ตอนที่ 203 ผู้เฒ่าหยุนโมโห
จากคำบอกเล่าของพี่น้องโฉ่วเหือและโฉ่วช่วน ในวันแรกที่เดินทางเข้าไปในเมือง พวกเขาบังเอิญพบเข้ากับขบวนแห่เจ้าสาวของตระกูลหลิวผู้มั่งคั่งจึงละทิ้งหน้าที่และเก็บเงินอั่งเปากลับมาไม่น้อย
ต่อมาเถียนตวนสื่อบอกว่าตระกูลหลิวมีจิตใจเมตตา ตราบใดที่เดินตามขบวนแห่เจ้าสาวไปยังบ้านของเจ้าบ่าว พวกเขาก็จะได้เงินอั่งเปามากกว่านี้แน่นอน ดังนั้นทุกคนจึงตามขบวนเจ้าสาวไปยังมณฑลใกล้เคียง
คาดไม่ถึงว่าพวกอันธพาลข้างถนนจะหาเรื่องรังแก คนเหล่านั้นจงใจเดินเบียดเสียดจนพวกเขาสะดุดล้มลงกับพื้นซึ่งผลที่ตามมาคือไม่เพียงแค่ขายไม่ได้สักเหรียญ ทว่าบ๊วยในตะกร้ายังตกลงบนพื้นและถูกผู้คนเหยียบย่ำจนเละเทะ
พวกเขาเกรงว่าจะถูกตระกูลหยุนตำหนิ อีกทั้งอยากหารายได้จึงเชื่อฟังเถียนตวนสื่อโดยละทิ้งบ๊วยดองน้ำตาลที่ถูกเหยียบย่ำจนเละเทะและเก็บลูกที่ยังใช้ได้ขึ้นมาเป่าสองครั้งก่อนบรรจุห่อใหม่ จากนั้นจึงแสร้งทำว่าไม่มีเหตุใดเกิดขึ้น
“ถึงอย่างไรพวกเราก็ขายกันหลายคนจึงคิดว่าคงไม่มีผู้ใดจำได้ว่าซื้อที่ใคร และตวนสื่อก็รับประกันอย่างหนักแน่นว่าไม่เป็นไร” โฉ่วเหือกล่าว
โฉ่วช่วนพยักหน้าเห็นด้วยพร้อมกล่าวเสริม “ใช่ เรื่องทั้งหมดเป็นความผิดของตวนสื่อ เขาบอกว่าหากเกิดเรื่องขึ้น ถ้าพวกเราปฏิเสธเสียงแข็งก็จะไม่มีใครจับได้! หากจะต้องโทษใครสักคน แน่นอนว่าคนนั้นต้องเป็นเขา!”
ผู้เฒ่าหลี่ลูบเคราขณะฟังเรื่องราวทุกอย่าง หลังจากฟังจบเขาจึงบอกให้ชาวบ้านคนหนึ่งไปเรียกเถียนตวนสื่อมาที่นี่
ไม่นานแม่นางเฉามารดาของเถียนตวนสื่อก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาอ้อนวอนหวังหลี่เจิ้งก่อนที่บุตรชายจะเดินมาถึงเสียอีก
“โอ้ ท่านหวังหลี่เจิ้ง ท่านต้องให้ความเป็นธรรมกับลูกชายของข้านะเจ้าคะ ดูสิ… ทำงานยังไม่ทันได้เงินก็ถูกทุบตีอย่างไร้ความปรานี แล้วเขาจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร?”
“ถุย! เจ้ายังกล้าพูดเช่นนี้อยู่หรือ?!” หยุนลี่เซียวถ่มน้ำลายก่อนสบถด่าทอ “หากไม่ใช่เพราะเจ้าเด็กพวกนี้ไปยั่วโมโหก่อน ใครเล่าจะกล้ารังแก? สมควรแล้วล่ะ!”
“ท่านหวังหลี่เจิ้งได้ยินสิ่งที่เขาพูดไหมเจ้าคะ? เหตุใดถึงใจไม้ไส้ระกำเช่นนี้!” มารดาของเถียนตวนสื่อตะโกนเสียงดัง “ข้าไม่ควรปล่อยให้เด็ก ๆ ไปทำงานหาเงินกับตระกูลพวกเขาเลย! ท่านจะชดใช้อย่างไรให้กับตวนสื่อ โฉ่วเหือ โฉ่วช่วน ต้าหนิว ชานจื่อ และเด็กอีกสิบคนที่ถูกทุบตีจนได้รับบาดเจ็บ? เด็กเหล่านี้เปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจของพ่อแม่ทั้งนั้น!”
แม่นางเฉาคำรามเสียงดังพร้อมดึงแขนเถียนตวนสื่อให้มายืนด้านข้างก่อนเลิกแขนเสื้อของลูกชายขึ้นเผยให้เห็นรอยฟกช้ำขนาดใหญ่
“ดูนี่สิ ทุกคนดูให้ดีว่าถ้าทำงานกับตระกูลหยุนแล้วจะเป็นเช่นนี้ เด็กน้อยที่น่าสงสารเอ๋ย หัวใจของแม่เจ็บปวดเหลือเกิน…”
เถียนตวนสื่อก้มหน้าเงียบพร้อมแสร้งทำท่าทีน่าสงสาร
แม่นางเหยียนเห็นดังนั้นจึงกล่าวขึ้น “โฉ่วเหือโฉ่วช่วน เปิดเสื้อผ้าให้ท่านหวังหลี่เจิ้งดูสิ คนเป็นแม่เช่นข้าไม่เคยตีลูกสองคนแม้แต่ครั้งเดียว ลูกแม่คงจะทุกข์ทรมานเหลือหลาย!”
เพียงมองแค่ใบหน้าก็รู้แล้วว่าสองพี่น้องโฉ่วเหือและโฉ่วช่วนถูกทุบตีอย่างหนัก และทันทีที่พวกเขาถอดเสื้อผ้าออก เหล่าชาวบ้านที่มุงดูต้องถอนหายใจด้วยความเวทนา
พี่น้องทั้งสองคนมีรูปร่างผอมกว่าเถียนตวนสื่อ ผิวขาวผ่องกว่าลูกชาวนา ดังนั้นเมื่อถูกทุบตีอย่างหนัก รอยฟกช้ำเหล่านั้นจึงเห็นชัดยิ่งกว่า
“ข้ามีลูกชายเพียงสองคน หากพวกเขาเป็นอะไรไป ข้าคงไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป! ไม่อยากมีชีวิตอีกต่อไปแล้ว!” แม่นางเหยียนร่ำไห้สะอึกสะอื้น
“ต้าจ้วงลูกชายของข้าถูกทำร้ายจนขาบวมเป่ง และจนถึงตอนนี้เขาก็ยังลุกออกจากเตียงไม่ได้ แล้วเขาจะทำเรื่องพรรค์นั้นได้อย่างไร!”
“ใบหน้าของสัวจื่อลูกของข้ายังคงบวมเป่งจนไม่สามารถกินอาหารใด ๆ ได้ ข้าเจ็บปวดเหลือเกินที่ช่วยลูกไม่ได้!”
“แม่ของต้าชาน เจ้าบอกว่าต้าชานร้องโอดโอยว่าปวดศีรษะไม่หยุดตั้งแต่กลับจากในเมืองใช่หรือไม่?”
สตรีที่ถูกขานชื่อว่าเป็นมารดาของต้าชานแสดงท่าทีลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนหันไปมองหญิงร่างอ้วนพร้อมพยักหน้าตอบรับ
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่ผู้ปกครองของเหล่าเด็ก ๆ ทุกคนมารวมตัวกันที่นี่ พวกนางยืนล้อมหวังหลี่เจิ้งพร้อมพูดแก้ตัวจนหูของเขาแทบหนวก
“พูดทีละคนเถิด อย่ารีบร้อนไปเลย” หวังหลี่เจิ้งไม่สามารถรับมือกับพวกนางได้
“ท่านหวังหลี่เจิ้ง ท่านต้องให้ความยุติธรรมแก่พวกเรานะเจ้าคะ!”
“ใช่แล้ว พวกเราล้วนเป็นเหยื่อกันทั้งนั้น!”
คำโบราณว่า ‘กฎหมายไม่ตำหนิฝูงชน*’ เมื่อครอบครัวของเหล่าเด็ก ๆ นับสิบครอบครัวเห็นพ้องต้องกัน หวังหลี่เจิ้งก็จนปัญญา
*กฎหมายไม่ตำหนิฝูงชน หมายถึง แม้ว่าพฤติกรรมบางอย่างสมควรได้รับการลงโทษตามกฎหมาย หากคนส่วนมากต้องการใช้กฎหมู่ก็ต้องทำตาม
หลังจากฟังเรื่องราวต่าง ๆ แล้ว ชาวบ้านทุกคนล้วนเข้าใจดีว่าแท้จริงแล้วตระกูลหยุนเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ส่วนผู้ปกครองเหล่านั้นที่ร่ำไห้จนมีสภาพน่าสังเวชกลับไม่ได้รับผลกระทบอันใดเลย
“ต่อให้มีเหตุผลอื่นก็ปล่อยผ่านไปไม่ได้! พวกเขาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้นานนับทศวรรษแล้ว…” หวังหลี่เจิ้งส่ายศีรษะ
ชาวบ้านในหมู่บ้านต่างให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์อันดี เมื่อครู่หยุนลี่เซี่ยวทั้งด่าทอและสาปแช่งอีกฝ่าย ดังนั้นต่อให้เขาเป็นฝ่ายเสียเปรียบก็ไม่มีผู้ใดเห็นใจ
“พวกเจ้าจะรู้อะไร คนยืนพูดย่อมไม่ปวดเอว*! เงินที่สูญเสียไปไม่ใช่ของพวกเจ้านี่! หยุนลี่เซียวตะโกนด้วยความโมโห
*คนยืนพูดย่อมไม่ปวดเอว เปรียบเปรยได้ว่า หากไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันย่อมไม่เข้าใจ
“น้องสาม ฟังท่านหวังหลี่เจิ้งพูดให้จบก่อนเถิด” หยุนลี่เต๋อขมวดคิ้ว
หยุนลี่เซี่ยวเบ้ปาก “เออ ทว่าข้าขอเตือนไว้ก่อนว่าหากท่านหวังหลี่เจิ้งตัดสินไม่ยุติธรรม ข้าไม่ปล่อยไปง่าย ๆ แน่!”
ผู้เฒ่าหยุนขบกรามแน่นอย่างโกรธเคือง เส้นเลือดบนขมับปูดโปน
เคราะห์ดีที่หวังหลี่เจิ้งเป็นคนมีเมตตา เขาจึงไม่สนใจคำขู่ของหยุนลี่เซี่ยวก่อนกระแอมพลางกล่าวว่า “อย่าใจร้อนไปเลย ข้ารู้ดี…”
หวังหลี่เจิ้งคนเที่ยงธรรม เขาถามเกี่ยวกับเงินต้นทุนในการทำบ๊วยดองน้ำตาลก่อน และนำกำไรสุทธิที่ได้รับในสองวันที่ผ่านมาหารสองจะได้ผลลัพธ์เท่ากับสี่สิบเหรียญซึ่งเป็นเงินกำไรที่ตระกูลหยุนควรได้รับ
เมื่อคำนวณแล้วครอบครัวของเด็กทั้งสิบคนต้องจ่ายเงินให้ตระกูลหยุนครอบครัวละสี่เหรียญจึงจะครบสี่สิบเหรียญพอดี นอกจากนี้ตระกูลหยุนยังต้องชดใช้ค่าเสียหายสิบห้าเหรียญสำหรับโอ่งน้ำของตระกูลเฝิง
ชาวบ้านที่มุงดูเหตุการณ์ต่างเห็นพ้องกันว่าวิธีนี้คือการแก้ปัญหาที่เหมาะสม ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ ทว่าต้นเรื่องทั้งสองฝ่ายกลับมีท่าทีไม่พอใจ
“ครอบครัวของข้าเสียเวลาทำมาหากินหลายวัน! อีกทั้งชื่อเสียงที่ถูกเด็กเปรตพวกนี้ทำลายไปเล่า?” หยุนลี่เซียวกล่าว
“แล้วลูก ๆ ของพวกเราที่ทำงานหนักถึงสองวันและถูกทุบตีอย่างทารุณเล่า เจ็บตัวแล้วยังเสียเงินอีก ช่างสมเหตุสมผลเสียจริง!” มารดาของเถียนตวนสื่อกลอกตา
หวังหลี่เจิ้งลูบเครา “อยากได้เปรียบ ทว่าไม่อยากเสียเปรียบ หากเช่นนั้นก็ถอยคนละก้าว! พวกเราล้วนเป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียง อภัยให้กันเถิด อย่างโกรธเคืองกันเลย…”
“ท่านหวังหลี่เจิ้งพูดมีเหตุผล หากถอยกันคนละก้าว ทุกอย่างก็จบลงแล้ว!”
“ถูกต้อง ตระกูลหยุนอย่ามัวคิดถึงแต่เรื่องเงิน ส่วนครอบครัวอื่นก็ยอมผ่อนปรนเช่นนี้ดีแล้ว!”
“ท่านหวังหลี่เจิ้งเป็นคนที่มีคุณธรรม อย่างสร้างปัญหาให้ท่านอีกเลย…”
ภายใต้การเกลี้ยกล่อมของชาวบ้านทุกคน ในที่สุดปัญหาก็ถูกยุติลง ผู้เฒ่าหยุนไม่อยากเสียหน้าอีกต่อไปแล้วจึงพยักหน้าด้วยใบหน้าเขียวคล้ำพร้อมเอ่ยวาจาว่าจะทำตามที่หวังหลี่เจิ้งตัดสิน
ทั้งสิบตระกูลไม่ค่อยพอใจนัก ทว่ามีเพียงหกตระกูลที่ยอมจ่ายเงินรวมกันทั้งหมดเป็นเงินยี่สิบสี่เหรียญ ส่วนอีกสี่ตระกูลที่เหลือมีเงินติดตัวไม่มากนัก พวกเขาจึงเอ่ยปากขอจ่ายวันอื่น
ผู้เฒ่าหยุนหักเงินสิบห้าเหรียญจากยี่สิบสี่เหรียญจ่ายให้ตระกูลเฝิง ดังนั้นเขาจึงเหลือเงินเพียงเก้าเหรียญ
ชายชรากำเงินเก้าเหรียญไว้ในมือก่อนเดินกลับเดิน จู่ ๆ ขาของเขาพลันอ่อนยวบ ดวงตามืดสนิท ทว่าต้องขอบคุณหยุนลี่เต๋อที่พยุงร่างของผู้เฒ่าหยุนเอาไว้ก่อนล้มลง