ตอนที่ 77 อุ๊ย! แม่หล่น!
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก!”
หยุนเชวี่ยเรียกขาน “ท่านพ่อ ท่านแม่…”
เมื่อแม่นางเหลียนขานรับ หยุนเชวี่ยจึงค่อย ๆ เปิดประตูและเดินเข้าไป
หากพรวดพราดเข้าไปในห้องของคู่รัก มันจะไม่น่าอายหรือ?
“ท่านแม่ บะหมี่อร่อยหรือไม่เจ้าคะ?” หยุนเชวี่ยนั่งลงข้างมารดาพร้อมเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“อร่อยมาก เยี่ยนเอ๋อทำเองหรือ?”
“เจ้าค่ะ! พี่สาวต้มซุปไก่และทอดไข่ ทอดไข่ ส่วนเสี่ยวอู่ล้างและหั่นถั่วฝักยาวเจ้าค่ะ” หยุนเชวี่ยพยักหน้าอย่างภาคภูมิใจ
เมื่อพูดจบ นางจึงฉุกคิดได้ว่าตนมีอะไรให้น่าภาคภูมิใจหรือ?
แม่นางเหลียนมองไปที่ลูกสาวและลูกชายพลางเผยสีหน้ารักใคร่เอ็นดู “ลูกโตกันหมดแล้ว แม่มีความสุขยิ่งนัก”
นางแต่งงานเข้าตระกูลหยุนตอนอายุสิบหกปี และทันทีที่ตั้งท้องหยุนเยี่ยน หยุนลี่เต๋อก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารเพื่อรบในซินเจียงเหนือ นางไม่รับรู้ข่าวคราวของสามีตลอดเวลาสามปี
ตอนท้องแก่แม่นางเหลียนต้องรับใช้คนในครอบครัวในเวลากลางวันและต้องแอบร้องไห้อย่างเดียวดายในเวลากลางคืน หลังจากคลอดบุตรสาวนางก็พบเจอกับความยากลำบาก เนื่องจากแม่เฒ่าจูไม่มาดูแคลนนางเลยแม้แต่น้อยทำให้นางต้องนอนซมอยู่บนเตียงหนึ่งวันเต็ม ขณะที่ลูกสาวตัวน้อยร้องไห้หิวนมอยู่ข้าง ๆ ส่วนคนห่วงใยนางจริงคือป้าใหญ่ของแม่นางเหลียนที่นำไก่สองสามตัวและตะกร้าไข่ไก่มาเยี่ยมไข้ทันทีที่ทราบข่าวและคอยดูแลนางอยู่พักใหญ่
คราที่หยุนลี่เต๋อปลดประจำการ เยี่ยนเอ๋ออายุสองขวบครึ่งและรูปร่างผอมบาง นางร้องไห้อย่างหนักเมื่อเห็นใบหน้าหยาบกระด้างและดำคล้ำของบิดา
หยุนลี่เต๋อนอนกลางดินกินกลางทรายอยู่ที่ตอนเหนือเป็นเวลาสามปี เขาจึงมีผิวหมองคล้ำและมัดกล้ามที่มากขึ้นอีกทั้งยังเดินกะเผลกจนแทบจำไม่ได้ นอกจากนี้ตระกูลหยุนยังได้รับที่ดินห้าสิบไร่เป็นของกำนัลอีกด้วย
ราชสำนักมอบของกำนัลและยกเว้นภาษีที่นาให้ครอบครัวหยุน ซึ่งถือเป็นตระกูลแรกในหมู่บ้านไป๋ซีที่ได้รับเกียรติยศเช่นนี้
แม่นางเหลียนมีความสุขจนนอนไม่หลับอยู่สองสามวัน นางบอกกับตนเองว่าความเจ็บปวดได้สิ้นสุดลงแล้ว แต่กลับไม่คาดคิดว่าแม่เฒ่าจูจะไม่พูดคุยกับทั้งสองคนเป็นเวลาสามวัน อีกทั้งไม่ไต่ถามสารทุกข์สุกดิบของลูกชายที่เพิ่งกลับมาจากสงคราม
นางถอนหายใจขณะครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมานานกว่าสิบปี หลังจากแยกครอบครัวออกมา ลูก ๆ ของนางก็ฉลาดและมีไหวพริบมากขึ้นทุกวัน…
“ท่านแม่…” หยุนเชวี่ยสังเกตเห็นมารดานิ่งเงียบจึงพิงศีรษะเข้ากับหน้าอกของนาง
แม่นางเหลียนลูบศีรษะของลูกสาวอย่างรู้ดีขณะที่ดวงตาแดงก่ำก่อนเหลือบมองหยุนลี่เต๋อ “พ่อของท่าน…”
“มีอะไรหรือ…”
ทุกคนในห้องหันมองเขาเป็นตาเดียวกัน ทำให้หยุนลี่เต๋อรู้สึกกดดันอย่างอธิบายไม่ถูกและนั่งตัวตรงโดยไม่รู้ตัว
แม่นางเหลียนเอ่ยขึ้น “พ่อแม่ของท่านบอกให้ท่านเอาเงินยี่สิบตำลึงไปให้ตระกูลหยูหรือ?”
หยุนลี่เต๋อ…
เขาไม่กล้าเล่าเรื่องนี้ให้แม่นางเหลียนฟัง เพราะกลัวว่านางจะโมโหจนอาการป่วยกำเริบหนักขึ้นอีก
“ครอบครัวของเราจะมีเงินมากขนาดนั้นได้อย่างไร? เด็กตัวเล็ก ๆ อย่างเชวี่ยเอ๋อต้องเร่ขายของอยู่ข้างนอกทั้งวัน ในฐานะพ่อ ท่านไม่รู้สึกผิดบ้างหรือ…” น้ำตาของแม่นางเหลียนไหลริน
ด้วยความโศกเศร้า นางจึงลืมคำพูดที่หยุนเชวี่ยบอกจนหมดสิ้น ดังนั้นสิ่งที่พูดออกมาตอนนี้คือคำพูดที่ออกมาจากใจจริงของคนเป็นแม่
“เจ้าไปฟังใครมา ข้า… มันไม่ใช่ความผิดของข้ามิใช่หรือ?”
เมื่อเห็นแม่นางเหลียนร้องไห้ หยุนลี่เต๋อก็เผยความงุ่มง่ามออกมาทันที ก่อนส่งสายตาขอความช่วยเหลือลูกสาวคนรองผู้เฉลียวฉลาด
ไม่เพียงแต่ไม่ช่วยหยุนลี่เต๋อเกลี้ยกล่อมแม่นางเหลียน ลูกสาวคนรองยังเติมเชื้อไฟเข้าไปในกองเพลิงอีกด้วย
จากนั้นนางจึงเบะปากและหันไปกอดมารดาด้วยความเสียใจ
หยุนลี่เต๋อ…
ไม่ได้รับความช่วยเหลือ และยังต้องกลายเป็นกระโถนรองรับอารมณ์อีก…
หยุนเยี่ยนทำทีเมินเฉยใส่บิดาขณะยื่นผ้าเช็ดหน้าให้มารดา ก่อนก้มศีรษะและนั่งลงข้างเตียงโดยไม่เอื้อนเอ่ยคำใด
เสี่ยวอู่นิ่งเงียบ นัยน์ตาฉายแววความอึดอัด…
หยุนลี่เต๋อก้มศีรษะลงอย่างรู้สึกผิด
“ท่านพ่ออนุญาตให้เราแยกครอบครัวออกมาแล้ว พวกเขาจะให้ท่านจ่ายเงินแทนได้อย่างไร ชีวิตนี้ไม่ขออะไรทั้งนั้น ข้าแค่อยากอยู่อย่างสงบสุข…” แม่นางเหลียนปาดน้ำตาพลางถอนหายใจ “เหตุใดถึงยากเย็นนัก…”
“อย่าร้องไห้เลย ข้า… ข้า…” หยุนลี่เต๋อไม่อาจสรรหาเหตุผลมาตอบได้ เขาจึงพูดคำว่า ‘ข้า’ ซ้ำไปมาอย่างเงอะงะ
ยิ่งเห็นแม่นางเหลียนร้องไห้ หัวใจของเขาก็ยิ่งปวดร้าว… และยิ่งร้องไห้มากเท่าไหร่ก็ยากที่จะลบเลือนความขมขื่นออกจากใจได้ “ร้องไห้ไปก็ไม่ช่วยอะไร ชีวิตช่างยากเย็นยิ่ง สงสารเด็ก ๆ เหลือเกิน… ฮือ ๆ ๆ”
หยุนลี่เต๋อรู้สึกกังวลจนเหงื่อเย็นผุดออกมาตรงหน้าผาก “ข้ายังไม่ได้ตอบตกลง…”
“ถ้าอย่างนั้นท่านพ่อท่านแม่ต้องการให้เราขายที่ดินหรือ? ฮือ ๆ ๆ”
“ข้าบอกพวกท่านไปแล้วว่าขายที่ดินผืนนั้นไม่ได้”
“ท่านพ่อเคยสัญญากับท่านแม่ไว้แล้วว่าจะไม่จ่ายเงินยี่สิบตำลึงและจะไม่ขายที่ดินของเรา ดังนั้นได้โปรดเข้าใจนางด้วยเจ้าค่ะ” หยุนเชวี่ยรู้สึกเป็นห่วงมารดา
หยุนลี่เต๋อพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ข้าให้สัญญา หยุดร้องไห้ได้แล้ว…”
แม่นางเหลียนร้องไห้คร่ำครวญอยู่นานก่อนหยุดลง ดวงตาสีอ่อนกลายเป็นสีแดงก่ำ เปลือกตาบวมเป่งทำให้หยุนลี่เต๋อทุกข์ใจยิ่ง
“พะ… พูดมาสิ ท่านกล้าโกหก ขะ…ข้า” แม่นางเหลียนสะอึกสะอื้นพลางกล่าวสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจ
“ไม่ได้โกหก ข้าโกหกเจ้าตั้งแต่เมื่อไร อย่ากังวลเลย…” หยุนลี่เต๋อรับปากอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเป็นครั้งที่สี่
แม้ไม่เอื้อนเอ่ยคำใด แต่ในใจกลับรู้ดีว่าการล่าสัตว์นั้นไม่ใช่ธุรกิจที่สามารถใช้หากินได้ในระยะยาว ที่ดินเหล่านั้นเกี่ยวพันกับภรรยาและลูก ๆ ของเขาว่าจะมีอาหารเลิศรสไว้กินหรือมีเสื้อผ้าอุ่น ๆ ให้สวมใส่หรือไม่
เขาไม่ได้เป็นเพียงลูกผู้ชาย แต่ยังมีหน้าที่เป็นสามีและพ่อ ภรรยาของเขาทำงานหนักเพื่อครอบครัวจนล้มป่วย หากเขาขายที่ดินผืนนั้นจริง นางคงเสียใจมากแน่ ๆ
มือหยาบกระด้างของหยุนลี่เต๋อกำหมัดแน่น แม้จะยากเย็นเพียงใด แต่เขาต้องทนมันให้ได้!
แม่นางจ้าวและหยุนชิ่วเอ๋อไม่ได้เดินทางกลับมาจากในเมืองจนถึงยามเที่ยงของวันถัดไป
หยุนชิ่วเอ๋อรู้สึกมีความสุขอย่างมาก ดังนั้นนางจึงชูคอและเชิดหน้าขึ้นราวกับห่านขาวตัวใหญ่ และเมื่อก้าวพ้นประตูบ้านนางก็เอาผมทัดหูทันที
หยุนเชวี่ยเหลือบมองอย่างพินิจ แก้มของหยุนชิ่วเอ๋อแดงราวกับก้นลิงพลางนึกสงสัยว่านางใช้แป้งผัดหน้ากี่ครั้ง
หยุนชิ่วเหลือบมองไปรอบ ๆ ขณะเดินกรุยกรายเข้าไปในบ้าน ทันใดนั้นดวงตาของนางพลันสบเข้ากับสายตาของหยุนเชี่ยที่มองมา หยุนชิ่วจึงเบะปากพร้อมกลอกตาและกล่าวเย้ยหยันทันที “นังเด็กเหลือขอ ดูเจ้าสิ”
อันที่จริงนางมีความสุขมากที่เห็นสายตาอิจฉาคู่นั้น หึ เด็กบ้านนอกไม่เคยผจญโลก!
“ท่านอา วันนี้ท่านสวยมาก”
หยุนเชวี่ยจ้องมองหยุนชิ่วเอ๋อ แม่หล่น! เหตุใดนางถึงกลับมาพร้อมใบหน้าที่แดงเป็นก้นลิงเช่นนี้…
หยุนชิ่วเอ๋อใช้นิ้วม้วนปลายผมขณะกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ผงชาดตลับนี้ราคาแปดสิบห้าเหรียญเลยนะ! ข้าจะบอกให้ว่าคนจนอย่างเจ้าไม่มีเงินซื้อหรอก”
“แพงมากเจ้าค่ะ!” หยุนเชวี่ยเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“นี่ รู้หรือไม่?” หยุนชิ่วเอ๋อกอดอกพร้อมเผยสายตาดูถูก “ข้ามีรองเท้าปักราคามากกว่าร้อยเหรียญอยู่คู่หนึ่ง ตลอดชีวิตนี้เจ้าคงไม่มีปัญญาสวมมันหรอก!”
“วาสนาของท่านอาช่างดีเหลือเกิน…”
“หืม เด็กสาวกระโดกกระเดกอย่างเจ้าก็ดูออกด้วยหรือ”
การเดินทางเข้าไปในเมืองครั้งนี้ หยุนชิ่วเอ๋อได้ทั้งรองเท้าปัก ผงชาด และพัดถวนซ่าน นางจึงฮัมเพลงและเดินเข้าไปในห้องชั้นบนอย่างมีความสุข
แม่นางจ้าวขายปิ่นปักผมทองที่เป็นสินเดิมในราคาสองตำลึงเงินครึ่ง ดังนั้นนางจึงต้องใช้เวลาทำใจหลังจากกลับมาอยู่ครู่ใหญ่
ยิ่งหยุนชิ่วเอ๋อหยิ่งผยองมากเท่าไหร่ ใบหน้าของนางก็ยิ่งบิดเบี้ยวอัปลักษณ์มากขึ้นเท่านั้น…