อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 47 กะเอาเขาให้ถึงตาย
มีอันตราย!
โม่เยว่สีหน้าเปลี่ยนทันที เก็บสายตาอยากกินคนเข้าไป และมองหยุนหว่านหนิงอย่างเคร่งเครียดพลางว่า “ไม่ว่าด้านนอกจะเกิดอะไรขึ้น อย่าออกมาเด็ดขาด”
เขาลุกขึ้นทำท่าจะออกไป
เมื่อครู่หยุนหว่านหนิงกำลังหยอกเย้าโม่เยว่ ไม่คิดว่ารถม้าจะเบรกกะทันหัน
เธอไม่ได้ระวังตัวเลย ทำให้เธอและหยวนเป่าสองแม่ลูกพร้อมใจกันพุ่งชนประตูรถม้า แต่ได้โม่เยว่ดึงกลับมาทัน
เธอกอดปกป้องหยวนเป่า ทั้งสองกอดกันแน่นอยู่มุมหนึ่ง
“ท่านไปทำอะไรน่ะ?”
หยุนหว่านหนิงมองโม่เยว่ ในแววตามีแววร้อนรน
โม่เยว่เหล่มองนาง มุมปากเผยรอยยิ้มมาดร้ายขึ้นมา “ข้าอยากจะดูสิว่า ใครมันโอหังบังอาจนัก! กล้าขวางรถม้าของข้ากลางถนน!”
ในแววตาเขา มีแววสังหารผุดขึ้น
หยุนหว่านหนิงรู้ว่า พอเขาออกไป ต้องเจอเลือดแน่
“อย่าเลย”
เธอรั้งมือเขาไว้ในบัดดล “คนด้านนอกไม่รู้ว่าจ้องเล่นงานใคร! ฟ้ามืดถนนโล่ง ใครก็ไม่รู้ว่าในความมืดจะเป็นยังไง”
แสงตะเกียงสองข้างทางไม่ถือว่าสว่างมาก
ยิ่งไปกว่านั้น นักฆ่าเหล่านี้ดูจะเตรียมตัวมาก่อน มาซุ่มดักรออยู่ที่นี่
เมื่อครู่ตอนออกมา ก็มีคนดับตะเกียงไปแล้ว
ตอนนี้ด้านนอกมืดไปหมด
เหมือนคำของหยุนหว่านหนิง ในความมืดดูจะมีแต่อันตรายเต็มไปหมด
ถ้าเกิด พวกเขามีหลุมพรางอีกล่ะ?
“พวกหรูโม่สามคนมีวิทยายุทธ์สูงส่ง ข้าฟังดูพวกเขามิได้เหน็ดเหนื่อยอะไร นักฆ่าพวกนี้คงมิใช่ยอดฝีมืออะไร รอพวกเขาจับตัวเป็นๆมาสอบสวนก็ได้แล้ว”
สามคนที่เธอพูดถึงคือ หรูโม่ หรูยี่และหรูเยียน
ตอนเธอกับหยวนเป่าตามกู้ป๋อจ้งมาตระกูลกู้ ก็พาหรูเยียนมาด้วย
“ข้าไม่มีทางเป็นเต่าหดหัวดอก”
โม่เยว่หรี่ตาลง ประกายเย็นเยียบวาบผ่านในดวงตา
“ในเมื่อเป็นปลาซิวปลาสร้อยกระจอกๆ ท่านเป็นถึงท่านอ๋องทั้งทีไปลงมือเอง มิเท่ากับทำมือสกปรกรึ? ลดฐานะตนเองไปดอกรึ?”
คำพูดของหยุนหว่านหนิงทำเขาพูดไม่ออก
นั่นไง ไม่นานเสียงต่อสู้ด้านนอกหยุดลง เสียงของหรูโม่ดังขึ้นข้างนอกรถม้า “นายท่าน ก็แค่พวกปลาซิวปลาสร้อย จัดการเรียบร้อยหมดแล้วขอรับ”
“เหลือใครรอดหรือไม่?”
“ไม่มี”
หรูโม่มองดูซากศพข้างเท้า “ผู้เดียวที่เหลือรอดที่จับได้ ก็กัดลิ้นฆ่าตัวตายแล้วขอรับ”
“ในเมื่อกัดลิ้นฆ่าตัวตาย ก็มิใช่ปลาซิวปลาสร้อย ต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี”
น้ำเสียงเย็นเยียบของโม่เยว่ดังออกมาจากในรถม้า “จัดการเก็บกวาดเสียก่อนเถอะ”
“ขอรับ”
หรูโม่อยู่เก็บกวาด หรูยี่และหรูเยียนควบรถม้ากลับจวนอ๋อง
หยุนหว่านหนิงปิดหูหยวนเป่าแน่นมาตลอด และกอดเขาไว้ในอ้อมกอดแน่น เดิมคิดว่าเจ้าเจ้าเด็กน้อยนี่เจอเรื่องแบบนี้ คงหวาดกลัวแน่
ใครจะรู้พอเธอปล่อยมือ ก็เห็นหยวนเป่าเงยหน้าขึ้น มองเธอด้วยดวงตาเป็นประกายระยิบระยับว่า “ท่านแม่ อะไรเรียกว่าปลาซิวปลาสร้อย?”
“อะไรคือปลาซิวปลาสร้อย?”
หยุนหว่านหนิง “….”
“ปลาหรือเต่าชนิดหนึ่งที่เล็กน้อยมาก”
โม่เยว่ตอบแทนเธอ
คำตอบนี้ หยุนหว่านหนิงเหลือบตามองบนทันที
อะไรคือเต่าที่เล็กน้อย? ปลาที่เล็กน้อยมาก?
ท่านอ๋องผู้นี้ คำคุณศัพท์บรรยายของท่านช่างแปลกประหลาดนัก เธอพึ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกเนี่ย!
แต่หยวนเป่ากลับพยักหน้า คลับคล้ายจะเข้าใจว่า “อ้อ!”
รถม้าพึ่งควบไปได้ระยะหนึ่ง เห็นจวนอ๋องหมิงอยู่ไม่ไกลแล้ว เวลานี้ กลับเห็นคิ้วโม่เยว่ขมวดมุ่น และมองหยุนหว่านหนิงอย่างหวาดระแวง
“ทำไมรึ?”
เห็นสีหน้าเขาแปลกๆ หยุนหว่านหนิงรีบกอดหยวนเป่านั่งตัวตรง ถามอย่างระแวงขึ้นมา
วินาทีต่อมา โม่เยว่ขยับร่าง มือขวาคว้าจับอย่างรวดเร็ว
มีเสียงแหวกอากาศข้างหู หยุนหว่านหนิงเงยหน้าขึ้น เห็นว่ามือเขาคว้าหมับกับลูกศรดอกหนึ่ง
ที่แท้เมื่อครู่เขาไม่ได้มองเธอ
คนที่ยิงลูกศรดอกนี้มา ฝีมือไม่เบาเลย
ผนังตัวรถม้าของจวนอ๋องหมิงหนาแน่น ลูกศรดอกนี้กลับยิงทะลุผนังรถม้าได้!
หยุนหว่านหนิงมีสีหน้าตกตะลึง “นี่…”
“ดูท่า จะมีคนอยากเอาข้าให้ถึงตาย”
ไม่ทำเขาตายไม่ยอมแพ้อย่างนั้น
โม่เยว่ยิ้มมุมปาก แต่ใบหน้ากลับไร้ซึ่งรอยยิ้ม ตรงกันข้าม หยุนหว่านหนิงเห็นความเย็นเยียบไร้ขอบเขตในดวงตาเขา…
พอโดนเขามองอย่างนี้ เหมือนโดนมือเย็นเยียบข้างหนึ่งผลักตกหุบเหวไร้ก้นบึ้ง
“ไม่แน่ว่าจะเป็นท่าน อาจเป็นข้าก็ได้”
หยุนหว่านหนิงรีบถาม “ท่านบาดเจ็บหรือไม่?”
โม่เยว่ส่ายหัว มองพิจารณาลูกศรในมืออย่างละเอียด “ไม่ใช่เจ้า คืนนี้มีคนอยากเอาชีวิตข้า”
“เพราะอะไร?”
จะดูอะไรออกจากลูกศรดอกหนึ่งได้?
“ลูกศรดอกนี้ ข้าจำได้”
โม่เยว่ยิ้มมุมปาก เผยให้เห็นรอยยิ้มเย็นเยียบ
เขาไม่ได้พูดตรงๆ
แต่ในใจหยุนหว่านหนิง คาดเดาได้แล้ว
ตอนนี้เขาดูแลค่ายเสินจี อาวุธทั้งหมดที่มีในราชสำนักส่วนมากอยู่ในความดูแลของเขา
ในเมื่อออกไปจากมือเขา ก็ต้องผ่านมือและตาเขา ดังนั้นสามารถจำลูกศรดอกนี้ได้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
เธอขมวดคิ้วถาม “ใคร?”
“สิ่งที่ไม่ควรถาม ก็อย่าถาม”
โม่เยว่ปรายตามองนาง ไอเย็นแผ่ซ่าน
หยุนหว่านหนิงรู้สึกแค่เสียวสันหลังวาบ รีบเบนสายตาหนี และกอดหยวนเป่าในอ้อมกอดแน่น “โง่ไม่รู้บุญคุณคน!”
เธอแค่นเสียงหึ
เธอก็แค่เป็นห่วงเขาไปหนึ่งคำเท่านั้นเอง!
ไม่สนใจความเป็นห่วงของคนอื่น!
เธอก่นด่าบรรพบุรุษชั่วโคตรของโม่เยว่ในใจ
โม่เยว่ไม่ได้พูดต่อ เขาก้มมองลูกศรในมืออย่างครุ่นคิด
หรูเยียนไล่ตามคนยิงลูกศรไปแล้ว หรูยี่รีบควบม้าเข้าไปในจวนอ๋องหมิง
ถึงจะเร็ว แต่ในรถม้ายังคงนิ่ง
เห็นได้ชัดว่า หรูยี่ไม่เพียงวิทยายุทธ์ล้ำเลิศ ยังมีฝีมือในการควบรถม้าด้วย
พอเข้าไปในจวนอ๋อง หยวนเป่าก็หลับแล้ว
วันนี้เขาไม่ได้นอนกลางวัน ตอนกลางวันเขาตามหยุนหว่านหนิงไปตระกูลกู้ เด็กมักจะง่วงง่ายกว่าผู้ใหญ่ กลางวันไม่นอน กลางคืนก็ยิ่งหลับเร็ว
หยุนหว่านหนิงอุ้มเขา กำลังจะถามโม่เยว่ว่าจะไปทานอาหารเย็นที่เรือนชิงหยิ่งไหม
จากนั้นได้ยินเขาบอกว่า “กลับไป ไม่ว่าได้ยินความเคลื่อนไหวอะไรด้านนอก ก็อย่าออกมาเด็ดขาด”
ระหว่างพูด เขาหมุนตัวเดินออกนอกประตูไป
เหมือนว่า การกลับมาจวนอ๋อง เป็นแค่พาพวกนางสองแม่ลูกมาส่ง
เดินได้ไม่กี่ก้าว เขาก็หมุนตัวกลับมา ขมวดคิ้วมองเธอ “หยวนเป่ายังไม่ได้ทานอาหารเย็น ปลุกเขามากินอะไรหน่อย! ไม่งั้นต้องหิวกลางดึกแน่”
ต่อให้พูดกับเธอเสียงเย็นชาเป็นน้ำแข็ง แต่สำหรับหยวนเป่า เขายังกำชับหยุนหว่านหนิงอย่างละเอียด
โม่เยว่ในคืนนี้ทำให้เธอรู้สึกแปลกหน้าไป
แต่ก็รู้สึกปลอดภัยมาก
เธอกอดและจับมือหยวนเป่าแน่น แนบคางกับใบหน้าเล็กแดงเรื่อนั่น มีแววกังวลในน้ำเสียงอย่างที่เธอเองก็ไม่รู้สึกตัวเลยว่า “ดึกป่านนี้แล้ว ท่านจะไปไหนน่ะ? ไม่ต้องกินข้าวเย็นรึ?”
“สิ่งที่เจ้าไม่ควรถาม ก็อย่าถาม”
โม่เยว่ยังคงให้มาคำหนึ่งเย็นๆอย่างนี้
ผู้ชายคนนั้นที่ทะเลาะถกเถียงกับเธอช่วงนี้ เหมือนจะเปลี่ยนเป็นผู้ใหญ่มั่นคงภายในคืนเดียว
ความรู้สึกชนิดนี้ทำให้หยุนหว่านหนิงไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่
โม่เยว่เหมือนจะจงใจขีดเส้นกั้นกับเธอ…
“ท่านจะไปไหน?”
เธอยังถามอย่างไม่ยอมแพ้ เห็นเขาขมวดคิ้วหนักขึ้น เสริมให้อีกคำ “หากท่านตาย พวกเราหญิงม่ายและลูกจะทำยังไงดี?”
โม่เยว่ “…วางใจได้ ข้าไม่ตายดอก”