อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 111 ท่านแม่ ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน
เมื่อได้ยินน้ำเสียงอันคุ้นเคย หยุนหว่านหนิงก็หันหน้ากลับไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากได้เห็นคนที่มาแล้ว นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
โม่เยว่ ในที่สุดเจ้าก็มาเสียที!
หยุนหว่านหนิงก้มหน้าลง เริ่มสร้างอารมณ์โศกให้ตัวเองทันที โม่เยว่เพิ่งจะเดินเข้ามาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ นางก็ระเบิดเสียงร้องไห้ “แง!” ออกมา “ฮือ ๆ ๆ ๆ ท่านอ๋อง ในที่สุดท่านก็มาซักที!”
“เมื่อครู่นี้เสด็จแม่เพิ่งบอกว่าจะตีข้าให้ตาย ให้เจ้าไม่ต้องมีเมียเลย! ฮือ ๆ ๆ ๆ!”
ฮองเฮาจ้าว: “….”
จะโกหกทั้งทีก็ควรเขียนบทให้มันเข้าท่าหน่อยไหม?
นางเคยพูดแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? !
เมื่อครู่นังผู้หญิงชั้นต่ำนี่ ยังดูมีท่าทางมั่นอกมั่นใจอยู่เลยไม่ใช่รึ? ยังร้องตะโกนปาว ๆ ว่าพร้อมจะเผชิญหน้ากับนางแบบตาต่อตาฟันต่อฟันอยู่เลยไม่ใช่รึ?
แค่พริบตาเดียว นางก็ร้องไห้คร่ำครวญเสียจนเหมือนดั่งว่าได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจที่สุดในใต้หล้าเข้าไปก็ไม่ปาน “ฮือ ๆ ๆ ๆ ท่านอ๋อง.…”
โม่เยว่ก็คิดไม่ถึงว่านางจะร้องไห้หนักมากขนาดนี้ จึงอดสงสัยไม่ได้ว่า หรือระหว่างที่นางตกอยู่ในเงื้อมมือของฮองเฮาจ้าวจะพบเจอกับความลำบากอะไร หรือเผชิญกับเรื่องที่ทำให้น้อยเนื้อต่ำใจอะไรเข้าจริง ๆ?
ไม้กระดานในมือของแม่นม ถูกเก็บกลับไปอย่างรวดเร็ว
ฮองเฮาจ้าวจ้องมองแม่นมด้วยสายตาดุร้ายแวบหนึ่ง “นังตัวดี รู้จักกอบโกยผลประโยชน์เข้าตัวเองเก่งนักนะ!”
แม่นมก้มหัวลง ค่อย ๆ ก้าวถอยหลังออกไปอย่างระมัดระวัง
โม่เยว่เข้าไปดึงตัวหยุนหว่านหนิงให้ลุกขึ้นมา
นางโผเข้าไปในอ้อมกอดเขา ร้องไห้เหมือนเด็กน้อยที่หาลูกกวาดไม่เจอ กระทั่งร่างกายก็ยังสั่นสะท้านน้อย ๆ
ดูแล้วช่างน่าสงสารนัก เกรงว่าคงจะถูกฮองเฮาจ้าวทำให้ตกใจแทบแย่แล้วสินะ?
“เสด็จแม่ ไม่ว่าวันนี้หนิงเอ๋อร์จะกระทำความผิดหรือไม่ก็ตาม พวกเราไปคุยกันต่อหน้าเสด็จพ่อเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
โม่เยว่เห็นกระดานแผ่นเมื่อครู่ในมือแม่นมที่ทั้งกว้างทั้งหนา รู้ได้ทันทีว่าถ้าไม้กระดานแผ่นนั้นฟาดลงไปบนหลังนาง ก็น่ากลัวว่าคงจะถูกตีจนผิวเนื้อแตกละเอียดจนหาส่วนดีไม่ได้แน่!
ชั่วขณะนั้น สีหน้าของเขายังคงเคร่งขรึมทันที
ไม่ว่าเขาจะเกลียดหยุนหว่านหนิงหรือไม่ก็ตาม แต่นางก็เป็นพระชายาในนามของเขา
การเคลื่อนไหวของฮองเฮาจ้าว ถือว่ากำลังตบหน้าเขาอยู่ชัด ๆ!
โม่เยว่แค่นเสียงเย็นชา พาตัวหยุนหว่านหนิงหันหลังกลับแล้วเดินจากไป
เมื่อเห็นว่าพวกเขาบอกจะไปก็ไปทันที ไม่เห็นนางที่เป็นถึงฮองเฮาในสายตาเลยสักนิด …… ฮองเฮาจ้าวก็โกรธจนพาลพาโลไปหมด “หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
“ข้ามีฐานะเป็นถึงฮองเฮา จะสั่งสอนลูกสะใภ้ที่ทำผิดมีเหตุอะไรไม่คู่ควรด้วยรึ? เจ้าเจ็ด เจ้าไม่แจ้งให้ทราบก็บุกรุกเข้ามาในตำหนักคุนหนิง กระทั่งเจ้าข้าก็จะลงโทษไปด้วยพร้อมกันทั้งคู่!”
“เสด็จแม่จะลองดูก็ได้”
โม่เยว่ปรายตามองนางด้วยแววตามืดทะมึน
“เจ้า……”
ฮองเฮาจ้าวโกรธแทบตายแล้ว แต่ขณะนั้นเองหยุนหว่านหนิงก็โน้มตัวเข้าไปจนชิดหน้าอกของโม่เยว่แล้วกระซิบเบา ๆ ว่า “เมื่อครู่หมอหลวงหลิวยอมรับแล้ว ว่าเขาจัดยาผิดให้ท่านแม่ ล้วนเป็นคำสั่งของเสด็จแม่”
จัดยาผิด?
สันดานเช่นนี้ ช่างเลวทรามต่ำช้าน่ารังเกียจนัก!
ยาไม่ใช่ของอะไรที่จะมาทำเล่น ๆ เพราะเมื่อไหร่ที่กินผิดอาจส่งผลร้ายแรงถึงชีวิตได้!
ที่แท้สาเหตุที่หยุนหว่านหนิงไปก่อเรื่องวุ่นวายที่โรงหมอหลวง เป็นเพราะเรื่องที่หมอหลวงหลิวสั่งยาผิดให้เต๋อเฟยอย่างนั้นรึ? !
โม่เยว่มองนางด้วยสายตาซับซ้อนแวบหนึ่ง
ฮองเฮาจ้าวมองนางด้วยความไม่พอใจ “เมียของเจ้าเจ็ด ของกินยังกินไม่ระวังได้ แต่คำพูดจะพูดแบบไม่ระวังไม่ได้นะ ข้าเคยสั่งให้หมอหลวงหลิวสั่งยาผิดให้เต๋อเฟยตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?! ”
“เสด็จแม่สามารถไปถามซึ่ง ๆ หน้ากับหมอหลวงหลิวดูได้”
หยุนหว่านหนิงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังโม่เยว่ ลดเสียงพูดให้แผ่วเบาลงอีก
ดูเหมือนว่านางจะถูกฮองเฮาจ้าวทำให้ตกใจกลัวเข้าแล้ว
เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของนาง ฮองเฮาจ้าวก็โกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันดังกรอด ๆ เลยทีเดียว
เสแสร้งแกล้งทำเป็นไร้เดียงสาชัด ๆ !
เมื่อครู่ไม่ใช่ว่าหางแทบจะชี้ขึ้นฟ้าอยู่แล้วหรอกรึ? !
“เสด็จแม่ ความจริงของเรื่องนี้เป็นอย่างไรกันแน่ ไปหาข้อสรุปกันต่อหน้าพระพักตร์ของเสด็จพ่อจะดีกว่า”
โม่เยว่พาหยุนหว่านหนิงเดินออกไป โดยไม่หันหลังกลับมามองเลย
ฮองเฮาจ้าวโกรธจนปวดขมับจี๊ด ๆ แล้ว อดยื่นมือขึ้นมาประคองหน้าผากไม่ได้ ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธเคืองสุดขีด “นังเด็กหยุนหว่านหนิงคนนี้ กับไอ้เด็กโมเยว่คนนี้! คนไหน ๆ ก็ใช้ไม่ได้เลยสักคน!”
“นี่ยังเห็นข้าอยู่ในสายตาบ้างหรือไม่?!”
ดูเหมือนว่านางจะถูกความโกรธจู่โจมจนโทสะขึ้นสมองแล้ว
แม่นมจางรีบก้าวขึ้นมาข้างหน้าเพื่อปลอบโยนนาง “พระวรกายของฮองเฮาเป็นสิ่งสำคัญนะเพคะ! ทรงระวังประเดี๋ยวจะกริ้วจนโรคปวดพระเศียรกำเริบขึ้นมาอีก”
โรคปวดหัวเรื้อรังของฮองเฮาจ้าว นับว่าเป็นโรคเก่าที่กลายเป็นโรคประจำตัวไปแล้ว
ปากนี้ของแม่นมจาง ช่างเหมือนปากที่ได้อาบลำแสงอาญาสิทธิ์มาก็ไม่ปาน
เพิ่งจะสิ้นเสียง ฮองเฮาจ้าวก็ส่งเสียงครางอย่างเจ็บปวดออกมาเสียงหนึ่ง จากนั้นก็หงายหลังล้มตึงลงไปกับพื้นทันที…..
ไม่ช้าข่าวที่ว่า “ฮองเฮาถูกพระชายาหมิงทำให้ทรงกริ้วจนประชวร” ก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งหกตำหนัก เมื่อเต๋อเฟยได้ยินข่าวนี้ก็มีความสุขมาก แววตาที่ใช้มองหยุนหว่านหนิงถึงกับแฝง “ความเมตตา” ขึ้นมาอีกหลายส่วน
นางรู้อยู่แล้ว ว่านางไม่มีวันทำให้นางผิดหวังแน่
ความสามารถในการทำให้คนโกรธจนแทบต้องร้องขอความตายของนังเด็กตัวแสบนี่ เก่งกาจชนิดไม่เป็นสองรองใครเลยจริง ๆ!
แม้ว่าฮองเฮาจ้าวจะถูกหยุนหว่านหนิงทำให้โกรธจนล้มป่วยไปแล้ว แต่โม่จงหรานก็ยังไม่แสดงท่าทีใด ๆ ออกมาให้เห็น
แค่ตำหนิหยุนหว่านหนิงด้วยถ้อยคำที่ไม่เจ็บไม่คันอะไรไปสามสี่คำ จากนั้นก็ลดระดับชั้นของหมอหลวงหลิว ซึ่งแต่เดิมมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าโรงหมอหลวง ลดลงมาเป็นหมอหลวงชั้นธรรมดา ซึ่งแสดงทัศนคติของโม่จงหรานต่อเรื่องนี้
เห็นได้ชัดว่าพระองค์กำลังปกป้องเต๋อเฟย รวมถึงปกป้องหยุนหว่านหนิงด้วยเช่นกัน!
ซึ่งนี่ทำให้สายตาของคนในเมืองหลวงที่จับจ้องไปที่หยุนหว่านหนิง ต้องเปลี่ยนไปอีกครั้ง
นางป้อนยาให้เต๋อเฟยเสร็จ ก็ไปที่บ้านตระกูลกู้เพื่อเยี่ยมเสี่ยวหยวน
ด้วยสาเหตุเพราะเต๋อเฟยล้มป่วย ทำให้นางต้องหมั่นไปคอยดูอาการอย่างใกล้ชิด จึงทำให้หยุนหว่านหนิงไม่ได้เจอเจ้าก้อนแป้งมาเป็นเวลาสามวันเต็ม ๆ แล้ว
ไม่ได้เจอกันเพียงหนึ่งวัน ช่างยาวนานราวกับไม่ได้เจอกันถึงสามฤดูใบไม้ร่วงเลยทีเดียว
สำหรับลูกชายสุดที่รักของนาง หยุนหว่านหนิงยิ่งรู้สึกว่ามันยาวนานเหมือนหกฤดูใบไม้ร่วงเลยด้วยซ้ำ
เจ้าก้อนแป้งมาอยู่ในบ้านตระกูลกู้ได้ห้าวันแล้ว ทั้งเนื้อทั้งตัวดูอ้วนกลมสมบูรณ์ขึ้นในระดับความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เมื่อก่อนยังเป็นเหมือนแค่ลูกชิ้นกลม ๆ ลูกเล็ก ๆ แต่ตอนนี้ดูเหมือนซาลาเปาเนื้อลูกใหญ่ ๆ ไปเรียบร้อยแล้ว
แต่เพราะหน้าตาของเจ้าก้อนแป้งนั้นดูดี แม้จะดูกลมยุ้ยแต่ก็ไม่ได้เตี้ยม่อต้อ
ดังนั้นแม้ว่าจะกินจนอ้วนท้วน ก็ไม่ได้ส่งผลต่อรูปร่างหน้าตาเท่าไหร่ กลับกันยิ่งทำให้ดูน่ารักขึ้นไปอีก
ทันทีที่ได้ยินเสียงของหยุนหว่านหนิง เขาก็รีบวิ่งทะยานเข้าไปหาราวกับ…. ห่านตัวอ้วนกลมตัวหนึ่ง “ท่านแม่!”
“ลูกรัก!”
หยุนหว่านหนิงยอบตัวลงกับพื้นแล้วกางสองแขนออกจนกว้าง รอยยิ้มอาบเต็มใบหน้าขณะที่มองดู “ห่านอ้วนกลม” วิ่งถลาเข้ามาหา นางเพิ่งจะจับเขาไว้ได้ สองคนแม่ลูกก็พากันล้มระเนระนาดลงไปกับพื้น
“ลูกชายคนดีของแม่ นี่เจ้ากินของอร่อย ๆ ในบ้านตาทวดของเจ้าเข้าไปมากมายขนาดไหนกันเนี่ย? ถึงได้อ้วนท้วนสมบูรณ์เสียขนาดนี้!”
หยุนหว่านหนิงตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาจากพื้น อุ้มเจ้าก้อนแป้งขึ้นมาอย่างยากลำบาก ถึงขั้นต้องใช้แรงอย่างหนัก
“ข้าก็ไม่ได้กินเยอะเสียหน่อย”
เจ้าก้อนแป้งเหยียดนิ้วอ้วนกลมออกมา ลูบ ๆ บีบ ๆ ไปตามใบหน้าของหยุนหว่านหนิง ก่อนจะจูบที่แก้มอย่างสนิทสนม
หลังจากจูบแก้มขวา ก็ย้ายมาจูบแก้มซ้าย หลังจากจูบแก้มซ้ายเสร็จ ก็เลื่อนขึ้นไปจูบหน้าผาก หลังจากจูบหน้าผากเสร็จ ก็ไล่ลงมาจูบคาง หลังจากจูบคางเสร็จ ก็จูบจมูกต่อ
เจ้าก้อนแป้งกอดใบหน้าของหยุนหว่านหนิง พลางพูดจาออดอ้อนออเซาะว่า “ท่านแม่ ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน!”
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาสองคนแม่ลูก ต้องถูกแยกจากกันเป็นเวลาห้าวันเต็ม ๆ
เจ้าก้อนแป้งแสดงความรักใคร่โหยหานาง ประดุจความหิวโหยในข้าวปลาอาหารก็ไม่ปาน…. ท่าทางออดอ้อนออเซาะ วาจาฉอเลาะแบบนี้ ทำเอาหัวใจของแม่อย่างหยุนหว่านหนิงแทบจะหลอมละลายลงไปให้ได้แล้ว
นางกอดเจ้าก้อนแป้งแน่น ถามด้วยความเป็นห่วงว่า “แม่ก็คิดถึงเจ้ามากเหมือนกัน อยู่ที่บ้านท่านตาทวดสนุกหรือไม่? ทำตัวซุกซนหรือเปล่า? อยากกลับจวนแล้วหรือไม่?”
“เขาเป็นเด็กดีเชื่อฟังอย่างมาก”
กู้ป้อจ้งเดินเข้ามาหาด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ข่าวแพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว”
“ว่ากันว่าเมื่อสองวันก่อน เจ้าทำให้ฮองเฮาโกรธจนล้มป่วยเลย”
เดิมทีนางคิดว่าท่านตาจะต้องตำหนินางแน่ หยุนหว่านหนิงทำใจพร้อมรับการถูกตำหนิเต็มที่
น้ำเสียงของกู้ป้อจ้งเปลี่ยนไปทันที พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เสียแรงที่เป็นหลานสาวของข้ากู้ป้อจ้งคนนี้ ! ช่างกล้าหาญชาญชัยนัก!”
หยุนหว่านหนิง: “? ? ?”
ดูเหมือนว่าท่านตาหมายจะเปิดโปงอะไรบางอย่างสินะ?
“ตอนนี้ฮองเฮาจ้าวต้องไม่กล้าประเมินเจ้าต่ำอีกต่อไปแล้วอย่างแน่นอน แต่เมื่อเจ้าทำให้นางขุ่นเคือง นับจากนี้ไปเจ้าก็เหมือนเดินอยู่บนน้ำแข็งแผ่นบาง ๆ ทุกย่างก้าวที่เจ้าเหยียบย่างภายในวัง ล้วนต้องระมัดระวังให้มาก”
ทำไมนางถึงรู้สึกว่าในคำพูดของตา มันแฝงเร้นไปด้วยอารมณ์รื่นเริงมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นอยู่ด้วยน้อย ๆ ล่ะเนี่ย?
เมื่อเผชิญหน้ากับรอยยิ้มของกู้ป้อจ้งเข้าไป หยุนหว่านหนิงก็เกิดความงุนงงสงสัยขึ้นมา “ท่านตา นี่ท่านกำลังยิ้มหรือ?”
“ข้าเปล่าเสียหน่อย”
กู้ป้อจ้งเก็บรอยยิ้มกลับไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง “ที่ผ่านมาเต๋อเฟยไม่เคยชอบเจ้าเลย”
“หลังเกิดเรื่องครั้งนี้แล้ว ทัศนคติของนางที่มีต่อเจ้าก็น่าจะเปลี่ยนไปพอสมควรเลยทีเดียว คงไม่ถึงขั้นตั้งแง่เป็นปรปักษ์ หรือรังเกียจเดียดฉันท์เจ้ามากเหมือนเมื่อก่อนแล้วล่ะ”
คำพูดนี้จริงตามนั้นทุกประการ
ในช่วงสองวันที่นางเฝ้าไข้อยู่ในตำหนักหย่งโซ่ว ท่าทีที่เต๋อเฟยมีต่อนางนับว่าดีขึ้นมากแล้วจริง ๆ
เพียงไม่นาน ในเมืองหลวงก็เกิดเรื่องราวใหญ่โตขึ้นอีกครั้ง….