ตอนที่ 183 จ้างงาน
แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่หยุนเชวี่ยไม่คาดคิดมาก่อน
มีเด็กจำนวนสิบเอ็ดคนที่รอคอยบ้านตระกูลหยุนจ้างงานให้เข้าไปขายบ๊วยดองในเมือง ซึ่งนอกเหนือจากเด็กหญิงเพียงคนเดียวในที่แห่งนี้แล้ว หยุนลี่จงก็ยอมรับพวกเขาไว้ทั้งหมด
จากคำกล่าวของหยุนลี่จงถือคติว่าการมีจำนวนคนมากกว่าย่อมได้เปรียบกว่า อีกอย่างรายได้ที่ตกลงกันคือหากพวกเขาสามารถขายบ๊วยดองได้หนึ่งถุง จะได้ส่วนแบ่งเป็นเงินถุงละหนึ่งเหรียญแทนการรับค่าจ้างเป็นรายวัน หยุนเชวี่ยไม่เข้าใจเลยว่าหากทำเช่นนี้ไม่เป็นการขาดทุนเกินควรหรอกหรือ
แท้จริงแล้วจุดประสงค์ของหยุนลี่จงยังมีบางสิ่งแอบแฝง นั่นก็เพื่อบีบบังคับให้กิจการของหยุนเชวี่ยดำเนินต่อไปอย่างยากลำบาก และกิจการของเขาจะกลายมาเป็นรายใหญ่กว่าที่ผูกขาดการค้าบ๊วยดองในเมืองแต่เพียงรายเดียว
ขณะร่วมวงทานมื้อเย็น หยุนเยี่ยนยังคงเป็นกังวลเกี่ยวกับธุรกิจของหยุนเชวี่ย “ข้าเพิ่งเห็นว่าลุงใหญ่ตัดสินใจจ้างงานเด็กชายทุกคนที่เข้ามาของานที่บ้าน!”
หยุนเชวี่ยพยักหน้ารับขณะที่ในปากเคี้ยวขนมเปี๊ยะ
“สิบคน ต่อให้แต่ละคนขายบ๊วยดองได้เพียงห้าถุง หนึ่งวันก็ขายได้จำนวนห้าสิบถุงแล้ว! นั่นเท่ากับ…” หยุนเยี่ยนหยุดชะงักคำกล่าวไปชั่วครู่เพื่อนับคำนวณรายได้
“สองร้อยห้าสิบเหรียญ” เสี่ยวอู่เป็นผู้ให้คำตอบ
“หากไม่นับค่าจ้างแล้ว ลุงใหญ่ยังได้รับเงินจากการค้าครั้งนี้ประมาณสองร้อยเหรียญ ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะเลี้ยงปากท้องของคนในครอบครัวไปได้ในระยะหนึ่งเลยทีเดียว…”
หยุนเยี่ยนไม่เคยมีความรู้ด้านการทำธุรกิจมาก่อน ดังนั้นความคิดในภาพรวมของนางจึงเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับหยุนลี่จง ยิ่งจ้างคนมากเพียงใดยอดขายก็ยิ่งมากเท่านั้น
ขณะฟังลูก ๆ ช่วยกันหารือและคำนวณรายได้ แม่นางเหลียนจึงเอ่ยถามบ้าง “เหตุใดเราจึงไม่จ้างคนเพิ่มบ้างล่ะ?”
“จำนวนลูกจ้างหาใช่ปัจจัยสำคัญ ทว่าขึ้นอยู่กับไหวพริบของลูกจ้างเสียมากกว่า ข้าจ้างเพียงชีจินและเสี่ยวส้วยเอ๋อเพียงสองคนดีกว่าจ้างงานคนเป็นพัน พวกเขาล้วนชำนาญและมีความสามารถทั้งยังทำงานได้ดียิ่งนัก” หยุนเชวี่ยค่อนข้างมั่นใจ “นอกจากนี้ จำนวนคนที่มากกว่าย่อมควบคุมได้ยากยิ่ง พวกเขาอาจไม่ตั้งใจทำงานเลยก็เป็นได้”
“เจ้าช่างร้ายกาจเสียจริง” ครั้นแม่นางเหลียนได้ยินหยุนเชวี่ยกล่าววาจาโผงผางจึงอดตำหนิไม่ได้ พลางใช้ตะเกียบคีบเนื้อชิ้นหนึ่งวางลงในถ้วยของบุตรสาว
“หวังหลี่เจิ้งเคยกล่าวไว้… ตั้งแต่โบราณกาลจนถึงบัดนี้ มีหลายตัวอย่างที่น้ำน้อยกลับชนะไฟ…” กล่าวยังไม่ทันจบประโยค หยุนเชวี่ยกลับหยุดชะงักคำพูดไว้เพียงเท่านั้นและตบต้นขาตนเองฉาดใหญ่
เสี่ยวอู่ชอบที่ได้ฟังเรื่องเล่ามากมายราวเสียงคลื่นที่กำลังสาดซัดเข้าหาฝั่งจากทั่วทุกมุมโลกเช่นเดียวกับหวังหลี่เจิ้ง ขณะที่ดวงตาดำเข้มจับจ้องอย่างรอคอยและสงสัย
“ให้ตายสิ! ป่านนี้หยุนเซียงคงรออยู่ที่บ้านของเหอยาโถวเป็นแน่! ข้าหลงลืมนางไปได้อย่างไรกัน?!”
หยุนเยี่ยน…
เสี่ยวอู่…
“เหตุใดเซียงเอ๋อจึงแล่นไปที่บ้านตระกูลเหอทุกวัน?” แม่นางเหลียนรู้สึกตระหนก “นางไปอยู่โยงที่บ้านผู้อื่นทั้งวันเช่นนี้สะใภ้สามไม่คิดตามหาลูกตัวเลยหรืออย่างไ?! พวกเขาไม่นึกตำหนินางแย่หรือ?”
หลังหยุนเซียงพบเจอเหตุการณ์กระทบกระเทือนจิตใจจนต้องหนีไปพึ่งพาบ้านตระกูลเหอ นับแต่นั้นมานางก็เริ่มติดนิสัย ทุกครั้งหลังเสร็จสิ้นมื้ออาหารกลางวันนางจะเดินออกจากบ้านไปเพียงผู้เดียว หากประตูลานบ้านเปิดกว้างก็จะเดินไปนั่งรออยู่บริเวณธรณีประตู ทว่าหากประตูลานบ้านปิดหยุนเซียงก็ไม่คิดเคาะเรียกแต่อย่างใด ทั้งยังนั่งหลบอยู่ใต้ร่มเงาไม้และรีรออยู่เป็นเวลาหลายวันด้วยความอดทน
ครอบครัวตระกูลเหอมีความสัมพันธ์อันดีกับหยุนลี่เต๋อ ป้าเหอคาดเดาไปเองว่าลูกชายคนสุดท้องของตนต้องชอบพอกันกับหยุนเชวี่ยเป็นแน่ จึงปฏิบัติต่อหยุนเซียงซึ่งมีฐานะเป็นลูกพี่ลูกน้องด้วยความเมตตา และหยุนเซียงมักได้รับของว่างหรือผลไม้กลับมาแทบทุกครั้ง
หยุนเซียงนิ่งเงียบไม่พูดจา เมื่อได้รับขนมเหล่านั้นจึงกิน กินจนหมดแล้วก็นั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นอย่างว่าง่าย กิจวัตรของนางกลายเป็นความเคยชินประการหนึ่งของตระกูลเหอไปเสียแล้ว
ทว่าสำหรับหยุนเชวี่ยแล้วหน้าที่ของนางไม่ต่างอะไรกับการพาเด็กน้อยไปฝากเลี้ยงไว้กับโรงเรียนอนุบาล หากเสร็จสิ้นจากธุระข้างนอกแล้วจึงหวนไปรับนางกลับบ้านทุกวัน
“อาสะใภ้สามคิดคำนึงถึงแต่เรื่องการกินดื่มตั้งแต่เช้าจรดเย็น นางจะเป็นกังวลได้อย่างไรกัน?” หยุนเชวี่ยอัดขนมเปี๊ยะส่วนที่เหลือเข้าไปในปากก่อนหยัดกายลุกขึ้นและปัดฝ่ามือทั้งสองข้าง “ข้าขอตัวไปพาเซียงเอ๋อกลับมาก่อนนะเจ้าคะ”
“สะใภ้สามผู้นี้ใจไม้ไส้ระกำเกินไปแล้ว! ฟ้าเริ่มมืดลงทุกขณะ เหอยาโถวก็คงติดธุระจนไม่อาจพานางมาส่งได้…” แม่นางเหลียนส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “นางหลงลืมความเป็นแม่คนไปแล้วหรืออย่างไรกัน…”
ขณะเดียวกัน บนโต๊ะอาหารในห้องโถงใหญ่
“วันพรุ่งนี้ข้าจะเข้าไปในเมือง ให้เอ้อหลาง ซานหลาง หยุนเซียงตามไปด้วยคงเป็นการดี อย่างน้อยข้ายังพอดูแลคุ้มครองพวกเขาได้” ผู้เฒ่าหยุนกล่าว
ครั้นคำพูดหลุดออกจากริมฝีปากผู้เฒ่าหยุนจึงนึกขึ้นได้ว่าเอ้อหลางหนีหายออกจากบ้านไปหลายวันแล้ว จนถึงขณะนี้ก็ยังไร้วี่แววว่าเขาจะกลับมาที่นี่ อีกทั้งยังไม่มีผู้ใดในครอบครัวใส่ใจถามไถ่ถึง
“ให้ครอบครัวพี่สามไป ท่านพ่อไม่กลัวหรือว่าเหตุการณ์อาจซ้ำรอยเช่นคราวก่อนหน้า เงินที่ได้รับมาเห็นทีคงไม่ตกมาถึงมือพวกเราเป็นแน่!” หยุนชิ่วเอ๋อพยายามข่มใจไม่ให้พ่นคำผรุสวาทรุนแรง ทว่าสายตากลับจ้องเขม็งไปยังหยุนลี่เซียว
ครั้นหยุนชิ่วเอ๋อกล่าวถึงเรื่องนี้ จิตใจของผู้เฒ่าหยุนพลันเกิดความกังวลเป็นอันมากจนเกิดความลังเลอยู่ชั่วครู่ ยังไม่ทันปริปากเอ่ยคำใดกลับได้ยินเสียงซานหลางพ่นลมออกทางจมูกโดยแรง ก่อนจะเอ่ยพึมพำอย่างไม่พอใจนัก “เหตุใดข้าจึงต้องทำงานกับพวกเด็กที่ถูกจ้าง…”
“ไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป ช่างเถิด” ผู้เฒ่าหยุนถือโอกาสกล่าวตัดบทพลางครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ “พรุ่งนี้ข้าจะไปสืบถามผู้คนว่าพบเห็นเอ้อหลางบ้างหรือไม่”
เมื่องานเพาะปลูกกลางท้องทุ่งไม่มีผู้ใดคิดช่วยแบ่งเบา สมาชิกในครอบครัวที่หลงเหลืออยู่ก็ไม่มีผู้ใดเชื่อฟังคำสั่งอย่างว่าง่าย ผู้เฒ่าหยุนจึงตระหนักรู้ว่าเอ้อหลางนั้นเป็นหลานชายที่ดีเพียงใด
หยุนชิ่วเอ๋อเกิดความไม่พอใจในทันที “จะต้องตามหาไอ้เด็กนั่นไปเพื่ออะไรกัน?! ฮึ่ม! หากเขาจะกลับมาคงกลับนานแล้ว! ปล่อยให้มันเคว้งอยู่ข้างนอกนั่นและถูกคนฆ่าตายไปเสียคงดีกว่า!”
หยุนลี่เซียววางตะเกียบลงดังโครมก่อนยกแขนขึ้นกอดอกด้วยท่าทีโกรธจัด “เจ้าด่าทอผู้ใด?!”
หยุนชิ่วเอ๋อ “ข้าด่าทอผู้ใดท่านย่อมรู้ดีแก่ใจ! มังกรย่อมให้กำเนิดลูกมังกร… หงส์ย่อมให้กำเนิดลูกหงส์ ทว่าบุตรชายของท่านกลับเจาะรูหนูมาเกิด! ไม่มีสิ่งใดเป็นที่เจริญตา!”
“เอ้อหลางลืมตาดูโลกได้ก็เพราะข้า ส่วนตัวข้าก็ลืมตาดูโลกได้เพราะท่านพ่อและท่านแม่เช่นกัน!” หยุนลี่เซียวยิ้มกว้างเผยความยียวนชัดบนใบหน้า “ปากดีเสียจริง! หากจะด่าก็จงด่าไปถึงโคตรเหง้าเสียสิ!”
กล่าวจบหยุนลี่เซียวจึงเขย่าขาราวภาคภูมิใจเสียเต็มประดา
ผู้เฒ่าหยุนตบโต๊ะเสียงดังโดยพลัน “หากพวกเจ้าสองคนต้องการทะเลาะกันก็จงไสหัวออกไปให้พ้นเสีย! มัวร้องโวยวายเช่นนี้ครอบครัวจะสงบสุขได้อย่างไร?!”
หยุนชิ่วเอ๋อกลอกตาด้วยท่าทีรังเกียจ
หยุนลี่เซียวยกมือขยี้จมูกพร้อมเผยรอยยิ้มเยาะ จากนั้นจึงหยิบตะเกียบขึ้นคีบอาหารต่อไป
“สะใภ้ใหญ่ ข้าขอฝากเรื่องนี้ให้เป็นความรับผิดชอบของเจ้า อย่าลืมกำชับให้เด็ก ๆ เหล่านั้นสืบหาเอ้อหลางด้วย” ผู้เฒ่าหยุนหันไปสั่งความกับแม่นางจ้าว
แม่นางจ้าวพยักหน้ารับคำอย่างนอบน้อม “ท่านพ่อโปรดวางใจ เอ้อหลางอายุสิบสี่ปีแล้ว ย่อมโตพอที่จะเอาตัวรอดได้และไม่ได้รับอันตรายใด”
“พรุ่งนี้ถือเป็นวันแรกของการค้า แม้ไม่ใช่กิจการใหญ่โตอะไรทว่าควรจับตามองไว้เสียหน่อย ระวังอย่าให้พวกเขาก่อเรื่องวุ่นวายเป็นอันขาด” ผู้เฒ่าหยุนกำชับอีกครั้ง
“เจ้าค่ะ ท่านพ่อ ข้ารับรู้แล้ว”
แม้ภายนอกแม่นางจ้าวดูสุภาพและเชื่อฟังเป็นที่สุด ทว่าภายในนางกลับไม่เต็มใจนัก คนทั้งตระกูลล้วนต้องทำธุรกิจนี้และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทว่าความเป็นจริงแล้วไม่มีผู้ใดเลยที่สามารถจัดการเรื่องต่าง ๆ ได้ ตั้งแต่เสาะหาลูกพลัมสดและการจ้างงานคนล้วนเป็นหน้าที่ของนางทั้งสิ้น
ที่สำคัญคือจำนวนของลูกพลัมสดที่ได้รับมาในครั้งนี้ รวมถึงการแบ่งบรรจุเป็นจำนวนกี่ห่อ ผู้เฒ่าหยุนสามารถจดจำได้อย่างแม่นยำโดยที่นางไม่มีโอกาสลักลอบเก็บไว้กับตัวเลย ทุ่มเทความคิดกลับไร้ประโยชน์ ทุ่มเทแรงกายก็ถูกมองข้าม เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจะให้รู้สึกยินดีได้อย่างไร?
ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นมืดสนิท หลังเสร็จสิ้นมื้ออาหารแต่ละคนจึงแยกย้ายออกไปจากห้องโถง
หยุนลี่เซียวหยิบผ้าขึ้นเช็ดมุมปาก ใช้ฝ่ามือปัดบริเวณสะโพกแล้วจึงออกจากบ้านไปจับกลุ่มเสวนากับเหล่าชายหนุ่มด้านนอก
ตอนนี้หยุนลี่เซียวกลายเป็นบุรุษหนุ่มเพียงไม่กี่รายที่มีโอกาสได้เข้าไปในหอชุ่ยเซียง ยิ่งเวลานี้ข่าวการเปิดกิจการขายบ๊วยดองของตระกูลหยุนยังเป็นที่รู้กันโดยทั่ว เหล่าชายสำมะเลเทเมาคนอื่น ๆ จึงพากันเรียกขานเขาว่า ‘นายน้อยสาม’ ซึ่งหยุนลี่เซียวก็น้อมรับอย่างไม่กระดากอาย
หลังจากแม่นางเฉินกลับมา หน้าที่รับผิดชอบในบ้านของแม่นางจ้าวจึงค่อยผ่อนเบาลงตามลำดับ นอกจากนี้นางยังวุ่นวายอยู่กับการวางแผนด้านธุรกิจค้าขายในนามตระกูลหยุนที่เพิ่งจะเริ่มต้น ทำให้บั้นเอวเกิดอาการปวดเมื่อยอยู่เป็นนิจ แม้แต่จานชามนางยังเก็บรวบรวมมากองไว้และเดินออกไปรับลมที่ล้านหน้าบ้านอย่างหน้าตาเฉย
คงมีเพียงแม่นางเฉินที่หวนคืนสู่ชีวิตแสนรันทดในสภาพเดิมอีกครั้ง
เมื่อคนอื่นแยกย้ายออกไปพักผ่อนแล้ว นางจึงเริ่มทำความสะอาดโต๊ะและล้างถ้วยชาม ระหว่างหอบผ้าไปซักก็มักพร่ำบ่นเกี่ยวกับความอดสูในชีวิตของตนอยู่เสมอ ว่าตนแต่งงานเข้าตระกูลหยุนไม่ใช่ในฐานะสะใภ้แต่เป็นในฐานะแรงงานวัวและม้าเสียมากกว่า
ทันทีที่หยุนเชวี่ยพาหยุนเซียงกลับมา แม่นางเฉินจึงรีบเทอ่างไม้ซึ่งมีน้ำสกปรกจากคราบถ้วยชามลงในแปลงผักและร้องร้องเรียกบุตรสาว
“โอ้! เซียงเอ๋อ! วันนี้เจ้าได้กินอาหารรสเลิศใดมาบ้างรึ?” แม่นางเฉินเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม