ตอนที่ 87 ใบหน้าบึ้งตึงของเขา
หยุนลี่จงคิดสงสัยตลอดการเดินทางว่าเขาเป็นบัณฑิต เฟิงสือยวินก็เป็นบัณฑิตเช่นกัน แต่เหตุใดน้องรองถึงไม่ส่งลูกชายมาร่ำเรียนตำรากับตน แต่กลับส่งเสี่ยวอู่ไปให้คนนอกตระกูลสั่งสอน?
นี่หมายความว่าเขาฉลาดน้อยกว่าเฟิงสือยวินใช่หรือไม่?
ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บปวด เขาเพียงต้องการอวดฉลาด แต่ไม่คาดคิดว่าตนจะถูกเด็กเหลือขอทำให้อับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนีเช่นนี้
นังเด็กคนนี้จงใจพูดเช่นนั้น! นางต้องตั้งใจแน่นอน!
นางจงใจทำให้เขาเสียหน้า! ช่างเจ็บแสบยิ่งนัก!
ดวงตาของหยุนลี่จงแดงก่ำด้วยความโกรธ ในฐานะบัณฑิตที่สวมเสื้อคลุมตัวยาวและหมวกบัณฑิต เขาไม่สามารถสบถคำหยาบคายออกมาได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงตำหนิหยุนลี่เต๋อเท่านั้น
“เจ้ารอง ดูลูกสาวสุดที่รักของเจ้าสิ ปากเก่งนัก! ไร้อารยะ! มัน… มัน…”
เขา ‘จวนจะ’ สบถคำหยาบคายออกมา ‘อยู่แล้ว’
หยุนเชวี่ยเม้มปากแน่นเพื่อกลั้นหัวเราะ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดเขาถึงสอบขุนนางไม่ผ่านนานหลายหลายปีเพียงนี้ เขาไม่สามารถด่าทอโดยไม่มีคำหยาบได้ ไม่เหมือนแม่เฒ่าจูหญิงชราบ้านนอก!
หยุนลี่เต๋อตกตะลึงกับบทสนทนาอันละเอียดอ่อนของทั้งสองคน พลางหลุดเข้าไปในภวังค์พร้อมครุ่นคิดในใจ
ลูกสาวของเขาฉลาดมาก! นางสามารถตอบคำถามของบัณฑิตได้ลื่นไหลราวกับสายน้ำ!
“เจ้ารอง! เจ้ารอง!”
เมื่อเห็นว่าหยุนลี่เต๋อเมินเฉยคำถามของตน หยุนลี่จงจึงรู้สึกโมโหอย่างมาก “อย่าแสร้งทำตัวโง่เง่าต่อหน้าข้า!”
“พี่ใหญ่พูดว่าอะไรหรือ?”
หยุนลี่จงนิ่งอึ้ง
“พี่ใหญ่รีบเดินทางเถอะ เรายังอยู่ห่างจากตัวเมืองเจ็ดถึงแปดลี้!”
หยุนลี่จงยังคงนิ่งเงียบ
หยุนลี่จงพลันรู้สึกว่าอยากกระอักเลือดและตายตกไปเสีย…
หยุนเชวี่ยพลันรู้สึกสลดใจเมื่อนึกถึงพวกเขาในวัยเยาว์ เด็กที่มีใบหน้าเป็นมิตรและมีเมตตาต่อสัตว์และมนุษย์ เมื่อใดที่เขายกยิ้ม ลักยิ้มอันน่าหลงใหลทั้งสองข้างก็ปรากฏขึ้นบนแก้มทั้งสองข้าง ใครก็ตามที่พบเห็นต้องคิดว่าเขาไร้พิษสงเป็นแน่
หยุนเชวี่ยเดินไปพร้อมกับใช้สายตาเหลือบมองใบหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของหยุนลี่จงเป็นระยะ ตลอดทางนางต้องเผชิญหน้ากับความกระอักกระอ่วนและสายตาอาฆาตจากอีกฝ่ายจนรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง
มณฑลอันผิง
ครั้นเข้าไปในเมือง หยุนลี่จงที่รู้สึกแห้งเหี่ยวก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
เขากระชับหมวกบัณฑิต กำพัดแน่นขึ้น พลางเชิดหน้าขึ้นก่อนยกนิ้วขึ้นชี้และแนะนำสถานที่ต่าง ๆ
“นี่คือฮั่นหลินซวน สถานที่อันหรูหราที่บัณฑิตผู้รอบรู้และปราดเปรื่องมักมาประชันบทกวี จิบชา และเล่นหมากรุกกันที่นี่”
“นี่คือเรือนซื่อเป่า สถานที่ที่รวบรวมพู่กัน หมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึกที่มีคุณภาพดีที่สุดในมณฑล”
“นี่คือภัตตาคารหลงซิ่ง ไก่ย่างของที่นี่เลื่องชื่อยิ่งนัก กลิ่นหอมของมันลอยฟุ้งไปไกลกว่าสิบลี้ เนื้อไก่ไม่มันเยิ้ม ถือว่าเป็นไก่ย่างที่อร่อยที่สุดในโลก”
“ที่นี่คือร้านว่านเหอ ร้านค้าที่ใหญ่ที่สุดในเมือง…”
หยุนลี่จงรู้สึกภาคภูมิใจในความรอบรู้ของตน ทว่าก่อนที่จะพูดจบ เขาก็เหลือบไปเห็นชายวัยกลางคนที่มีเครายาวเดินออกมาจากร้าน
ชายผู้นั้นมองมาทางเขาพร้อมฉีกยิ้มกว้าง ก่อนเดินเข้ามาพร้อมโบกมือทักทาย
หยุนลี่จงจ้องมองชายแปลกหน้าด้วยความประหลาดใจ ก่อนยกมือขึ้นโบกกลับตามมารยาท
“สาวน้อยหยุนเชวี่ย” เถ้าแก่หูหัวเราะอย่างร่าเริงพร้อมกล่าวติดตลกว่า “ไม่ได้เจอกันสองสามวัน ธุรกิจของเจ้าไปได้สวยหรือไม่?”
มือข้างที่ยกขึ้นโบกของหยุนลี่จงแข็งค้างทันที ก่อนลดมือลงด้วยความอับอาย
“เถ้าแก่หู” หยุนเชวี่ยเหยียดยิ้มพลางกล่าวทักทายด้วยความเคารพ
“เจ้ากำลังจะไปที่ไหนหรือ?” เถ้าแก่หูเอ่ยถาม
“ครอบครัวของข้ามีธุระต้องจัดการนิดหน่อยเจ้าค่ะ”
“มีอะไรที่ข้าพอช่วยได้หรือไม่?”
“เรื่องเล็กน้อยเจ้าค่ะ อย่ารบกวนเถ้าแก่หูเลย”
“ไม่รบกวนเวลาทำธุระของเจ้าแล้วล่ะ
เถ้าแก่หูไม่ได้ปฏิบัติกับหยุนเชวี่ยเป็นเหมือนเด็กน้อย ทว่าปฏิบัติกับนางเช่นเดียวกับผู้ใหญ่
ทั้งสองคนโบกมือให้กันและกันอีกครั้ง
เมื่อเดินพ้นหน้าประตูอันกว้างขวางและสง่างามของร้านว่านเหอไปไกลแล้ว หยุนลี่จงพลันแค่นเสียงอย่างเย็นชา “สามคำสอนเก้าลำธาร* ไม่ถูกวางไว้บนโต๊ะ*
*สามคำสอนเก้าลำธาร ในที่นี้กล่าวถึงคนประเภทต่าง ๆ
*ไม่ถูกวางไว้บนโต๊ะ เป็นคำอุปมาหมายถึงความหยาบคายและความอ่อนน้อมถ่อมตน
“ข้าคิดว่าท่านลุงใหญ่รู้จักกับเถ้าแก่หูและยินดีที่ได้พบเขาเสียอีก” หยุนเชวี่ยเอ่ยถาม
หยุนลี่จงนิ่งเงียบ…
“ข้ามิใช่คบหาแต่บัณฑิตด้วยกัน แต่ยังคบหากับผู้ดีมากหน้าหลายตาด้วย”
“ผู้ดีคือคนที่มาจากตระกูลขุนนางหรือเจ้าคะ?” หยุนเชวี่ยเอ่ยถาม
“ถูกต้อง”
“อ้อ เราให้สหายของท่านลุงที่เป็นผู้ดีมาเจรจากับตระกูลหยูสิเจ้าคะ ตระกูลของเราจะได้ไม่ต้องอับอาย”
หยุนลี่จงเงียบอีกครั้ง…
“พวกเขามีเรื่องที่ต้องจัดการทุกวัน ไม่มีเวลามาใส่ใจเรื่องเล็กน้อยหรอก และอีกอย่างสิ่งที่เจ้าพูดมาเข้าข่ายใช้เจ้าหน้าที่หลอกลวงประชาชนไม่ใช่หรือ?”
โอ้ ไม่รุ่งโรจน์และมั่งคั่งเกินไป ตอนนี้ถึงเวลาเหมาะสมแล้วที่จะคืนเงินแล้วไม่ใช่หรือ?
“ท่านลุงพูดมีเหตุผลเจ้าค่ะ” หยุนเชวี่ยพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า “ในอนาคตท่านลุงจะต้องเป็นขุนนางตงฉินแน่นอนเจ้าค่ะ”
หยุนลี่จงเงียบอีกครั้ง…
“ท่านลุงใหญ่เจ้าคะ เมื่อถึงเวลานั้นเราจะย้ายเข้าไปอยู่ในเรือนหลังใหญ่ มีคนรับใช้มากมาย และสวมใส่เครื่องประดับเงินและทองได้หรือไม่เจ้าคะ?”
หน้าอกของหยุนลี่จงกระเพื่อมขึ้นลง เนื่องจากสวมหมวกบัณฑิตตลอดเวลา ดังนั้นจึงไม่มีใครเห็นเม็ดเหงื่อมากมายที่ผุดขึ้นบนหน้าผากของเขา
เด็กหญิงตัวน้อยคอยพูดขัดคอ เยาะเย้ยเขาทั้งทางตรงและทางอ้อม และพยายามส่งสายตาชั่วร้ายเพื่อยั่วโมโหเขาอีกด้วย!
“เชวี่ยเอ๋อ” หยุนลี่เต๋อพูดขึ้นหลังจากปิดปากเงียบตลอดทาง “อย่าโลภมากและหลงใหลในของนอกกายตั้งแต่เด็กสิ การใช้ชีวิตติดดินคือวิถีการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องต่างหาก”
เขาเป็นคนหยาบกระด้าง ไม่ค่อยมีอารมณ์ขันที่ต้องการสั่งสอนลูกสาวเท่านั้นเอง
คำพูดเหล่านั้นดังกังวานอยู่ในโสตประสาทของหยุนลี่จงไม่จางหาย ยิ่งได้ยินเขาก็ยิ่งรู้สึกกระสับกระส่าย
อะไรกันเจ้ารอง… กล้าดีอย่างไรถึงผสมโรงกับเด็กเหลือขอหลอกด่าข้า!
เหลวไหลเหลือเกิน!
เหลวไหลเกินไปแล้ว!
ตระกูลหยูอาศัยอยู่ทางตะวันออกของเมือง ซึ่งหน้าเรือนมีร้านขายของชำตั้งอยู่
หยุนลี่เต๋อนำทางไปยังบ้านของตระกูลหยูอย่างง่ายดาย
ร้านของของชำหน้าเรือนเป็นร้านเล็ก ๆ ซึ่งมีแผ่นป้ายโลหะแขวนอยู่ตรงประตู ‘หยูจี่’
เมื่อเดินเข้าไปในร้านก็จะเจอกับโต๊ะคิดเงินตั้งอยู่ ด้านหลังโต๊ะชายชราหน้าตาบูดบึ้งผู้เป็นผู้นำของตระกูลหยูยืนอยู่
“ท่านลุงหยู” หยุนลี่เต๋อก้าวไปข้างหน้าพร้อมเอ่ยทักทายอย่างสุภาพ
ชายผู้นั้นหรือตาลงพลางเลิกคิ้วก่อนเอ่ยตอบอย่างเฉยเมย “มาแล้วรึ?”
“ท่านลุงหยู ผู้นี้คือพี่ชายคนโตของข้า พวกเราสองพี่น้องมาที่นี่เพื่อนำของมาชดใช้ให้ท่านขอรับ” หยุนลี่เต๋อโค้งคำนับหลังจากกล่าวจบ
หยุนลี่จงแค่นเสียงด้วยความเหยียดหยาม ขณะที่หลังของเขาเหยียดตรงและเชิดคางขึ้น
“ไม่มีประโยชน์ที่จะชดใช้!” ผู้เฒ่าหยูช้อนสายตาขึ้นมองสารรูปของหยุนลี่จง “ไม่ว่ามันจะเป็นของดีเพียงใดก็ไม่มีค่าเท่าเงิน!”
หยุนลี่จงรู้สึกโมโหเมื่อเห็นสายตาและใบหน้าเหี่ยวย่นของอีกฝ่าย
“ข้าเป็นบัณฑิต แม้แต่ผู้พิพากษาข้ายังไม่จำเป็นต้องคำนับ!”
เจตนาที่ต้องการสื่อนั้นชัดเจน ไม่มีทางที่ข้าจะคร่ำครวญและพูดอย่างนอบน้อมกับเจ้า!
“ตดของบัณฑิตมีค่าเท่ากับยี่สิบตำลึงรึ?” เมื่อเปรียบเทียบกับหยุนลี่เต๋อแล้ว ผู้เฒ่าหยูความหยาบคายยิ่งกว่า
“เจ้า… เจ้ากล้าดูหมิ่นสุภาพชนรึ!” เส้นเอ็นบริเวณลำคอของหยุนลี่จงปูดโปน
“ไอ้สุภาพชนปัญญาอ่อน! อย่ามาพูดจาเหลวไหลกับข้า เงินอยู่ที่ไหนเล่า? หากไม่จ่าย เจ้าได้เจอข้าที่สำนักงานบริหารแน่!”
“ข้าเป็นบัณฑิต ต่อให้ต้องไปที่สำนักงานบริหารข้าก็ไม่จำเป็นต้องคุกเข่าขอความปรานี!”
“อย่ามาคุกเข่าขวางทางข้า คนจะทำมาหากิน!”
“พวกป่าเถื่อน!”
“มีเงินหรือไม่ หากไม่มีก็ไสหัวไปซะไอ้ปัญญาอ่อน!”
หยุนลี่จงตกตะลึง
หยุนลี่เต๋อก็ไม่สามารถพูดไกล่เกลี่ยได้เช่นกัน
ส่วนหยุนเชวี่ยยังปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ได้
คนหนึ่งเอาแต่พูดว่า ‘ข้าเป็นบัณฑิต’ ส่วนอีกคนหนึ่งก็พูดเพียงคำว่า ‘ไอ้ปัญญาอ่อน’
หลังจากเวลาผ่านไปครู่ใหญ่…
“พวกไร้แก่นสารมักสร้างปัญหาให้ผู้อื่น!” หยุนลี่จงเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด
สุภาพชนจอมปลอมจะสบถคำหยาบไม่ได้เด็ดขาด
“ไร้สาระสิ้นดี!” ผู้เฒ่าหยูหันหลังกลับพลางตะโกนเข้าไปในห้องด้านหลัง “ซื่อเอ๋อ ออกมาได้แล้ว!”