ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน[农家小财主] – ตอนที่ 33 เงินก้อนใหญ่

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน[农家小财主]

ตอนที่ 33 เงินก้อนใหญ่

หยุนเชวี่ยเกาศีรษะก่อนหยิบห่อกระดาษและเดินเข้าไปในเรือน ครั้นอยู่ในเรือนนางจึงเปิดห่อกระดาษออก ซึ่งด้านในมีลูกบ๊วยหลายลูกบรรจุอยู่

“ลองกินสิ ข้าว่าคราวนี้มันอร่อยแน่”

“มันทั้งเปรี้ยวและเข็ดฟัน เหตุใดเจ้าถึงยังเก็บไว้เล่า?” เหอยาโถวกลืนน้ำลายอย่างไม่รู้ตัวพลางหยิบลูกที่เล็กที่สุดขึ้นมา

เหอยาโถวใช้ลิ้นเลียลิ้มรสลูกบ๊วยก่อน เมื่อไม่ได้รสฝาดและเปรี้ยว เขาจึงกินลูกบ๊วยเข้าไปเต็มคำ

“อืม อร่อย” หยุนเชวี่ยมองเหอยาโถวด้วยสายตาคาดหวังพร้อมหยิบลูกบ๊วยเข้าปาก

“เจ้ารู้สึกถึงความต่างหรือไม่?”

“อืม อร่อยกว่าที่ขายในภัตตาคารเสียอีก”

“อร่อยกว่าอย่างไรหรือ?”

“อร่อยตรงที่…” เหอยาโถวกัดลูกบ๊วยหนึ่งคำก่อนกล่าวเสริม “ไม่ฝาด ไม่รู้สึกเข็ดฟัน มีรสเค็มของเกลือและมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสะระแหน่อย่างไรล่ะ”

สะระแหน่เติบโตได้ดีบริเวณริมฝั่งแม่น้ำ ชาวบ้านส่วนใหญ่มักนำใบสะระแหน่มาทำชา เพราะมันมีสรรพคุณช่วยบำรุงหัวใจ และบำรุงสายตา นอกจากนี้ในหน้าร้อนชาวบ้านมักนำใบสะระแหน่มาคั้นและใช้น้ำของมันทาบริเวณที่ถูกยุงกัดเพื่อบรรเทาอาการคันอีกด้วย

ในการทำผลบ๊วยจากลูกพลัมครั้งนี้ หยุนเชวี่ยถึงกลับเสี่ยงชีวิตแอบเข้าไปในห้องครัวและขโมยน้ำตาลที่เหลืออยู่ครึ่งโถออกมา

นางนำลูกพลัมหมักด้วยเกลือทิ้งไว้หนึ่งคืนจากนั้นนำไปหมักกับน้ำตาลและทิ้งไว้ให้ทุกอย่างซึมเข้าไปในเนื้อลูกพลัม การทำลูกบ๊วยครั้งนี้นางทดลองใส่ใบสะระแหน่ไว้ในโถเพื่อปรุงแต่งรสและกลิ่นด้วย ดังนั้นหยุนเชวี่ยจึงไม่คาดคิดว่าลูกบ๊วยที่นางทำจะมีรสชาติยอดเยี่ยมเพียงนี้

“รสหวานอมเปรี้ยว กินแล้วคลายร้อนได้จริง ๆ” เหอยาโถวกล่าวก่อนสูดหายใจเข้าลึก กลิ่นอันสดชื่นของใบสะระแหน่กระจายไปตามปลายลิ้นเข้าสู่โพรงจมูกและกระจายขึ้นไปยังหน้าผาก ช่างสดชื่นเสียจริง!

“เชวี่ยเอ๋อ เหตุใดเจ้าถึงมีความสามารถมากถึงเพียงนี้?” เหอยาโถวเอ่ยถามพลางตระหนักได้ว่าตนกินผลบ๊วยเยอะเกินไปจึงหยิบผลบ๊วยตรงหน้าและส่งมันให้กับเสี่ยวอู่เพื่อกลบเกลื่อนความเขินอาย

“หากข้านำผลบ๊วยไปขายในตลาด เจ้าคิดว่าจะขายได้หรือไม่?” หยุนเชวี่ยถาม

“ขายหรือ?” เหอยาโถวนิ่งไปชั่วครู่ก่อนตบต้นขาของตน “ใช่แล้ว ข้าลืมคิดไปเลย รสชาติของลูกบ๊วยที่เจ้าทำดีกว่าในภัตตาคารมากโข ข้าเชื่อว่าต้องมีคนซื้อแน่นอน!”

“แต่ที่สวนของพวกเราไม่มีต้นพลัมน่ะสิ” หยุนเชวี่ยเกาปลายจมูกอย่างงุ่มง่าม

หากซื้อลูกพลัมจากพ่อค้าคนกลางและนำมาแปรรูปใหม่จะทำให้มีค่าใช้จ่ายสูงเกินไป หยุนเชวี่ยรู้สึกดีใจที่ได้รับคำชมจากเหอยาโถว ทว่านางไม่สามารถทำลูกบ๊วยออกขายได้เนื่องด้วยข้อจำกัดต่าง ๆ

“นี่! มันจะยากอะไรล่ะ!” น้ำเสียงของเหอยาโถวเต็มเปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้น เขาสะบัดแขนเสื้อพลางกล่าวว่า “ทุก ๆ สามถึงห้าวันจะมีพ่อค้าเร่มารับของที่ร้านพี่เขยรองของข้าไปขาย และเราจะใช้โอกาสนี้ขอให้พวกเขานำลูกพลัมมาให้อย่างไรล่ะ!”

“ทำได้ด้วยหรือ?!” หยุนเชวี่ยดีใจอย่างยิ่ง

“เหตุใดข้าต้องโกหกเจ้าเล่า? พรุ่งนี้เราไปหาพี่รองแล้วพูดคุยเรื่องนี้กันเถอะ…”

แม้ยังไม่ได้วางแผนเป็นรูปเป็นร่าง แต่ภายในจิตใจของหยุนเชวี่ยกลับรู้สึกตื่นเต้นและฟุ้งซ่านจนนอนไม่หลับ

“เชวี่ยเอ๋อ มัวแต่คิดอะไรอยู่?” หยุนเยี่ยนผลักหยุนเชวี่ย “เขยิบไปหน่อยสิ ข้าจะตกเตียงอยู่แล้ว”

หยุนเชวี่ยนอนหนุนแขนตนเองพลางหันไปหรี่ตามองพี่สาวก่อนยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย

“มองอะไร?” หยุนเยี่ยนงุนงงพลางมองตามสายตาของน้องสาว แต่กลับพบกับความว่างเปล่า…

“พี่รองของเจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ?” หยุนเยี่ยนหันไปถามเสี่ยวอู่

เสี่ยวอู่ที่กำลังเล่นปริศนาห่วงตัวต่อหันมาส่ายศีรษะแทนการตอบว่าไม่รู้

“หลับกันได้แล้ว” เหลียนซื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงงัวเงียพลางเป่าตะเกียงให้ดับ

“หน้าดินในแปลงผักถูกเตรียมพร้อมแล้ว หากพรุ่งนี้อากาศแจ่มใส เราจะออกไปปลูกผักกัน…”

ยังไม่ทันที่นางจะพูดจบ เสียงลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอก็ดังขึ้นเสียก่อน

วันรุ่งขึ้น หยุนซิ่วเอ๋อยังคงไม่กล้าออกจากห้องนอน แม่เฒ่าจูจึงต้องเป็นผู้เข้าครัวทำอาหารด้วยตนเอง ซึ่งขณะทำอาหารนั้นนางก็ทำไปด้วยบ่นไปด้วยอยู่ครู่ใหญ่

ปู่ของหยุนเชวี่ยถือจอบและถังน้ำไว้ในมือเตรียมตัวออกไปทำสวน แต่หยุนลี่เต๋อตะโกนเรียกเขาเสียก่อน “ท่านพ่อ”

“มีเรื่องอะไรรึ?”

“ท่านพ่อไม่ต้องออกไปทำสวนให้เหนื่อยหรอก วันนี้ข้าจะออกไปช่วยท่านทำเอง”

ผู้เฒ่าหยุนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนเผยรอยยิ้มกระอักกระอ่วน “ไม่ต้องห่วง เจ้าไปทำงานของเจ้าเถอะ”

ผู้เฒ่าหยุนเป็นคนรักศักดิ์ศรียิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ในเวลานี้เขารู้ดีว่าตระกูลหยุนกำลังตกเป็นขี้ปากของชาวบ้านเรื่องที่ลูกชายของเขาแยกครอบครัวออกไปอยู่ตามลำพัง ลูกชายคนโตและลูกชายคนเล็กของเขามีนิสัยเกียจคร้านไม่ยอมทำมาหากิน แล้วจะให้ลูกชายคนรองทำงานงก ๆ อยู่คนเดียวได้อย่างไร หากชาวบ้านรู้เข้า คงหัวเราะเยาะเขาจนฟันหลุดแน่

“แสร้งทำเป็นกตัญญู” หยุนลี่เซี่ยวสวมชุดลำลองยืนพิงประตูเรือนกล่าววาจาถากถาง “หากอยากเป็นลูกกตัญญูจริง เจ้าต้องรับผิดชอบงานในสวนทั้งหมดถึงจะนับว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณของท่านพ่อกับท่านแม่”

หยุนเชวี่ยที่ยืนอยู่ด้านหลังบิดาคิดในใจด้วยความโมโห ‘พูดออกมาได้อย่างไรกัน ไม่อายฟ้าดินเอาเสียเลย’

อีกายืนอยู่กลางฝูงมักเห็นว่าตัวอื่นมีขนสีดำ แต่กลับไม่เคยมองย้อนดูว่าตนก็มีขนสีดำเช่นกัน

“อาสาม” หยุนเชวี่ยจงใจใช้น้ำเสียงยียวนเรียกหยุนลี่เซี่ยว “ท่านหายป่วยแล้วหรือ? ต้องการให้ข้าไปเรียกหมอหรือไม่เจ้าคะ?”

“รวยเหลือเกิน! วัน ๆ เอาแต่งอมืองอเท้าไม่ทำมาหากิน จะเอาเงินที่ไหนไปหาหมอ!”

ประตูห้องที่อยู่ชั้นบนเปิดออก แม่เฒ่าจูมองไปที่หยุนเชวี่ยและหยุนลี่เต๋อด้วยสายตาโกรธเคือง

“หากเจ้าเจ็บป่วยเจียนตาย ไม่ต้องเรียกมือหมอหรอก! ข้าจะเป็นคนส่งเคราะห์ให้พวกเจ้าได้ตายสมใจเอง!”

แม่เฒ่าจูกล่าวขณะเดินถือชามกระเบื้องใบใหญ่เข้าไปในห้องครัว

หยุนลี่เซียวเดินตามแม่เฒ่าจูเข้าไปในห้องครัวพลางกล่าวด้วยความน้อยใจ

“ท่านแม่บอกซิ่วเอ๋อเป็นลูกสาวของท่าน แล้วข้าไม่ใช่ลูกในไส้ของท่านเหมือนนางหรือ? ทุกครั้งที่เจ็บป่วยท่านจะต้องคอยดูแลตามใจนางตลอด แต่ท่านแม่ไม่เคยสนใจข้าสักนิดว่าข้าจะอยู่หรือตาย?”

“ซิ่วเอ๋อต้องแต่งงานออกเรือนกับเศรษฐี ส่วนเจ้าทำงานอะไรก็ไม่ได้ความ! เหยียบขี้ไก่ยังไม่ฝ่อเลย! ถ้ายังทำตัวเช่นนี้ต่อไป ระวังจะอดตายโดยไม่รู้ตัว!”

เสียงจานชามกระทบกันดังขึ้นในห้องครัว

เมื่อโดนตำหนิ หยุนลี่เซี่ยวจึงแสดงท่าทีไม่พอใจด้วยการยืนกอดอกพร้อมคำรามด้วยความโมโห “หึ ๆ ซิ่วเอ๋อไม่ใช่พระเจ้าเสียหน่อย! ใครกันที่เป็นผู้ส่งเสียนางจนได้ดิบได้ดีเช่นนี้?”

“ไม่ใช่ข้าหรอกหรือ!” หยุนลี่เซียวยืนตัวตรงพร้อมใช้นิ้วชี้มาที่ตนเอง

หยุนลี่เต๋อส่ายศีรษะพร้อมถอนหายใจก่อนหันไปหยิบเครื่องมือทำสวนที่วางพิงกำแพงและเดินออกไปอย่างเงียบ ๆ

“ท่านพ่อ รอข้าด้วย”

หยุนลี่เซียวรีบเก็บข้าวของวิ่งตามบิดาออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่จะก้าวพ้นเขตเรือน เขาก็ได้ยินเสียงแม่เฒ่าจูตะโกนออกมาจากห้องครัวว่า “หมาตัวไหนขโมยน้ำตาลทรายไป? เหตุใดสะใภ้สามถึงเกียจคร้านเพียงนี้…”

เสี่ยวอู่กระตุกชายเสื้อของหยุนเชวี่ยและจ้องมองนางด้วยสายตาไร้เดียงสา

หยุนเชวี่ยขมวดคิ้วพร้อมแสดงสีหน้า ‘เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้า’

“ได้ยินท่านแม่ก่นด่าทีไร ข้ารู้สึกใจคอไม่ดีทุกที” เหลียนซื่อเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น

“ท่านย่าไม่ได้ด่าพวกเราเสียหน่อย ท่านแม่จะกลัวอะไรเล่า?”

“ข้าไม่ได้กลัวย่าของเจ้า” เหลียนซื่อเอ่ยตอบก่อนส่งเสียงหัวเราะ

“ท่านแม่คิดว่าการที่เราแยกครอบครัวออกมาเช่นนี้เป็นทางเลือกที่ดีหรือไม่เจ้าคะ?

หยุนเชวี่ยเอ่ยถามขณะมองมารดา ส่วนเหลียนซื่อมองไปยังแผ่นหลังที่กว้างและแข็งแรงของหยุนลี่เต๋อด้วยรอยยิ้มแทนการตอบคำถามของลูกสาว

“ท่านแม่ งดงามมาก…”

“พูดออเซาะแม่เช่นนี้ เจ้าต้องการอะไร?”

“ฮ่า ๆ ท่านแม่รู้ทันอีกแล้ว…”

Related

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน[农家小财主]

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน[农家小财主]

Status: Ongoing
หยุนเชวี่ย เสียชีวิต แล้วมาอยู่ในร่างของ เด็กสาว เธอมาอยู่ในยุคที่ไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ใดๆ แต่ด้วยความฉลาดของเธอ ทำให้เธอมองหาช่องทางต่างๆที่จะทำให้ชีวิตของเธอกับครอบครัวดีขึ้น ส่วนเรื่องความรักนั้น ได้มีชายหนุ่มปริศนาที่ตั้งปณิธานว่าจะตอบแทนน้ำใจด้วยทั้งชีวิตของเขากับเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน