ตอนที่ 172 ใบ้รับประทาน
ผู้เฒ่าหยุนนิ่งอึ้งด้วยไร้เหตุผลมาอธิบายได้
สาเหตุที่นิ่งเงียบไม่ใช่เพราะถูกหยุนลี่เซียวเค้นถามแต่อย่างใด ทว่าการกระทำของหยุนลี่จงทำให้ผู้เฒ่าหยุนถึงกับตัวสั่นและกล่าวคำใดไม่ออกไป
เจ้าใหญ่เที่ยวเล่นเสเพล… ร่ำสุรา เสพสมนารีงั้นหรือ?
ผู้เฒ่าหยุนตระหนักดีว่าย่อมเป็นเรื่องธรรมดาสามัญของบุรุษเพศที่จะแสวงหาความสำราญทางอารมณ์โดยการเข้าไปในหอนางโลม หรือแม้แต่กระทำเรื่องผิดศีลธรรมโดยการแต่งอนุภรรยาคนที่สอง คนที่สามหรือสี่ตามธรรมเนียมโบราณ ทว่าเรื่องเหล่านั้นต้องเกิดขึ้นสำหรับผู้ซึ่งมีฐานะพอสมควรเท่านั้น
ผู้เฒ่าหยุนนึกย้อนไปถึงหลายสิบปีที่แล้ว เขาเพียรทุ่มเทแรงกายอย่างเต็มความสามารถเพื่อเก็บหอมรอมริบไว้ให้หยุนลี่จงได้รับการศึกษาสูงส่งจนกลายเป็นบัณฑิตและสามารถสอบรับราชการยกระดับฐานะของตระกูล ตลอดระยะเวลาเกินครึ่งชีวิตผู้เฒ่าหยุนเฝ้ารอคอยวันแห่งความรุ่งโรจน์นั้นด้วยใจจดจ่อ ทว่าไม่คาดคิดว่าเจ้าใหญ่…
ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใดกันแน่หยุนลี่จงจึงเมามายจนเสียสติยั้งคิดและเข้าไปในสถานที่อโคจรเช่นนั้น ผู้เฒ่าหยุนไม่นึกห้ามปรามหากเขาเป็นบุรุษสามัญเช่นหยุนลี่เซียว แต่หยุนลี่จงเป็นถึงนักปราชญ์ที่ร่ำเรียนวิชามาทั้งชีวิต!
“ท่านพ่อ ตอบข้าให้กระจ่างเถิดว่าท่านให้เงินพี่ใหญ่มากเพียงใด เขาจึงนำมันไปเที่ยวเตร่เสพความสำราญจนสิ้นสภาพเช่นนี้?!”
หยุนลี่เซียวมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่าผู้เฒ่าหยุนต้องลอบให้เงินพี่ชายตนเพิ่มลับหลังโดยที่ตนไม่รู้เห็นเป็นแน่!
ความอยุติธรรมในครั้งนี้ชัดเจนจนเกินไป! มิฉะนั้นผู้เฒ่าหยุนคงไม่เกิดอาการใบ้รับประทานเช่นนี้!
ผู้เฒ่าหยุนหลับตาหลงเพื่อรวบรวมสติก่อนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งทรงอำนาจ “ทุกสิ่งที่เจ้ากล่าวมาล้วนเป็นความจริงอย่างนั้นรึ? เจ้าใหญ่… เขา…”
แม้เรื่องเลยเถิดและเป็นที่ประจักษ์ถึงเพียงนี้ ทว่าผู้เฒ่าหยุนก็ยังไม่อยากเชื่ออย่างหมดหัวใจว่าหยุนลี่จงจะนำเงินหนึ่งร้อยตำลึงที่ตนได้รับมาจากการขายที่ดินไปใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายกับสุราและนารีเหล่านั้น
“หากท่านไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ข้าพูดเท็จจริงอย่างไร เหตุใดท่านจึงไม่หวนนึกถึงสภาพของเขาเมื่อครู่เล่า? กลิ่นเหม็นหึ่งจากสุราเคล้ากับกลิ่นแป้งประทินผิวของสตรีที่โชยออกมาจากเสื้อผ้า สิ่งเหล่านั้นยังไม่ชัดเจนสำหรับท่านอีกหรืออย่างไร?” หยุนลี่เซียวโกรธจนแข้งขาสั่น ใบหน้าของเขาเริ่มบิดเบี้ยว “สถานที่นั้นเป็นที่ละลายทรัพย์ตั้งแต่ปากประตูทางเข้า! สุราเพียงหนึ่งจอกหรือแม้แต่น้ำชาสักหนึ่งกามีมูลค่าถึงหนึ่งตำลึง! ยิ่งกล่าวถึงการเรียกสตรีรูปงามมาปรนนิบัติใกล้ชิดแล้วละก็… ถุย! คงต้องใช้จ่ายมากกว่าแปดถึงสิบสองตำลึงเป็นอย่างต่ำ! นับประสาอะไรกับการเสพสุราเคล้านารีพร้อมทั้งสองสิ่ง พี่ใหญ่ของข้าช่างร่ำรวยเสียนี่กระไร!”
หยุนลี่เซียวหยุดเว้นช่วงครู่หนึ่งก่อนหรี่ตามองใบหน้าของผู้เฒ่าหยุน สองแก้มของเขาซูบตอบเพราะขบกรามแน่นขึ้นจนเกิดสันนูน คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันจนชิดติด ใบหน้าที่แดงก่ำเป็นทุนเดิมอยู่แล้วแปรเปลี่ยนเป็นม่วงคล้ำเข้มประหนึ่งสีตับหมู
หยุนลี่เซียวสูดลมหายใจก่อนพ่นคำตัดพ้อต่อไป “ท่านพ่อ ตระกูลของเราขายเนื้อทั้งหมดให้กับพี่ใหญ่ไปจนหมดสิ้นแล้ว จากนี้ข้าคงต้องกินเพียงน้ำซุปเปล่าซึ่งมีผักเคียงเพียงน้อยนิด ท่านตระหนักบ้างหรือไม่ว่ากำลังปล่อยให้ลูกชายคนนี้อดอยากปากแห้งเพียงใด?”
ผู้เฒ่าหยุนบีบมือเหี่ยวแห้งของตนไว้แน่นโดยที่ยังไม่มีถ้อยคำใดเล็ดลอดออกจากริมฝีปาก
“เจ้ามันตัวล้างผลาญ! เห็นครอบครัวย่อยยับเพียงนี้กลับไม่คิดแบ่งเบาเอาแต่คิดจะรีดไถ! ต่อให้ข้าและพ่อของเจ้าล้มหายตายจากไปคงเห็นแก่เงินกระทั่งขุดหลุมศพพวกข้าขึ้นมาค้นเอาของมีค่าไปจนสิ้น! หรือหากหลงเหลือเพียงกระดูกก็คงจะขุดเอาไปขายเสียกระมัง!” แม่เฒ่าจูซึ่งนิ่งเงียบอยู่เป็นนานกระแทกชามลงกับโต๊ะเสียงดังและโต้กลับอย่างไม่พอใจ
“ท่านแม่อย่าได้กล่าววาจาอัปมงคลเช่นนั้นไปเลย หากถึงเวลานั้นผู้ที่จะทำสิ่งที่ท่านกล่าวมาอาจไม่ใช่ข้า แต่เป็นพี่ใหญ่ของข้าต่างหาก!” หยุนลี่เซียวไม่ยอมแพ้
แม่เฒ่าจูสำลักทันทีด้วยไม่คิดว่าหยุนลี่เซียวจะกล้ามีปากเสียง “อะ… ไอ้สุนัขป่าตาขาว! ทั้งชีวิตเจ้าเห็นยายแก่เช่นข้ากินอาหารประทังชีวิตไปวัน ๆ เพื่อรอความตายกระนั้นรึ?! ไอ้ลูกเนรคุณ! ข้าไม่คิดเลยว่าเด็กชายที่เลี้ยงดูมากับมือจนเติบใหญ่จะชั่วช้าเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน!”
ผู้เฒ่าหยุนเป็นผู้ให้เงินหยุนลี่จงกับมือตนเอง ทว่าแม่เฒ่าจูกลับเป็นเดือดเป็นร้อนแทนและพยายามด่าทออีกฝ่ายเพื่อกลบเกลื่อนความลำเอียงนั้น ส่วนหยุนชิ่วเอ๋อนิ่งเงียบไม่ผสมโรงเพราะยังมีคดีเก่าติดตัวเมื่อก่อนมื้ออาหาร นางเพียงถลึงตามองแม่นางเฉินอย่างไม่ละสายตาราวต้องการฉีกทึ้งร่างอีกฝ่ายออกเป็นชิ้น ๆ
หัวใจของแม่นางเฉินยังคงเจ็บปวดจากเรื่องในช่วงเย็นไม่คลาย นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางกล่าวพึมพำกับตนเอง “ที่โสมมแห่งนั้นมีสิ่งใดน่าดูชม? สตรีเหล่านั้นเป็นเพียงนางจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่หว่านโปรยเสน่ห์หลอกเอาเงินจากบุรุษเท่านั้น!”
…
ห้องปีกตะวันออก
หยุนลี่จงนอนหลับไปทั้งสภาพเหม็นหึ่งอย่างนั้นโดยไม่ใส่ใจผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เขานอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงราวหมูตาย เสียงกรนดังสลับสั้นยาวสะเทือนเลื่อนลั่นราวเสียงฟ้าร้อง
“คร่อก… คร่อก…”
แม่นางจ้าวซึ่งเดินตามเข้ามาในห้องรีบวางถาดอาหารลง ก่อนเดินมานั่งทับชายเสื้อคลุมของหยุนลี่จงและก้มลงสูดดมกลิ่นจากกายของเขาเป็นเวลานาน ผ่านไปครู่หนึ่งใบหน้าของแม่นางจ้าวจึงแปรเปลี่ยนเป็นยับย่นไม่น่าชมอีกต่อไป
ตอนนี้นางจ้าวไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นเพราะคำพูดยั่วยุให้ครอบครัวแตกแยกจากปากหยุนลี่เซียวที่ทำให้ตนสูญเสียสมาธิ หรือสามีตัวดีผู้นี้ไปเที่ยวเตร่ในหอนางโลมจริงดังเขาว่ากันแน่ ชั่วขณะหนึ่งแม่นางจ้าวสูดดมและพบว่าบนเสื้อของหยุนลี่จงมีกลิ่นเครื่องหอมของสตรีจริง ทว่าถัดมาเพียงอึดใจกลิ่นฉุนของสุราพลันลอยกลบเกลื่อนจนจางลง
“บัดซบนัก! ไอ้ผัวสารเลว!” แม่นางจ้าวขบกรามแน่นขณะด่าทออย่างโกรธเคือง แม้พยายามข่มใจไม่ให้นึกหวาดระแวง ทว่าเมื่อก้มลงสูดกลิ่นเพื่อตรวจสอบอีกหลายครั้งก็อดคับข้องใจไม่ได้
“ตื่น! ตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ!” แม่นางจ้าวเขย่าร่างที่หลับใหลไม่ได้สติของหยุนลี่จงสองสามครั้ง “บอกกล่าวข้ามาตามตรง… ช่วงกลางวันเจ้าไปอยู่ที่ใดกันแน่?”
“คร่อก… คร่อก…”
“ไอ้ผัวไม่รักดี! ตลอดเวลาที่เจ้าไม่อยู่ข้าต้องทนทุกข์ทรมานเพราะถูกแม่ของเจ้าโขกสับใช้งานสารพัดสารพัน ทว่าเจ้ากลับใช้เวลาเที่ยวเตร่อยู่แต่ด้านนอกนั่น เจ้าเคยนึกถึงหัวอกข้าบ้างหรือไม่?!”
“คร่อก… คร่อก…”
“หากในเมืองนั่นมีความสุขมากล้นจนแทบกระอักเพียงนี้ เจ้ายังจะกลับมาที่นี่อีกด้วยอันใด?! ไยไม่นอนเมาพับอยู่ข้างถนนจนหนาวตายไปเสีย!” แม่นางจ้าวยังก่นด่าหยุนลี่จงต่อไปด้วยความโกรธสุดขีด สองนิ้วออกแรงหยิกเข้าที่บั้นเอวของหยุนลี่จงเต็มแรง
ร่างกายของหยุนลี่จงกระตุกแรงโดยสัญชาตญาณ ทว่าเจ้าตัวกลับหลับใหลต่อไปอย่างไม่รู้สึกรู้สาทั้งยังเปล่งเสียงกรนดังสนั่นลั่นห้อง “คร่อก… คร่อก…”
“ไอ้ผีตายโหง! เจ้าเคยบอกว่าจะนำเงินที่ได้มาจัดสรรเรื่องธุรกิจค้าขายมิใช่หรอกรึ?! กว่าจะได้เงินก้อนนี้มาพวกเราต้องอดทนรอมานานเพียงใด ทว่าเมื่อได้รับมาแล้วเจ้ากลับนำไปล้างผลาญกับการดื่มกินและเรียกนางจิ้งจอกแพศยาเหล่านั้นมาปรนเปรอ เจ้าคิดหักหลังข้ามาตั้งแต่แรกแล้วใช่หรือไม่?! เหตุใดเจ้าจึงใจไม้ไส้ระกำถึงเพียงนี้!”
หยุนลี่จงไม่มีสติรับรู้คำต่อว่าใด ๆ ที่พรั่งพรูออกจากปากแม่นางจ้าวทั้งสิ้น แม่นางจ้าวจึงทำได้เพียงระบายความอัดอั้นทั้งมวลที่สั่งสมมานานนับตั้งแต่หยุนลี่จงออกจากบ้านและทิ้งให้ตนอยู่โดยไร้คนคุ้มครอง ฝ่ามือทั้งสองกำแน่นและเอาแต่ทุบตีร่างแน่นิ่งของหยุนลี่จงอย่างไม่หยุดหย่อน
“ไอ้สารเลวไร้หัวใจ! ตระกูลข้ามอบสินสอดทองหมั้นทั้งหมดให้กับตระกูลของเจ้าไปจนหมดสิ้นแล้ว เหตุใดสิ่งที่ข้าได้รับเป็นการตอบแทนจึงเป็นความทรยศมิใช่ความจริงใจ? เคยรู้บ้างหรือไม่ว่าข้าต้องพบเจอเรื่องเลวร้ายใดบ้างในแต่ละวัน? สองตาแก่ยายเฒ่าหงำเหงือกนั่นหนังเหนียวเสียยิ่งกว่าอะไร ไหนจะนังชิ่วเอ๋อที่คอยสร้างปัญหาให้ข้าไม่เคยละเว้น ครอบครัวของเจ้าไม่มีดีแม้สักกระเบียด! แม้แต่เจ้าก็ไม่คู่ควรที่จะรับราชการด้วยซ้ำ!”
ครั้นจบประโยคสุดท้ายแม่นางจ้าวจึงออกแรงทุบตีหยุนลี่จงอีกครั้ง ทว่าหยุนลี่จงกลับไร้การตอบสนองราวเรี่ยวแรงของแม่นางจ้าวถูกใช้ไปกับการทุบตีอากาศอันว่างเปล่าเท่านั้น ครั้นได้สติแม่นางจ้าวจึงครุ่นคิดบางสิ่งออกจึงผุดลุกขึ้นจากเตียงและเริ่มเดินวนไปรอบห้องด้วยความกระวนกระวาย
หยุนลี่จงมีเงินออกไปร่ำสุราหลายต่อหลายจอก ตามร่างกายก็มิมีเงินเหรียญหลงเหลืออยู่ นั่นหมายความว่าเงินส่วนที่เหลือยังไม่ถูกใช้จ่ายจนหมดและต้องซุกซ่อนไว้แห่งใดแห่งหนึ่งในห้องนี้เป็นแน่!
เมื่อคิดได้เช่นนั้นแม่นางจ้าวจึงก้มเงยค้นหาถุงเงินดังกล่าวอยู่เป็นนาน ทว่าเมื่อค้นทุกซอกลับจนเหงื่อไหลโซมกายเพราะความร้อนและเหนื่อยล้าก็ยังไม่พบเสียที
“บอกมาเดี๋ยวนี้! เจ้าซ่อนเงินที่เหลือไว้จุดใดกันแน่?!” แม่นางจ้าววกกลับมาทั้งผลักทั้งทุบหยุนลี่จงอีกครั้ง ทว่ายังไม่ทันด่าทอต่อไปสมองกลับฉุกคิดความน่าจะเป็นขึ้นอีกประการหนึ่ง
นี่ไม่ถูกต้อง!
แม้ไม่เจอตัวเงินดังกล่าว ทว่าสิ่งที่ผิดแปลกออกไปคือทรัพย์สินมีค่าอีกหนึ่งสิ่งที่ตนเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี… กล่องกำมะหยี่สีแดงสดซึ่งบรรจุต่างหูทองคำคู่งามอยู่ภายใน กลับไม่อยู่ในจุดที่ควรจะอยู่!
แม่นางจ้าวชะงักนิ่งอึ้งเพราะความไม่คาดคิดที่จู่โจมหัวใจอย่างไม่เว้นจังหวะให้ตั้งตัว ครั้นความตกตะลึงคลายลงจึงหมดสิ้นเรี่ยวแรง จึงทรุดกายลงนั่งกองกับพื้นโดยที่แผ่นหลังยังพิงอยู่กับผนังห้องอย่างหมดอาลัยตายอยาก
หยุนลี่จงลอบขึ้นมาค้นทรัพย์สินสอดทองหมั้นในส่วนของแม่นางจ้าวที่เก็บรักษาไว้ออกไปขายทิ้งจนหมด และนำเงินที่ได้ไปเที่ยวเตร่อย่างไร้จิตสำนึก!
“ไอ้บัดซบ! ไอ้เดรัจฉาน! ไอ้คนจิตใจต่ำช้า! นั่นเป็นสินสอดชิ้นสุดท้ายในชีวิตที่ข้าเหลืออยู่! เหตุใดเจ้าจึงขโมยมันไปขายโดยไม่บอกกล่าวกันสักคำ!?” แม่นางจ้าวพ่นคำผรุสวาทรุนแรงไม่หยุดปาก แม้จะเศร้าเสียใจเพียงใดทว่าหยดน้ำตากลับไม่ไหลรินลงมาแม้แต่หยดเดียว เวลานี้นางเอาแต่พลิกร่างของหยุนลี่จงและค้นไปทั่วลำตัว “เอาคืนมาเดี๋ยวนี้! คืนมันมาให้ข้านะ! คืนมาซะ!”
หลังจากลูบคลำและล้วงทุกซอกบนเสื้อผ้ากลับไม่พบแม้แต่สมบัติหรือเงินทองใด ๆ มีเพียงกระดาษสองแผ่นซึ่งตวัดพู่กันเป็นลายมือที่อ่านไม่ออก
แม่นางจ้าวนั่งซึมอยู่ปลายเตียง สายตาจับจ้องไปที่ร่างสิ้นสภาพไร้สติของหยุนลี่จง ความเกลียดชังภายในจิตใจทวีขึ้นจนบังเกิดความคิดว่าต้องการบีบคอเขาให้ตายไปเสีย!
ทว่าความเป็นจริงแม่นางจ้าวทำได้เพียงเม้มริมฝีปากด้วยอาการใบ้รับประทานเท่านั้น ก่อนหน้านี้แม้หัวใจจะบอบช้ำจำต้องกล้ำกลืนเพียงใดก็ไม่อาจแสดงออกให้คนนอกรับรู้ว่าระหว่างตนและหยุนลี่จงเกิดปัญหา ต่อหน้าผู้อื่นแล้วนางจำต้องเสแสร้งว่าตนและอีกฝ่ายเป็นสามีภรรยาผู้สมานฉันท์กลมเกลียวเพียงใด
หยุนลี่จงพลิกตัวตะแคงไปอีกด้านหนึ่งด้วยท่าทางเกียจคร้าน ไม่ว่าแม่นางจ้าวจะทุบตีก่นด่าเสียงดังอย่างไร หรือแม้แต่ร้องไห้สะอึกสะอื้นเมื่อรู้ตัวว่าถูกสามีทรยศ เสียงรบกวนเหล่านั้นกลับไม่ทำให้หยุนลี่จงตื่นจากภวังค์การหลับใหลแม้แต่น้อย
แม่นางจ้าวนั่งนิ่งตัวตรงทื่อราวดวงวิญญาณที่ล่องลอยไร้จุดหมาย นางลุกขึ้นเดินโซเซไปยังหัวเตียงและไม่ลืมคว้ากระดาษสองแผ่นที่พับทบอย่างเรียบร้อยจากกระเป๋าเสื้อของหยุนลี่จงติดมือไปด้วยขณะก้าวออกจากห้อง
หยุนลี่จงถือเป็นผู้สืบทอดวงศ์ตระกูลคนแรกของตระกูลหยุน เทียบกับครอบครัวของพี่น้องแล้วเขาได้รับการปฏิบัติเป็นอย่างดีเหนือผู้อื่น แม้แต่บรรดาลูก ๆ ทั้งสามก็พลอยได้รับอานิสงส์เหล่านั้นไปด้วย
ลูกชายคนโตนามหยุนโม่ร่ำเรียนเป็นบัณฑิตเจริญรอยตามครรลองของผู้เป็นพ่อ เขามีห้องนอนส่วนตัวแยกออกไปเพื่อที่จะไม่มีใครรบกวนการเขียนอ่านตำรา ส่วนน้องสาวอีกสองคน… หยุนเยว่และหยุนหรงอาศัยอยู่ในห้องเดียวกันซึ่งอยู่ถัดไป
นอกเหนือจากห้องโถงใหญ่ซึ่งใช้สำหรับเป็นห้องอาหารและห้องรับรอง ห้องชั้นบนของผู้เฒ่าหยุนและแม่เฒ่าจู และห้องครัวซึ่งอยู่ด้านล่างแล้ว บนบ้านตระกูลหยุนมีห้องส่วนตัวแยกออกไปรวมห้าห้องด้วยกัน ซึ่งครอบครัวของแม่นางจ้าวและลูก ๆ ก็ยึดครองไปถึงสามห้อง