ตอนที่ 114 ครอบครัวเจ้าต้องประสบเคราะห์อีกครั้ง!
หยุนลี่เซียวมีนิสัยเกียจคร้านเอาแต่กินและนอนตลอดทั้งวันจึงสนใจเพียงว่ามีผลประโยชน์ใดบ้างที่ไม่ต้องทำงานหนักให้เปลืองแรง
ตรงข้ามกับหยุนลี่จงซึ่งร่ำเรียนอย่างแตกฉานและมีวิชาความรู้สูงกว่าจึงเล็งเห็นบางสิ่งที่คุ้มค่ายิ่งกว่า
หากครอบครัวของน้องชายมีลู่ทางทำเงิน เราก็เพียงขอแนวทางและลอกเลียนแบบเขาเสียไม่ดีกว่าหรือ?
ข่าวลือเล่าต่อกันมาว่าเด็กเชวี่ยเอ๋อนั่นยอมลงทุนจ้างคนเพื่อให้ช่วยเร่ค้าขาย ดังนั้นหยุนลี่จงก็จะยอมเจียดเงินจ้างคนให้เร่ขายแทนตนเองเช่นกัน หากจ้างหลายคนภาระงานก็ยิ่งเบาบางลง เขาสามารถกินนอนอยู่ที่บ้านโดยไม่ต้องทำสิ่งใดเลยทว่ามีเงินเหรียญมาป้อนให้ถึงที่วันละหลายแสนเหรียญ นั่นเป็นความคิดที่วิเศษไม่ใช่น้อย!
ผู้ใดเล่าจะโง่เขลาเท่าน้องสาม? ยิ่งได้รับทรัพย์สินส่วนแบ่งมากเพียงใดก็มีแต่จะใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายโดยไม่ใคร่ครวญคิดหนทางให้ตัวเงินงอกเงย
“ท่านพ่อ วิธีนี้เป็นอย่างไรขอรับ? เราเพียงต้องการแนวทางทำธุรกิจจากเขาเท่านั้น ไม่ได้หวังส่วนแบ่งผลกำไรจากเขาแต่อย่างใด” หยุนลี่จงเอ่ยถามย้ำอีกครั้งด้วยความหวังเต็มเปี่ยม
“อนิจจา…” ผู้เฒ่าหยุนผ่อนลมหายใจออกอีกครั้ง “ข้าไม่รู้ว่าน้องรองของเจ้าจะยินดีบอกกล่าวหรือไม่”
แม้ปากของลูกชายคนโตจะกล่าวอย่างมีวาทศิลป์ว่าไม่ต้องการเอารัดเอาเปรียบผู้เป็นน้อง ทว่าชายชราผู้ผ่านโลกมามากเช่นเขาหรือจะเบาปัญญาเสียจนมองไม่ออกว่าเจ้าลูกคนนี้ย่อมต้องคิดวิธีแสวงหากลโกงเป็นแน่
อย่างไรก็ตาม…
หยุนลี่จงกล่าวได้ถูกต้อง ถึงอย่างไรครอบครัวของหยุนลี่เต๋อก็ยังถือว่ามีสายสัมพันธ์ทางตระกูลกันอยู่ อีกทั้งลองหารือกันเรื่องธุรกิจก็ไม่ใช่เรื่องที่เสียหาย
หยุนชิ่วเอ๋อกระแทกกายลงนั่งพร้อมบ่นเสียงฮึดฮัด “หากนังเด็กโสมมนั่นไม่ยอมปริปากแล้วละก็ ข้าจะฉีกทึ้งปากของเจ้าเสีย!”
แม่เฒ่าจูนิ่งฟังอยู่นานกว่าจะจับใจความได้ว่าลูกชายคนรองของตนและครอบครัวของเขาสามารถค้าขายสร้างรายได้เป็นจำนวนมาก ทว่าเงินเหล่านั้นมิได้กระเด็นเข้ากระเป๋านางเพื่อตอบแทนพระคุณในฐานะมารดาผู้ให้กำเนิดเลยแม้แต่เหรียญเดียว สิ่งนี้ทำให้แม่เฒ่าจูโกรธเกรี้ยวจนหัวอกแทบระเบิดออก นางเอาแต่ตีอกชกหัวและสาปแช่งด้วยถ้อยคำผรุสวาท “ข้าให้กำเนิดสัตว์เดรัจฉานกระนั้นรึ?! ข้าทะนุถนอมฟูมฟักจนเติบใหญ่แต่กลับเห็นผู้อื่นประเสริฐกว่าแม่ตน! ไอ้ลูกเนรคุณ! เทพสวรรค์พิโรธอันใดจึงส่งมันมาเกิดเป็นลูกข้ากัน?!”
สมาชิกทั้งห้าของครอบครัวหยุนเชวี่ยกำลังล้อมวงทานอาหารและพูดคุยกันด้วยเสียงหัวเราะแห่งความสุข แต่แล้วก็ได้ยินเสียงสบถสาปแช่งอย่างรุนแรงของแม่เฒ่าจูดังออกมาจากห้องโถงใหญ่
“ท่านย่าฟาดงวงฟาดงาอีกแล้วหรือนี่” หยุนเชวี่ยเหน็บแนมอย่างรู้ทัน
“ท่านย่าของเจ้ามีอารมณ์ฉุนเฉียวเป็นนิจ ไม่พอใจก็หยิบยกมาโวยวายใหญ่โต ผ่านไปพักใหญ่ก็เปลี่ยนเรื่องเสีย” หยุนลี่เต๋อกล่าวปลอบ
อันที่จริงหยุนลี่เต๋อไม่พอใจคำด่ารุนแรงเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย ยิ่งเมื่อพาดพิงมาถึงบรรดาลูก ๆ และภรรยาของตนยิ่งฟังยิ่งรู้สึกบั่นทอนเสียจนขมขื่น
ทว่าท้ายที่สุดแล้วหยุนลี่เต๋อไม่สามารถโต้ตอบหรือปกป้องใด ๆ ได้เลยเนื่องจากอีกฝ่ายมีศักดิ์เป็นถึงมารดาบังเกิดเกล้า หากหยุนลี่เต๋อเผลอแสดงออกว่าไม่ชอบใจเพียงหนึ่งครั้ง แน่นอนว่าแม่เฒ่าจูจะต้องร่ำไห้ตีโพยตีพายและก่อความโกลาหลขึ้นในบ้านทั้งยังข่มขู่จะแขวนคอตายอยู่เรื่อยมา ซึ่งพี่น้องร่วมสายเลือดรายอื่นย่อมไม่พอใจหยุนลี่เต๋อเช่นกัน
“ข้าเชื่อว่าท่านย่าต้องสาปแช่งข้าเป็นแน่ ใครสักคนคงเล่าให้ท่านฟังถึงเรื่องที่ข้าเข้าไปค้าขายบ๊วยดองในเมืองและกลับมาพร้อมเงินเป็นกอบเป็นกำ” หยุนเชวี่ยคาดเดาอย่างเฉียบขาดทว่ามิได้หวาดกลัวใด ๆ
แม่เฒ่าจูหรือจะไม่ตาลุกวาวเมื่อรู้ว่านางหาเงินจุนเจือครอบครัวได้แล้ว หากไม่ดุด่าหยุนเชวี่ยทันทีที่รู้เรื่องคงเป็นเรื่องแปลกมหันต์
“เสียงของเจ้าแหบแห้งหมดแล้ว ช่วงกลางวันที่ผ่านมาคงตะเบ็งเสียงเรียกลูกค้าไม่หยุดหย่อน ดื่มซุปเพิ่มอีกหน่อยเถิด” แม่นางเหลียนตักซุปถั่วเขียวเพิ่มในถ้วยให้ลูกสาว
“ท่านพ่อ เมื่อไรโต๊ะเขียนหนังสือของเสี่ยวอู่จะพร้อมหรือเจ้าคะ?”
“พ่อพบต้นไม้ที่คล้ายกันบนภูเขาแล้ว ตั้งใจจะขึ้นไปตัดลงมาในวันพรุ่งนี้ อาจใช้เวลาประมาณสองหรือสามวันได้”
“ดีเจ้าค่ะ วันพรุ่งนี้ข้าจะช่วยท่านพ่ออีกแรง!”
“พ่อไม่รบกวนเจ้าหรอก ให้ทำคนเดียวยังได้”
ระหว่างมื้ออาหารทุกคนยังคงพูดคุยกันต่อไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุขที่อบอวลไปทั่ว ทันทีที่กินเสร็จหยุนเยี่ยนจึงหอบจานชามลงไปด้านล่างเพื่อทำความสะอาด ทันใดนั้นหยุนเชวี่ยจึงเหลือบมองเห็นร่างของซานหลางกำลังเดินเลาะเลียบไปตามกำแพง
“เชวี่ยเอ๋อ! เชวี่ยเอ๋อ…” ซานหลางย่องเข้าไปใกล้แปลงผักพลางเรียกหยุนเชวี่ยด้วยเสียงกระซิบกระซาบ
“ว่าอย่างไรรึ?”
“เข้ามาใกล้ ๆ ข้าใคร่บอกบางสิ่ง”
“เช่นนั้นไปคุยกันหลังบ้านดีกว่า”
ท่ามกลางความมืดมิดยามราตรีกาล มีเพียงแสงจันทร์นวลกระจ่างซึ่งส่องสว่างให้เห็นบรรยากาศโดยรอบเพียงรำไร
หลังบ้านตระกูลหยุนเป็นโพรงกระต่ายที่ถูกสร้างไว้โดยมีรั้วรอบขอบชิด หยุนเชวี่ยยอบตัวลงก่อนยื่นต้นหญ้าสอดเข้าไปตรงข้างกรง เสี่ยวฮวาและเสี่ยวฮุยที่สัมผัสถึงผู้มาเยือนหูผึ่งตั้งตรง จากนั้นปลายหูจึงกระดิกขณะกระโดดหย็อยแบกแก้มพองอ้วนเข้ามาหาหยุนเชวี่ยพร้อมกัน
“เกิดอะไรขึ้น?” หยุนเชวี่ยเอ่ยถามพลางเอื้อมมือลูบขนอ่อนนุ่มของพวกมันอย่างรักใคร่
“ขอน่องไก่หนึ่งชิ้น” ซานหลางยื่นมือออกไปตรงหน้า
หยุนเชวี่ยถึงขั้นกล่าวคำใดไม่ออก
ซานหลางไม่มีหัวคิดหรืออย่างไรกัน? เหตุใดจึงเรียกร้องแต่จะขอน่องไก่?
“หากเจ้าไม่ยอมแบ่งปันน่องไก่ให้ข้าแต่โดยดี เห็นทีครอบครัวของเจ้าจะต้องประสบเคราะห์อีกครั้ง!” เขากอดอกพลางกระดิกปลายเท้าอย่างไร้มารยาทด้วยท่าทางเช่นเดียวกับหยุนลี่เซียวผู้เป็นพ่อ
“เหอะ เหอะ… เจ้าคงนึกอิจฉาใช่หรือไม่ที่ครอบครัวของข้าสามารถสร้างรายได้ได้มากกว่า?”
จุดประสงค์ของเจ้าเด็กนี่น่ะหรือ? หยุนเชวี่ยสามารถคาดเดาได้ไม่ยากนัก
หยุนเชวี่ยตระหนักดีว่าอีกฟากฝั่งหนึ่งของบ้าน แม่เฒ่าจูคงกำลังโกรธแค้นครอบครัวของตนจนมือไม้สั่นเมื่อรู้ว่าคนในครอบครัวกำลังสร้างเนื้อสร้างตัวได้ ส่วนหยุนชิ่วเอ๋อย่อมไม่เป็นสุขเพราะความริษยาที่ไม่ต้องการให้พี่น้องร่วมสายเลือดได้ดีไปกว่าตน หยุนลี่จงนั่นเล่าคงเอาแต่สรรหากลเม็ดสารพันสิ่งเพื่อแสวงหาผลประโยชน์อย่างน่ารังเกียจ ทั้งยังมีภรรยาเช่นแม่นางจ้าวคอยใช้วาจาเสี้ยมสอดอยู่เนือง ๆ กระทั่งครอบครัวของหยุนเชวี่ยไม่อาจดำรงชีพอย่างปกติสุขได้
หยุนเชวี่ยนึกยินดีเสียเหลือเกินที่ครอบครัวของตนแยกบ้านออกมาอยู่กันลำพังแล้ว หากไม่เช่นนั้นเงินทุกจำนวนที่หามาได้คงต้องเจียดให้พวกเขากระทั่งตนไม่พอยาไส้เป็นแน่
ซานหลางผงะไปเล็กน้อย “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
เขาคิดเอาเรื่องดังกล่าวมาข่มขู่หยุนเชวี่ยให้หวาดกลัวจนต้องยอมสยบโดยดีแล้วแท้ ๆ!
“ซาลาเปาไส้เนื้อลูกหนึ่ง ไม่มีการต่อรอง” หยุนเชวี่ยคร้านพล่ามวาจาไร้สาระกับอีกฝ่ายให้มากความ
ในที่สุดหยุนเชวี่ยได้รับรู้แล้วว่าสิ่งที่ตนคาดเดานั้นถูกต้องทุกประการ ดังนั้นข่าวสารลับที่ซานหลางคิดนำมาติดสินบนจึงไม่สำคัญสำหรับตน ถึงกระนั้นก็ยังคิดจะมอบซาลาเปาให้เพื่อที่ซานหลางจะไม่ต้องมาตามวอแวตนอีกพักใหญ่
“ซาลาเปาหนึ่งลูก และเงินห้าเหรียญ!” ซานหลางเหยียดนิ้วออกทั้งห้านิ้ว
“หากไม่รับเช่นนั้นก็ไปวิ่งเล่นไกล ๆ เสีย” หยุนเชวี่ยกลอกตามองซานหลางและเตรียมหันหลังเดินจากไป
ไม่อยากเชื่อว่าร้อยวันพันปีนิสัยตะกละและโลภมากของซานหลางยังไม่เคยเปลี่ยน
“ช้าก่อน!” ซานหลางรีบวิ่งมาขวางหน้าหยุนเชวี่ยทันที
หยุนเชวี่ยหรี่ตามองซานหลางพลางเอียงศีรษะ “มีเรื่องใดอีก? ข้าชักเบื่อหน่ายเกินจะฟังเสียแล้ว”
“ซาลาเปาอย่างเดียวก็ซาลาเปาอย่างเดียว แต่ข้าต้องการลูกที่มีไส้เยอะ ๆ” ซานหลางพูดพลางตั้งท่าจะถ่มน้ำลายออกมา
หยุนเชวี่ยรีบสาวเท้าถอยกลับทันทีด้วยความรังเกียจ ฉับพลันจึงได้ยินเสียงร้องเรียกจากผู้เฒ่าหยุนดังมาจากตัวบ้าน “เจ้ารอง… กินข้าวปลาเรียบร้อยแล้วหรือ?”
“เรียบร้อยแล้วขอรับท่านพ่อ”
“เช่นนั้นจัดการธุระตนเองให้เรียบร้อยเสียแล้วไปพบข้าที่ห้อง ข้ามีบางสิ่งใคร่หารือกับเจ้า…”
“เฮ้!”
หยุนเชวี่ยโบกมือพลางโคลงศีรษะให้กับซานหลางเป็นเชิงปฏิเสธ “ตอนนี้เห็นทีคงนึ่งไม่ทันแล้ว ไว้รอซาลาเปาเนื้อลูกโตวันหน้าก็แล้วกัน!”
กล่าวจบแล้วหยุนเชวี่ยจึงผละจากไปทันที
ซานหลางกระทืบเท้าโดยแรงด้วยความโกรธ ความตะกละส่งเสียงครืดคราดผ่านช่องท้องอย่างไร้ยางอาย อุตส่าห์แบกหน้ามาข่มขู่ถึงที่แต่กลับไม่ได้ซาลาเปารสเลิศแม้แต่ชิ้นเดียว!
“ท่านพ่อ!” หยุนเชวี่ยเร่งฝีเท้าออกมาจากบริเวณหลังบ้าน “ท่านปู่เรียกท่านอย่างนั้นรึ? ให้ข้าไปกับท่านเถิด”
ผู้เฒ่าหยุนยังเดินห่างไปไม่ไกลนัก ครั้นหยุนเชวี่ยเงยหน้าขึ้นมองขึ้นไปบนชั้นสองจึงพบว่าผู้เฒ่าหยุนเพียงยกมือไพล่หลังเป็นเชิงอนุญาต
เรื่องที่เรียกเข้าไปหารือเป็นการส่วนตัวคงไม่พ้นธุรกิจและเรื่องเงินที่นางหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงเป็นแน่
หยุนลี่เต๋อและหยุนเชวี่ยเดินขึ้นไปยังชั้นสองก่อนหายลับเข้าประตูไปทีละคน จากนั้นบานประตูจึงถูกงับปิด
แม่นางเหลียนมองตามบานประตูที่ปิดลงพลางถอนหายใจออกด้วยความกังวล เห็นทีครานี้คงไม่พ้นถูกลำเลิกบุญคุณอีกเป็นแน่
ภายในห้องโถง
ชายชรานั่งพิงพนักเก้าอี้หลังตรง พลางยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบติดต่อกันถึงสองถ้วย กรามขบเข้าหากันแน่นจนเกิดรอยปูดโปนบนแก้ม ทว่าริมฝีปากกลับเม้มแน่นไม่คิดเอ่ยคำใดเสียที
ต่างฝ่ายต่างนิ่งงันไปพักใหญ่
ครั้นหยุนลี่เต๋อเห็นว่าหยุนลี่จง หยุนลี่เซียว หยุนชิ่วเอ๋อ แม่นางจ้าวและแม่เฒ่าจูจับจ้องมายังตนอย่างไม่คลาดสายตาจึงตัดสินใจเปิดฉากสนทนาก่อนด้วยรู้สึกไม่สบายใจ “ท่านพ่อเรียกข้ามาด้วยเรื่องใดหรือขอรับ?”
“อะแฮ่ม…” ผู้เฒ่าหยุนกระแอมไอในลำคอก่อนเอนกายลงพิงพนักเก้าอี้อีกครั้งทั้งที่ร่างหกายแข็งทื่อ ก่อนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงลังเล “ให้เจ้าใหญ่เป็นคนพูดเถิด”
“ข้าหรือ?” หยุนลี่จงแสร้งกล่าวทวนพอเป็นพิธีก่อนหันไปสบตาหยุนลี่เต๋อ จากนั้นจึงสวมบทบาทวางโตเป็นพี่ใหญ่ของตระกูลและเข้าเรื่องทันที
“หากท่านพ่อขอให้ข้าเป็นผู้พูด เช่นนั้นในฐานะพี่ใหญ่จึงต้องหารือกับเจ้าด้วยเหตุและผล…” หยุนลี่จงหยุดชะงักครู่หนึ่งก่อนยกมือขึ้นอย่างวางอำนาจ รินน้ำชาหนึ่งถ้วยแล้วจึงยกขึ้นจิบ จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นอีกครั้งพร้อมสีหน้าที่แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
“น้องรอง… พี่ชายคนนี้คงยังไม่เคยบอกกล่าวกับเจ้าอย่างจริงจังถึงเรื่องต่อไปนี้ ถึงแม้เจ้าจะแยกครอบครัวออกไปอาศัยอยู่ลำพัง ทว่าเจ้ายังคงใช้แซ่หยุน อีกทั้งบรรดาลูก ๆ ของเจ้าก็ใช้แซ่หยุนเฉกเช่นเดียวกัน ดังนั้นผองเราทุกคนจึงถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกันถูกต้องหรือไม่?” หยุนลี่จงขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางแสดงท่าทางจริงจัง น้ำเสียงแฝงไปด้วยการตำหนิกลาย ๆ