ตอนที่ 212 ถ้าอยากให้ธุรกิจก้าวหน้า ต้องคำนวณบัญชีให้ชัดเจนก่อน
เมื่อเห็นว่าแม่นางเหลียนและหยุนเยี่ยนยังคงมีสีหน้ากังวล หยุนเชวี่ยจึงก้มตัวลงหยิบแผ่นไม้ที่เต็มไปด้วยตัวเลขตรงใต้เตียงออกมาก่อนชี้นิ้วอธิบายอย่างตั้งใจ
“ข้าจะซื้อผักเหล่านั้นในราคาเท่าที่พ่อค้าแม่ค้าคนอื่นขายในเมือง ส่วนเงินที่นำมาซื้อไหและวัตถุดิบต่าง ๆ จะเฉลี่ยจ่ายเท่ากันซึ่งสองจินมีราคาหนึ่งเหรียญ ซึ่งเรานำผักดองเพื่อรักษาความชุ่มชื้นเอาไว้ ดังนั้นน้ำหนักของผักจะไม่เปลี่ยนแปลง หากขายผักหนึ่งจินเราจะได้เงินสี่เหรียญ ขอเพียงขายได้หนึ่งในแปด พวกเราก็ไม่ขาดทุนแล้ว”
หยุนเชวี่ยกล่าวพลางวาดวงกลม “พวกท่านลองเปรียบเทียบสิ นี่คือผักดองของเรา”
จากนั้นแบ่งออกเป็นแปดส่วน แล้วระบายส่วนหนึ่งให้เป็นสีดำ “เพียงขายส่วนนี้ได้หมด เราก็จะไม่ขาดทุน หากเราขายส่วนที่เหลือหนึ่งกิโลกรัม เราก็จะสามารถทำกำไรสุทธิทั้งหมดสองจิน”
หลังจากพูดจบ หยุนเชวี่ยก็ปรบมือให้สามคนด้วยความตื่นเต้น
หยุนเยี่ยนและแม่นางเหลียนทำทีราวกับเข้าใจ ทว่าที่จริงยังคงงุนงงเช่นเดิม
มีเพียงเสี่ยวอู่เท่านั้นที่กะพริบตาปริบ ๆ พลางหยักหน้า จากนั้นจึงเริ่มสงสัยเกี่ยวกับไม้กระดานที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์แปลก ๆ ของพี่สาว
หยุนเชวี่ยเลียริมฝีปากพลางกล่าวสรุป “ท่านแม่ พี่สาว วางใจเถิด การค้าขายนี้มีแต่กำไร ไม่ขาดทุนหรอก”
“สาวน้อยอยากทำอะไรก็ปล่อยนางทำไปเถิด หากพ่อสามารถทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้เจ้าได้ พ่อจะทำเช่นกัน” หยุนลี่เต๋อลุกขึ้นนั่งบนเตียงพลางกล่าว ไม่มีใครรู้ว่าเขาตื่นขึ้นตั้งแต่เมื่อใด
“ท่านพ่อ ข้าพูดเสียงดังเกินไปหรือ…” หยุนเชวี่ยแลบลิ้นก่อนหัวเราะ
“ลูกสาวต้องการหาเงิน คนเป็นพ่อจะนอนอยู่เฉย ๆ ได้อย่างไร” หยุนลี่เต๋อกล่าว “แม้พ่อจะเป็นคนหยาบกระด้าง แต่พ่อยังมีแรงกายอยู่บ้าง หากอยากให้พ่อช่วยอะไร ขอเพียงเจ้าเอ่ยปาก”
“ฮี่ฮี่ มีเรื่องให้ช่วยมากมายเจ้าค่ะ เมื่อถึงตอนนั้นท่านพ่อ ท่านแม่ พี่สาว และเสี่ยวอู่อย่าหวังว่าจะได้อยู่เฉย ๆ” หยุนเชวี่ยหัวเราะอย่างซุกซน “ไม่เพียงต้องออกแรงทำงาน อีกยังไม่ได้ค่าจ้างอีกด้วย”
“สาวน้อยคนนี้ ช่างกลับกลอกเสียจริง…” แม่นางเหลียนระเบิดหัวเราะ หยุนลี่เต๋อเปรียบเสมือนที่ยึดเหนี่ยวดวงใจของนาง เพียงคำพูดของเขาไม่กี่คำก็ทำให้นางคลายกังวลและต้องการสนับสนุนลูกสาวอย่างเต็มที่
“จริงสิ อย่าเพิ่งแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปนะเจ้าคะ ข้าเพียงเตรียมแผนการเอาไว้ก่อน และเมื่อถึงเทศกาลเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง ข้าจะไปตระเวนซื้อผักที่เหลือในหมู่บ้าน” หยุนเชวี่ยกำชับ
นับเป็นเรื่องดีที่ชาวบ้านขายผักที่กินไม่หมดให้หยุนเชวี่ยแทนที่จะปล่อยให้เน่าเสียคาสวน แต่นางยังคงกังวลว่าหากมีคนรู้เรื่องนี้เข้า พวกเขาจะฉวยโอกาสขึ้นราคาผัก
“พ่อแม่ของเจ้าเข้าใจเรื่องนี้แล้ว วางใจเถอะ!” ก่อนหน้านี้ใบหน้าแม่นางเหลียนยังคงมีความกังวล ทว่าตอนนี้ใบหน้าของนางกลับเปื้อนรอยยิ้ม ช่างเป็นสตรีที่อารมณ์แปรปรวนเสียจริง
…
เวลาพักกลางวันยังไม่ผ่านพ้น แม่นางเฉินจึงอาศัยโอกาสที่แม่นางจ้าวนอนพักผ่อนอยู่ที่ห้องชั้นบนไปยังบ้านของแม่นางเหลียนเพื่อสอบถามเรื่องหมั้นหมาย “พี่สะใภ้รอง ท่านไปเรือนของตระกูลเหอหรือยัง? พวกเขาว่าอย่างไรบ้าง? พวกเขายอมรับเซียงเอ๋อเป็นลูกสะใภ้หรือไม่? โอ๊ย… พี่สะใภ้รอง ท่านไม่รู้หรอกว่าในใจข้าตื่นเต้นเพียงใด…”
เดิมทีหยุนเชวี่ยคิดจะพักสายตาสักครู่ ทว่าเวลานี้คงพักผ่อนไม่ได้แล้ว นางพลันคิดในใจว่าคราวหลังต้องลงกลอนประตูให้แน่น เพราะแม่นางเฉินมักเข้ามาในบ้านโดยไม่ได้รับอนุญาตและปฏิบัติราวกับเป็นบ้านของตน
แม่นางเหลียนยังไม่กล้าเอ่ยปากถามมารดาของเหอยาโถว อีกทั้งมีนิสัยโกหกไม่เก่ง ดังนั้นนางจึงแสดงท่าทีอ้ำอึ้งไม่รู้จะเอ่ยตอบอย่างไร
“ท่านแม่ไปถามแล้วเจ้าค่ะ ท่านป้าสะใภ้เหอตอบว่าไม่เห็นด้วย” หยุนเชวี่ยนอนอยู่บนเตียงอย่างเกียจคร้าน
“ไม่เห็นด้วยรึ? เพราะเหตุใด?” สีหน้ารอคอยของแม่นางเฉินพลันเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินคำพูดของหยุนเชวี่ย “เซียงเอ๋อไปอยู่ที่บ้านพวกเขาตั้งนานสองนาน เหตุใดจึงไม่นึกถึงชื่อเสียงของลูกสาวข้าบ้าง?”
“เซียงเอ๋อยังอายุน้อยเกินไป ต่อให้นางต้องแต่งงาน นางก็ควรจะแต่งงานในวัยที่สามารถสืบทอดวงศ์ตระกูลได้” หยุนเชวี่ยกลอกตาพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
“เซียงเอ๋อเป็นลูกสาวของข้า เหตุใดนางถึงไม่สามารถสืบทอดวงศ์ตระกูลได้ เซียงเอ๋อมีเลือดเนื้อเชื้อไขของข้า อีกไม่กี่ปีนางก็จะให้กำเนิดลูกที่น่ารักน่าชังให้พวกเขา” แม่นางเฉินเบ้ปาก “เหอเหล่าซานแต่งงานมาตั้งหลายปี เมียของเขาก็เพิ่งให้กำเนิดบุตรชายมิใช่หรือ ฮึ่ม…”
“น้องสะใภ้สาม เจ้าพูดเช่นนี้ไม่ได้…” แม่นางเหลียนทนฟังต่อไปไม่ไหว
“พี่สะใภ้รอง พวกเราร่วมมือกันแล้ว เหตุใดจึงไม่ใส่ใจเรื่องที่ข้าฝากฝังท่านไว้เล่า ท่านไม่ยินดีที่เซียงเอ๋อได้แต่งงานกับตระกูลร่ำรวยรึ? หรือว่า…” แม่นางเฉินเหลือบมองหยุนเชวี่ยราวกับเข้าใจอะไรบางอย่างก่อนเอ่ยถามอย่างหยาบคาย “พี่สะใภ้รองสนใจตระกูลเหอเช่นกันหรือ? จงใจไม่พูดคุยเรื่องเซียงเอ๋อเพื่อให้สาวน้อยเชวี่ยเอ๋อมาแย่งไปใช่หรือไม่?”
หยุนเชวี่ยงุนงง
“น้องสะใภ้สามพูดจาเหลวไหลเช่นนี้ได้อย่างไร? เชวี่ยเอ๋อยังเยาว์นัก ใครจะคิดเรื่องเช่นนั้นได้…” แม่นางเหลียนโกรธเคืองจนใบหน้าแดงก่ำ
“ใครไม่คิดก็แปลกแล้ว! สาวน้อยเชวี่ยเอ๋อตัวติดกับลูกชายตระกูลเหอทั้งวัน ข้าไม่เชื่อหรอกว่านางไม่เคยคิดเช่นนั้น! ข้าไม่อยากจะเชื่อ! เรื่องที่ควรเป็นมงคลกลับกลายเป็นเรื่องอัปมงคล!” แม่นางเฉินตบต้นขาพร้อมโวยวาย
“ท่านอาสะใภ้สามพูดอะไรออกมา?” หยุนเชวี่ยโมโห “หากกลัวว่าข้าจะแย่งเขา ท่านก็ไปพูดคุยกับตระกูลเหอเองสิ เร็วเข้า…” นางสวมรองเท้าพลางลากตัวแม่นางเฉินให้ออกจากบ้าน
เหตุใดต้นแขนและน่องของแม่นางเฉินคล้ายกับขาไก่ ทว่าร่างกายของนางใหญ่โตดั่งแม่วัว
“สาวน้อยเชวี่ยเอ๋อ ปกติแล้วอาสะใภ้ปฏิบัติกับเจ้าดีใช่หรือไม่ เจ้าอายุยังน้อยแล้วทำเช่นนี้ได้อย่างไร? นางคือน้องสาวของเจ้า ช่างทำได้ลงคอ…” ต้นแขนของแม่นางเฉินใหญ่กว่าต้นขาของหยุนเชวี่ยหนึ่งรอบ เมื่อนางสะบัดแขน หยุนเชวี่ยจึงเซล้มลงบนเตียง
หยุนเชวี่ยโกรธเคืองไม่น้อยจึงกระโจนใส่นางอีกครั้ง
ทว่ายังไม่ทันระบายความโกรธ บิดาผู้ซื่อสัตย์ของนางก็เดินเข้ามาขวางและคว้าแขนของแม่นางเฉินจากนั้นลากนางออกไปด้านนอกบ้าน
“ปัง…” ประตูบ้านทิศตะวันตกปิดสนิท
“ท่านพ่อ…” หยุนเชวี่ยตะลึงงัน นางคิดมาตลอดว่าคนซื่อสัตย์อย่างหยุนลี่เต๋อจะถือสาและลงมือกับสตรี
แม่นางเหลียน หยุนเยี่ยน และเสี่ยวอู่อ้าปากค้าง
หยุนลี่เต๋อถูฝ่ามือเข้าด้วยกันราวกับว่าเพิ่งคิดได้ว่าเมื่อครู่ตนเสียกิริยาไปเล็กน้อยก่อนพึมพำ “ข้าทนฟังนางดูถูกลูกสาวของข้าไม่ได้”
หยุนเชวี่ยเบ้ปาก ทันใดนั้นนางพลันรู้สึกตื้นตันใจ
แม่นางเฉินผู้ที่ถูกโยนออกมานอกบ้านเผยสีหน้างุนงง นางเคาะประตูบ้านฝั่งตะวันตกอยู่หลายครั้ง ทว่าไม่มีผู้ใดสนใจแม้แต่น้อย ขณะนี้นางไม่กล้าส่งเสียงโวยวายเพราะเกรงว่าเสียงของตนจะปลุกพี่สะใภ้ใหญ่ให้ตื่นขึ้น
หลังจากเดินวนไปมาอยู่ครู่หนึ่ง ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่พอใจ นางจึงถ่มน้ำลายใส่ประตูพลางกล่าวคำเบา “ฮึ่ม ครอบครัวของพวกเจ้าเห็นแก่ตัวทุกคน ไม่อยากช่วยเหลือข้าก็พูดออกมาเสีย แล้วเราจะได้เห็นดีกัน!”
หลังจากพูดจบ นางจึงสะบัดบั้นท้ายอันมโหฬารกลับไปยังห้องนอนของตน
หยุนลี่เซี่ยวนอนเปลือยกายหลับสนิทอยู่บนเตียง แม่นางเฉินเดินไปนั่งข้างเตียงและสะกิดสามีเบา ๆ “ท่านพี่ ตื่นได้แล้ว ข้ามีเรื่องใหญ่จะบอกท่าน”
“ไสหัวไปซะ!” หยุนลี่เซี่ยวพลิกตัวนอนหันหลังให้นางด้วยความหงุดหงิด