าวก่อนซดน้ำซุปของบะหมี่น้ำใส
หยุนลี่เต๋อและลูกทั้งสามยังคงนั่งนิ่ง
“กินสิ มองข้าเพื่ออะไรกัน?” เหลียนซื่อหยิบตะเกียบขึ้นมาพร้อมกล่าวต่อ “หลังจากกินเสร็จ ข้าจะไปซื้อเมล็ดผักเพิ่ม เพราะที่ซื้อไปครั้งที่แล้วคงไม่พอปลูก”
“ท่านแม่ ข้าอยากกินอะไรที่มันเบาท้องเหมือนท่าน” หยุนเยี่ยนผลักชามบะหมี่ไก่ไปข้างหน้า
“ข้าด้วย บะหมี่ไก่เลี่ยนเกินไป ข้าไม่อยากกิน” หยุุนเชวี่ยพูดพร้อมย่นจมูกแสดงท่าทีรังเกียจ
ส่วนเสี่ยวอู่เอาแต่นั่งพยักหน้าเงียบ ๆ อยู่ข้างพี่สาว
ทั้งสามคนรู้อยู่แก่ใจว่าบะหมี่ไก่ราคาหกเหรียญ ส่วนบะหมี่น้ำใสมีราคาแค่สองเหรียญ อีกทั้งรู้ดีว่าเหลียนซื่อกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายและไม่ได้ตั้งใจปฏิบัติต่อพวกตนไม่ดี
“อย่าแย่งกัน” หยุนลี่เต๋อเทบะหมี่ไก่ของตนรวมกับบะหมี่น้ำใสของเหลียนซื่อก่อนคีบเส้นบะหมี่คำใหญ่เข้าปาก “ซู้ด” ดวงตาของเขาเบิกโพลงขณะเคี้ยวเส้นบะหมี่อย่างเอร็ดอร่อย “เอาล่ะ กินบะหมี่ของพวกเจ้าเสีย”
“นี่!” เหลียนซื่อมองสามีที่ก้มหน้าก้มตากินบะหมี่อย่างมูมมาม “ค่อย ๆ เคี้ยว ดูพ่อพวกเจ้าสิ อดอยากมาจากไหนกัน”
“อืม หอมเหลือเกิน!” หยุนลี่เต๋อเงยหน้าขึ้นมองภรรยาผู้งดงามและลูก ๆ ที่น่ารักทั้งสามคนด้วยสายตารักใคร่และห่วงใย
เฮ้อ…
หยุนเชวี่ยกลอกตาพร้อมถอนหายใจอย่างเงียบ ๆ แม้ชายผู้นี้จะมีนิสัยแข็งกระด้าง แต่ก็ไม่คาดคิดว่าเขาจะอ่อนโยนกับครอบครัวถึงเพียงนี้!
“เสี่ยวเอ๋อ ข้าเอาบะหมี่เนื้อเพิ่มเนื้อเยอะ ๆ หนึ่งชาม!”
ระหว่างที่ทั้งห้าคนต่างพูดคุยและหัวเราะอย่างสนุกสนาน พวกเขาสังเกตเห็นชายผู้หนึ่งเดินเข้าร้านมานั่งลงที่โต๊ะถัดไปก่อนตะโกนสั่งอาหาร
ชายผู้นี้มีรูปร่างที่ค่อนข้างสูงและผอมมาก เขาสวมชุดนักพรตสีเหลือง บนเสื้อคลุมมีรอยเท้าขนาดใหญ่ประทับอยู่ อีกทั้งยังเหน็บแส้หางม้าไว้ที่เอว
เขาคือคนที่ถูกนักเลงจากบ่อนพนันกระทืบเมื่อครู่ไม่ใช่หรือ?
หยุนเชวี่ยเคี้ยวบะหมี่พร้อมมองสำรวจชายผู้นั้นอย่างละเอียดและพบว่าบริเวณใต้ตาของเขาดำคล้ำราวกับคนอดนอนเป็นเวลานาน
“คุณชายขอรับ ร้านเราเป็นเพียงร้านบะหมี่เล็ก ๆ จึงไม่มีบะหมี่เนื้อขายขอรับ” เสี่ยวเอ๋อกล่าวตอบพร้อมเช็ดโต๊ะและยกน้ำชามาให้เขาอย่างรวดเร็ว
ชายผู้นั้นนั่งไขว่ห้าง รูปลักษณ์และท่าทีของเขาคล้ายกับหยุนลี่เซี่ยวผู้เจ้าเล่ห์ไม่มีผิด “แล้วร้านของเจ้าขายอะไรบ้าง?”
“บะหมี่ไก่ บะหมี่หมู บะหมี่น้ำใส บะหมี่หัวหอม เกี๊ยวน้ำ…”
ก่อนที่เสี่ยวเอ๋อจะพูดจบ ชายผู้นั้นก็ยกมือขึ้นเป็นเชิงให้นางหยุดพูด “ข้าเอาบะหมี่ไก่ฉีกหนึ่งชาม เพิ่มน่องไก่และไข่สองฟอง!”
‘ยังจะเพิ่มน่องไก่อีกหรือ? ตะกละเสียจริง!’ หยุนเชวี่ยคีบบะหมี่เข้าปากพลางบ่นในใจ
“มองอะไร รีบกินสิ” หยุนเยี่ยนใช้เท้าสะกิดขาของหยุนเชวี่ย
“พี่สาว ข้าว่าชายผู้นั้นต้องชักดาบแน่” หยุนเชวี่ยยกมือขึ้นป้องปากพลางกระซิบ
“หืม?”
“หลอกกินแล้วไม่จ่ายเงินอย่างไรล่ะ”
“ชู่ อย่าพูดเหลวไหล! หากใครได้ยินจะเข้าใจผิดเอา!”
“พี่น้องคู่นี้กระซิบอะไรกัน?” เหลียนซื่อเอ่ยถามพร้อมคีบไก่ในชามของตนให้หยุนลี่เต๋อ
“เปล่าเจ้าค่ะ” หยุนเชวี่ยปฏิเสธ “ข้าแค่อยากกินแตงกวาจึงกระซิบถามพี่ว่าฤดูกาลนี้ปลูกได้หรือไม่?”
“ปลูกได้” หยุนลี่เต๋อตอบกลับ “แตงกวาไม่ใช่ผักหายาก หากอยากกิน เราสามารถปลูกมันได้ทุกฤดูกาล เพียงแต่ชาวสวนนิยมเกี่ยวกับมันในฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้น”
“ต้องพึ่งพาพี่สาวทุกเรื่องสินะ” แม้เหลียนซื่อจะเอ่ยตำหนิลูกสาว ทว่าแววตาของนางกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักใครเอ็นดู
พ่อและลูกสาวต่างเงยหน้าขึ้นและส่งยิ้มให้กัน คนหนึ่งแข็งกระด้างและทึ่ม ส่วนอีกคนหนึ่งก็มีนิสัยแปลก ๆ
เด็กทารกยังร้องไห้เพื่อหลอกกิน ครั้งนี้หยุนเชวี่ยรู้สึกหมดหนทางจึงพูดปด ใครบอกว่าเด็กไร้เดียงสาจะไม่รู้จักการแสดงเพื่อเอาตัวรอดเล่า?
เมื่อออกจากร้านบะหมี่ ทั้งห้าคนก็มุ่งหน้าไปยังร้านขายเมล็ดพันธุ์พืชทันที
ระหว่างทางหยุนลี่เต๋อถามความคิดเห็นของลูกทั้งสาม ฉับพลันหยุนเยี่ยนและเสี่ยวอู่ก็หันไปมองหยุนเชวี่ยราวกับนางเป็นกระดูกสันหลังของเหล่าพี่น้อง
หยุนเชวี่ยทำหน้าที่ตอบคำถามได้ดีเช่นกัน หลังจากเดินดูเมล็ดพันธุ์พืชอย่างพินิจแล้ว นางจึงเลือกซื้อถั่ว แตงกวา ผักกาดขาว และหัวไชเท้า
“เอาตามที่นางพูดเลยเถ้าแก่” เหลียนซื่อหยิบเหรียญทองแดงออกมาจากถุงเงิน “เอาอย่างละหนึ่งห่อ ส่วนแตงกวา…เอาห่อเล็กก็พอ”
“ท่านแม่ปลูกแตงกวาเยอะ ๆ หน่อยสิเจ้าคะ ข้าชอบกินมันมากเลย”
“เจ้าช่างเป็นเด็กโลภมากเสียจริง แตงกวาที่ปลูกตรงสันเขายังไม่พอกินอีกหรือ?”
“ไม่พอเจ้าค่ะ แปลงผักบ้านเราออกจะกว้างขวาง ปลูกแตงกวาเพิ่มอีกสักแปลงสองแปลงคงไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะท่านแม่…” หยุนเชวี่ยกำแขนเสื้อของมารดาพร้อมแกว่งไปมา
“นี่สาวน้อย เจ้าช่างไม่รู้อะไรเสียเลย” เจ้าของร้านเอ่ยขณะห่อเมล็ดผักอย่างระมัดระวัง “กะหล่ำปลีและหัวไชเท้าเป็นผักที่ทนทานต่อทุกสภาพอากาศ ส่วนถั่วจะเจริญเติบโตได้ดีในหน้าหนาว แต่แตงกวาสามารถปลูกได้เพียงครั้งเดียว หากเจ้ากินไม่หมดภายในฤดูกาล มันจะเหี่ยวเฉาตาย”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น หยุนเชวี่ยก็เอาแต่กะพริบตาปริบ ๆ พร้อมกำแขนเสื้อมารดาแน่น “ท่านแม่ ข้ากินจุ…”
เหลียนซื่อไม่รู้จะทำอย่างไรกับลูกสาวคนนี้ จึงมองนางทำท่าทีออดอ้อนด้วยความรู้สึกตลกและหนักใจในเวลาเดียวกัน
“ปลูกเพิ่มอีกสักนิดคงไม่เป็นอะไรหรอก” หยุนลี่เต๋อพูดอ้อนวอนภรรยาเพื่อช่วยลูกสาว “ข้ายังมีแรงปลูกอยู่ เจ้าไม่ต้องห่วง”
“เจ้าจะทำให้นางเคยตัว…”
ในที่สุดการอ้อนวอนของสองพ่อลูกก็สำเร็จ เหลียนซื่อหยิบเหรียญทองแดงออกมาจากถุงเงินอีกห้าเหรียญก่อนยื่นให้เจ้าของร้าน
“เอาแตงกวาห่อใหญ่เลย เฮ้อ…ข้าเป็นแม่ของนางแท้ ๆ แต่กลับไม่สามารถห้ามปรามนางได้เลย”
เจ้าของร้านกล่าวว่า “เจ้าทั้งสองช่างโชคดีเสียจริง”
หยุนเชวี่ยเอียงศีรษะพร้อมส่งยิ้มให้หยุนลี่เต๋อ
ในอดีตหยุนเชวี่ยเกลียดความขี้ขลาดและความอ่อนแอของมารดา อีกทั้งยังไม่ชอบใจที่บิดาไม่มีความหนักแน่น
ทว่ายิ่งได้ใช้ชีวิตกับทุกคนนานเท่าไร นางก็ยิ่งรู้สึกขอบคุณมากเท่านั้น
บิดาและมารดาของนางเป็นคนขยันหมั่นเพียรและมักปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ หยุนเยี่ยนเป็นพี่สาวคนโตที่อ่อนโยนและมีไหวพริบ เสี่ยวอู่เป็นน้องเล็กที่ฉลาดและมีพรสวรรค์ นับตั้งแต่ครอบครัวของนางแยกตัวออกมาจากครอบครัวใหญ่ แม้ตอนแรกจะทุลักทุเลอยู่บ้าง แต่หยุนเชวี่ยยังคงคาดหวังว่าในอนาคตคุณภาพชีวิตของครอบครัวจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน
ความลำบากนั้นไม่น่ากลัวเท่าการใช้ชีวิตทิ้งไปวัน ๆ อย่างหยุนลี่จง และใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาอย่างหยุนลี่เซี่ยว
หยุนเชวี่ยถือห่อเมล็ดพืชไว้ในมือ ฉับพลันความรู้สึกภาคภูมิใจที่ไม่เคยมีก็พุ่งออกจากมาก้นบึ้งของหัวใจ
นางต้องปลูกพืชเยอะ ๆ และร่ำรวยให้ได้!
“ไอ้คนจรจัด! ไม่มีปัญญาจ่ายค่าข้าวแล้วยังกล้าเพิ่มน่องไก่อีก! เห็นว่าร้านข้าเป็นเพียงร้านเล็ก ๆ จึงกล้าเอาเปรียบรึ?”
ทันทีที่ครอบครัวของหยุนเชวี่ยก้าวข้ามธรณีประตูของร้านขายเมล็ดพันธุ์พืช พวกเขาเห็นเสี่ยวเอ๋อเจ้าของร้านบะหมี่ฝั่งตรงข้ามขว้างเก้าอี้พลางใช้ไม้ไล่ตีชายคนหนึ่งอยู่
“นี่พี่ชาย อย่าเพิ่งโวยวายสิ ฟังข้าก่อน…”
“ไอ้คนไร้สัจจะ! หลอกกินอาหารร้านข้าคุ้มหรือไม่?!”
“อามิตาพุท ข้าเป็นนักพรตจะหลอกกินน่องไก่และบะหมี่ของเจ้าได้อย่างไรกัน…”
“ถุย! คนที่สามารถพูดอามิตาพุทได้มีเพียงพระสงฆ์เท่านั้น! เจ้ามันเป็นนักพรตจอมปลอม! ไอ้คนลวงโลก! จ่ายเงินมาเดี๋ยวนี้!”
ชายผู้นั้นวิ่งรอบโต๊ะเพื่อหลบไม้ที่เจ้าของร้านฟาดออกไป “ สวรรค์เมตตาข้าด้วย! ข้าผิดไปแล้ว! ช่วยข้าด้วย! ถ้าอย่างนั้นเอาเช่นนี้… ข้าจะมอบบัตรกำนัลชิงโชคให้เจ้าเพื่อจ่ายค่าอาหารมื้อนี้…”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าของร้านจึงถกแขนเสื้อขึ้นพร้อมจ้องเขม็งไปทางเขา “เจ้าควรภาวนาให้ตนเองมีชีวิตรอดก่อนเถอะ!”
Related