ตอนที่ 195 หนึ่งต่อเจ็ด
เหอยาโถวจับแขนของหยุนเชวี่ยแน่นเพื่อเตรียมตัววิ่งหนี
เถียนตวนสื่อก้าวถอยหลังพลางส่งสายตาเป็นสัญญาณให้สหาย
ต้าจ้วงก้มลงเก็บท่อนฟืนขนาดเท่าต้นแขนขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ ต้าหนิวหยิบหินก้อนใหญ่ขึ้นมาก่อนเอามือไพล่หลัง สัวจื่อหยิบมีดผ่าฟืนพร้อมเผยท่าทีราวกับไม่กลัวฟ้าดินลงโทษ
“เจ้าจะต่อยข้างั้นหรือ? ฮ่าฮ่าฮ่า…”
เมื่อครู่เถียนตวนสื่อหวาดกลัวคำขู่ของสืออีจริง ทว่าตอนนี้สติกลับคืนมาแล้ว เขาจึงเบ้ปากอย่างหยิ่งผยองพลางหัวเราะเสียงดัง “ไม่เห็นหรือว่าพวกข้ามีกี่คน! ฮ่าฮ่า รนหาที่ตายชัด ๆ!”
เมื่อเห็นว่าหัวหน้ากลุ่มมีท่าทีมั่นใจ ทุกคนจึงยืดแผ่นหลังตรงพลางเผยท่าทางน่าเกรงขามก่อนย่างสามขุมเข้าไปพร้อมยกยิ้มอย่างน่าสะพรึงกลัว
การทะเลาะวิวาทของเด็กหนุ่มในชนบทนั้นถือเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะต่อสู้แบบกลุ่มหรือตัวต่อตัว ตราบใดที่ไม่เลือดตกยางออก พวกผู้ใหญ่ก็นับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา
เด็กชายเหล่านี้เติบโตมาในหมู่บ้านเล็ก ๆ พวกเขาจึงมีประสบการณ์การต่อสู้มากมาย ทั้งยังรู้ว่าพวกตนต้องจัดการกับศัตรูอย่างไรอีกด้วย
หากคนหนึ่งรัดคอจากด้านหลัง สองคนจับมือ และอีกสองคนจับเท้าของสืออีไว้ ไม่ว่าเขาจะออกแรงดิ้นรนมากเท่าไรก็ยากจะต่อกรกับกลุ่มคนที่มีจำนวนมากกว่าได้
เจ็ดคนรุมหนึ่งคน… มันไม่ง่ายไปหน่อยหรือ
เด็กหนุ่มเหล่านั้นยืนกระจายตัวเป็นวงกลมเพื่อรอให้เถียนตวนสื่อจู่โจมและออกคำสั่ง
“ข้าไม่ได้อยากรังแกพวกเจ้าหรอก ทว่า…” สืออีหลุบตาลงพร้อมลูบคาง “ทว่าวางใจเถิด ข้าจะสั่งสอนเจ้าเพียงผู้เดียว”
หากพูดตามความเป็นจริงแล้ว สืออีไม่ใช่คนประเภทที่ชอบรังแกผู้อ่อนแอกว่า ทว่าในเมื่อเชวี่ยเอ๋อต้องการเช่นนั้นตนจึงปฏิเสธไม่ได้
“ฮ่าฮ่าฮ่า พูดโอ้อวดเช่นนี้ไม่อายปากรึ!” เถียนตวนสื่อกล่าวโดยปราศจากความเกรงกลัวพร้อมกระดิกนิ้ว “เข้ามาสิ วันนี้เจ้าจะได้รู้ว่าพูดอยู่กับใคร…”
ยังพูดไม่ทันจบ ร่างกำยำสวมเสื้อสีเขียวหม่นก็ลอยกระเด็นออกไปไกล จากนั้นตกลงบนหินก้อนใหญ่ริมแม่น้ำและกลิ้งหลายตลบก่อนตกลงไปในแม่น้ำ
ทุกคนต่างตกตะลึง
“ช่วยไม่ได้…” สืออีหดกำปั้นกลับมาพลางมองมือของตนเองพร้อมพึมพำ
เด็กหนุ่มตัวโตที่เหลือต่างยืนนิ่งอยู่กับที่ พวกเขาประเมินร่างกายของเถียนตวนสื่อและคาดคิดว่าเขาจะสามารถตอบโต้กลับสักหมัดหรือสองหมัด ทว่าเถียนตวนสื่อกลับถูกต่อยจนกระเด็นตกลงไปในแม่น้ำอย่างน่าสังเวช
“จับ จับมันไว้!” เสียงหนึ่งดังขึ้น
กลุ่มชายหนุ่มที่กำลังตกตะลึงรีบปรี่เข้าไปล้อมรอบสืออีและจับตัวเขาไว้
“ข้าบอกแล้วว่าจะไม่ทำร้ายพวกเจ้า!”
“เฮ้ ๆ ถ้าพวกเจ้าไม่ปล่อย ข้าจะโต้กลับแล้วนะ!”
“พวกเจ้าหกคนรวมกันไม่นับว่าข้ารังแกผู้อ่อนแอ!”
“พลั่ก… พลั่ก… ตุบ… “
เพียงชั่วพริบตาร่างของต้าจวง ต้าหนิว ชานจื่อ สัวจื่อ โฉ่วเหือ และโฉ่วช่วนก็กลิ้งหลุน ๆ อยู่บนพื้น พวกเขาทำได้เพียงแต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
สืออีจัดแจงเสื้อผ้าและผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงก่อนหันกลับไปยิ้มให้หยุนเชวี่ยที่ซ่อนตัวอยู่ในพงหญ้า
เขารู้ตัวดีว่าทักษะการต่อสู้ของตนเองนั้นไม่เลว ท่าออกหมัดผ่าเผย เสื้อผ้าเข้าที่ เส้นผมเรียบแปล้ เชวี่ยเอ๋อต้องประทับใจแน่
ทว่ามีข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือแม้เด็กหนุ่มเหล่านี้จะมีร่างกายที่แข็งแรง แต่ยังไม่ทันที่ออกหมัด พวกเขาก็ลงไปนอนร้องโอดโอยกับพื้นแล้ว
“เก่งมาก!” เหอยาโถวมองภาพตรงหน้าราวกับคนโง่งม เขาแทบจะกระโดดออกจากพงหญ้าเพื่อปรบมือและโห่ร้อง
“ชู่ว…” หยุนเชวี่ยกดไหล่ของเหอยาโถวให้หมอบลง
“ยังจะสู้อีกหรือ?” เจ้าหมาป่าน้อยสืออีหรี่ตาลงพร้อมเอ่ยถาม
เถียนตวนสื่อตะเกียกตะกายขึ้นมาจากแม่น้ำ ร่างกายเปียกปอนราวกับลูกสุนัขตกน้ำ เมื่อได้ยินสืออีเอ่ยถาม ขาทั้งสองข้างก็พลันอ่อนแรงจนแทบจะกลิ้งตกลงแม่น้ำอีกครา เขารีบอ้อนวอนขอความเมตตาทันที “ไม่สู้ ไม่สู้แล้ว…”
“ไม่สู้ ๆ” พวกลูกน้องต่างกล่าวขอร้องตามหัวโจก
“ครั้งนี้เป็นเพียงการตักเตือน หากครั้งหน้าเจ้ากล้ารังแกผู้อื่นอีก…” สืออีเดินไปหยุดอยู่ริมแม่น้ำก่อนก้มตัวลงช้า ๆ ดวงตาดอกท้อคู่นั้นมองลึกเข้าไปในดวงตาของเถียนตวนสื่อพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะหักมือเจ้าเป็นอย่างแรก จากนั้นหักคอทิ้งเสีย”
หลังจากพูดจบ สืออีก็เผยท่าทีไร้เดียงสาพลางฉีกยิ้มกว้างพร้อมใช้มือทำท่าปาดคอ เถียนตวนสื่อตกใจจนไม่กล้าเอื้อนเอ่ยคำใดและทำได้แต่ยืนนิ่งอยู่ริมแม่น้ำ
เถียนตวนสื่อผ่านการประลองกับเด็กหนุ่มทั้งในหมู่บ้านและหมู่บ้านใกล้เคียงมากมาย ทว่าชายตรงหน้านั้นเหี้ยมโหดกว่าตนยิ่งนัก
ครั้นที่หมัดถูกปล่อยออกมา เถียนตวนสื่อไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะหลบหลีก สมองพลันขาวโพลน ร่างกายชาวาบครึ่งซีก ก่อนจะรู้สึกตัวร่างกายของเขาก็ลอยอยู่ในอากาศราวกับปุยนุ่น ชั่วอึดใจนั้นเขาไม่รู้สึกเจ็บปวดแม้แต่น้อย ทว่ากลับรู้สึกหวาดกลัวจนขนหัวตั้งชัน
“จำที่ข้าพูดได้หรือไม่?” สืออีลุกยืนขึ้นพลางกำชับ
เถียนตวนสื่อรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็วขณะที่หยดน้ำเกาะพราวทั่วใบหน้า “จะ… จำได้”
ใบหญ้าด้านข้างขยับไหวเล็กน้อย เสียงเล็กแหลมคล้ายเสียงของแมวพลันดังออกมา หยุนเชวี่ยชี้ไปยังทิศทางของหมู่บ้านก่อนดึงตัวของเหอยาโถวให้คลานตามออกมา
“หันหน้าไปทางทิศตะวันตกแล้วนับหนึ่งถึงสิบ” สืออีออกคำสั่ง
กลุ่มคนที่นอนอยู่บนพื้นไม่กล้าขัดขืนพวกเขากระเสือกกระสนลุกยืนขึ้นพลางหันหน้าไปทางทิศตะวันตกและยืนเข้าแถวหน้าเรียงกระดานอย่างพร้อมเพรียง
สืออีหลุบตามองเถียนตวนสื่ออีกครั้ง
“ข้า…” เถียนตวนสื่อขบฟันก่อนหันหลังกระโดดลงไปในแม่น้ำอีกครั้ง
“หนึ่ง สอง สาม สี่…” พวกที่อยู่บนบกตะโกนนับเลขอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
“บุ๋ง บุ๋ง…” ฟองอากาศผุดขึ้นบนผิวน้ำ
หลังจากนับเลขครบทั้งสิบแล้ว พวกเขาก็ยืนรออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล้าเงยขึ้นอย่างช้า ๆ และต้องพบกับความว่างเปล่า ชายที่เคยยืนตรงหน้ากลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ลากข้าขึ้นไป!” เถียนตวนสื่อจับก้อนหินที่เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำริมฝั่งแน่น
คนก่อเรื่องหายตัวไปแล้วเหลือไว้เพียงความเจ็บปวด ซึ่งความเจ็บปวดนั้นเกิดขึ้นบริเวณหน้าอกขวาที่ถูกหมัดซัดเข้าอย่างเต็มรัก แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายราวกับว่ามันถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ
โฉ่วเหือและโฉ่วช่วนรีบยื่นมือออกไปจับมือของเถียนตวนสื่อ พวกเขาพยายามอยู่นานกว่าจะดึงอีกฝ่ายขึ้นมาบนบกได้
“ชายผู้นั้นคือใคร? เหตุใดถึงมีพละกำลังมากมายเช่นนี้” ต้าหนิวเอามือกุมไหล่ “แขนของข้าเกือบจะหักแล้ว!”
“ข้าโดนเตะก้นจนระบมไปหมด!” สัวจื่อโอดครวญ
“ข้าไม่คุ้นหน้ามันเอาเสียเลย คงไม่ใช่คนในหมู่บ้านของเรากระมัง” ต้าจ้วงพูดไม่ชัด
ท่ามกลางความโกลาหลเมื่อครู่ ต้าจ้วงถูกฝ่ามือของสืออีฟาดเข้าบริเวณใบหน้าอย่างแรงจนแดงก่ำและบวมเป่ง
“มันต้องไม่ใช่คนในหมู่บ้านของเราแน่!” เถียนตวนสื่อหย่อนก้นลงบนหินก้อนใหญ่พลางหอบหายใจอย่างหนัก “ไม่รู้ว่ามันมาจากหมู่บ้านไหน!”
“แล้วเหตุใดมันถึงมาทำร้ายเราเล่า?” สัวจื่อเอ่ยถามด้วยความสับสน
“มันไม่ได้มีปัญหากับพวกเรานี่ มันบอกว่าจะไม่ทำร้ายเรา…” ต้าชานกล่าวคำเบา
ทุกคนหันมองเถียนตวนสื่อพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ก่อนหน้านี้คนผู้นั้นกล่าวว่าจะไม่ทำร้ายคนอื่น เขาเพียงต้องการสั่งสอนเถียนตวนสื่อเท่านั้น ทว่าสุดท้ายแล้วลูกสมุนอย่างพวกเขาก็ติดร่างแหไปด้วย
“เหตุใดพวกเจ้าถึงมองข้า? ข้าจะรู้ได้อย่างไร! ข้าก็ไม่รู้จักมันเหมือนกัน!” เถียนตวนสื่อส่งเสียงลอดไรฟัน ความเจ็บปวดพลันแล่นมาจากกระดูกซี่โครง
“พี่ตวนสื่อเคยกระทำการล่วงเกินผู้ใดหรือไม่?”
“หากไม่เคย เหตุใดมันถึงบอกว่าอยากสั่งสอนพี่แต่เพียงผู้เดียว?”
“ตวนสื่อ เจ้าลองคิดดี ๆ สิว่าเหตุใดเราถึงถูกทำร้ายโดยไม่มีสาเหตุ…”