อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 114 นางตั้งใจจะฆ่าท่านอ๋องของข้า
“หืม? เรื่องนี้เจ้าไปได้ยินใครพูดมาจากไหน?”
โม่จงหรานหรี่ตามองนาง “เมียเจ้าเจ็ด เรื่องแบบนี้เจ้าจะพูดพล่อย ๆ ไม่ได้นะ! ไม่เช่นนั้น ข้าจะลงโทษเจ้าในข้อหา ‘ใส่ร้ายป้ายสี’ คนอื่นให้เสื่อมเสีย!”
นางพูดออกมาตรง ๆ ว่า พระชายาหยิงตั้งใจจะฆ่าโม่เยว่
แต่ไม่ได้บอกว่า พระชายาหยิงวางแผนการชั่วร้าย
หยุนหว่านหนิงยื่นป้ายคำสั่งในมือออกไป “เมื่อวานนี้พระชายาหยิงมาที่จวนอ๋องหมิงเพคะ”
“พอเช้าวันนี้ ข้าก็พบของสิ่งนี้ในห้องโถงหลัก ข้าลองถามท่านอ๋องของข้าดูแล้ว ท่านอ๋องก็บอกว่าเขาไม่รู้ เมื่อวานนี้พระชายาหยิงไม่ได้แสดงของอะไรแบบนี้ออกมาให้เขาเห็นเลย”
“ถึงอย่างไรมันก็เป็นป้ายคำสั่งของค่ายห้ากองพล ท่านอ๋องบอกว่าจะอย่างไรก็ไม่มีทางไปปรากฏในมือของพระชายาหยิงได้แน่ ๆ”
ป้ายคำสั่งของค่ายห้ากองพล เป็นหน้าที่ของรองแม่ทัพอู๋ที่ต้องคอยเก็บรักษา ในใจโม่จงหรานเองก็รู้แน่แก่ใจดี
“ไม่รู้ว่าป้ายคำสั่งนี้ไปอยู่ในมือของพระชายาหยิงได้อย่างไรเพคะ แต่ท่านอ๋องบอกว่าระหว่างนี้อย่าเพิ่งเอะอะไป แค่เอาป้ายนี้ไปคืนให้นางก็พอ”
หยุนหว่านหนิงสูดน้ำมูกฟึดฟัด ร้องไห้ด้วยท่าทางน้อยอกน้อยใจ “แต่หม่อมฉันคิดใคร่ครวญถึงเรื่องนี้แล้วเพคะ”
“ของชิ้นนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง ทั้งมีส่วนเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องระหว่างอ๋องหยิงกับท่านอ๋องของข้าด้วย! ข้าจึงนำป้ายคำสั่งนี้มา เพื่อจะทูลขอให้เสด็จพ่อทรงตัดสินเรื่องนี้เพคะ”
สีหน้าของโม่จงหรานหนักอึ้งจมดิ่งทันที
เขารับป้ายคำสั่งมาพิจารณาดูอย่างละเอียด พยักหน้าแล้วพูดว่า “อื้ม นี่เป็นป้ายคำสั่งของค่ายห้ากองพลจริง ๆ”
ติดอยู่ที่ว่า เจ้าของสิ่งนี้ไปตกอยู่ในมือของพระชายาหยิงได้อย่างไรกันล่ะ?
ทำไมฉินซื่อเสวียถึงพกป้ายคำสั่งนี้ไปที่จวนอ๋องหมิง?
สรุปว่ามันไปตกอยู่ที่นั่นโดยบังเอิญ หรือว่าถูกทิ้งไว้ที่จวนอ๋องหมิงโดยเจตนากันแน่?
ก่อนที่โม่หุยเฟิงจะออกจากเมืองหลวง ยังทะเลาะกับโม่เย่วเสียใหญ่โตเพราะป้ายคำสั่งนี้แท้ ๆ
ถ้าฉินซื่อเสวียจงใจทิ้งมันไว้ที่จวนอ๋องหมิง…. เรื่องนี้จะต้องไม่ใช่อะไรที่จัดการได้ง่าย ๆ ขนาดนั้นแน่ ภารกิจเร่งด่วนที่สุดคือ ต้องสืบหาจนรู้ชัดให้ได้ ว่าป้ายคำสั่งนี้ไปอยู่ในมือของฉินซื่อเสวียได้อย่างไร!
โม่จงหรานกำลังจะออกราชโองการ เรียกตัวฉินซื่อเสวียรวมถึงรองแม่ทัพอู๋ให้เข้าวัง ซูปิ่งซ่านก็เข้ามารายงานก่อนแล้ว
รายงานว่า รองแม่ทัพอู๋มีเรื่องเร่งด่วนมาทูลขอเข้าเฝ้า
“รองแม่ทัพอู๋?”
แววตาของโม่จงหรานกะพริบวาบน้อย ๆ
เขากับหยุนหว่านหนิงมองหน้าประสานสายตากันแวบหนึ่ง ค่อย ๆ เก็บป้ายคำสั่งในมือลงไป “เมียเจ้าเจ็ด เจ้าเข้าไปซ่อนตัวข้างในก่อน ข้าจะสอบถามรองแม่ทัพอู๋เสียหน่อย”
“เพคะ เสด็จพ่อ”
หยุนหว่านหนิงยืนขึ้นอย่างเชื่อฟัง เข้าไปซ่อนตัวที่ห้องโถงด้านในของห้องทรงพระอักษร
ซูปิ่งซ่านพารองแม่ทัพอู๋เข้ามา
ทันทีที่เขาเข้าประตูมาได้ รองแม่ทัพอู๋ก็ทรุดตัว คุกเข่าลงตรงหน้าโม่จงหรานด้วยสีหน้าขาวซีดเผือดสี “ฝ่าบาท กระหม่อมได้กระทำความผิดร้ายแรงที่มีโทษถึงตาย โปรดทรงลงโทษกระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
ใบหน้าของเขาซีดเผือดจนเป็นสีเทา โขกหัวคำนับลงกับพื้นอย่างหนัก
“เจ้ากระทำความผิดร้ายแรงอะไรจนมีโทษถึงตาย?”
สีหน้าของโม่จงหรานยังคงสงบนิ่ง
หยุนหว่านหนิงมองผ่านฉากบังลม เห็นแค่ว่ารองแม่ทัพอู๋กำลังสั่นเทิ้มไปทั้งเนื้อทั้งตัว
เขาดูเหมือนคนที่เพิ่งสร่างขึ้นมาจากฤทธิ์เหล้า ดวงตาทั้งสองข้างยังแดงอยู่เล็กน้อย ถึงขั้นได้กลิ่นเหล้าที่ยังไม่ระเหยสายหนึ่งโชยมาแต่ไกล
รองแม่ทัพอู๋ไม่กล้าเงยหน้าขึ้น ทำได้แค่ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงอู้อี้ติดอยู่ในลำคอว่า “ก่อนที่ท่านอ๋องหยิงจะไปจากเมืองหลวง ได้มอบป้ายคำสั่งค่ายห้ากองพลไว้ให้กระหม่อมเก็บรักษา แต่ว่า… แต่ว่าป้ายคำสั่งมัน…. ”
“เมื่อวานนี้ป้ายคำสั่งถูกกระหม่อมทำหายไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
เรื่องนี้ แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ
ทันทีที่รองแม่ทัพอู๋พูดจบ โม่จงรานก็ตบโต๊ะอย่างแรง “เจ้าว่าอะไรนะ!”
“ค่ายห้ากองพล ถือเป็นหนึ่งในค่ายที่มีความสำคัญสูงสุดของราชสำนัก ตอนนี้เจ้าจะมาบอกว่าเจ้าทำป้ายคำสั่งค่ายห้ากองพลหายไปอย่างนั้นรึ?!”
“ทหาร! มาลากตัวเขาออกไป ตัดหัวทิ้งซะ!”
ทันทีที่โม่จงหรานบันดาลโทสะ รองแม่ทัพอู๋ก็ตัวสั่นเทิ้มยิ่งขึ้น “ฝ่าบาท กระหม่อมสมควรตาย กระหม่อมสมควรตาย!”
“พูดมา! ว่าเจ้าทำป้ายคำสั่งหายได้อย่างไร?!”
โม่จงหรานมองเขาอย่างเย็นชา แต่จากปลายหางตากลับเหลือบมองไปด้านหลังฉากบังลม
เห็นแค่หยุนหว่านหนิงสองมือแยกเปิดฉากบังลมออก ขมวดคิ้วมุ่นพลางมองไปที่รองแม่ทัพอู๋…..
ในใจของโม่จงหราน ค่อย ๆ เริ่มเกิดความสงสัยขึ้นมา
เมื่อวานนี้ ฉินซื่อเสวียทำป้ายคำสั่งค่ายห้ากองพลหล่นไว้ในจวนอ๋องหมิง พอวันนี้รองแม่ทัพอู๋ก็เข้าวังมายอมรับผิด บอกว่าเขาทำป้ายคำสั่งค่ายห้ากองพลหาย
เมื่อมองจากมุมนี้ การกระทำทั้งหมดนี้ของฉินซื่อเสวีย น่ากลัวว่าคงจะไม่ใช่เจตนาดีแน่นอนแล้ว!
โชคยังดีที่หยุนหว่านหนิงค้นพบได้ทันเวลา
ถ้าไม่อย่างนั้น ครั้งนี้คงจะ…..
ใครบ้างที่ไม่รู้ว่า ตอนนี้โม่หุยเฟิงกับโม่เยว่เป็นเหมือนดั่งน้ำกับไฟที่ไม่มีวันเข้ากันได้? !
“ทูลฝ่าบาท ตอนที่กระหม่อมออกไปข้างนอกเมื่อวานนี้ ป้ายยังห้อยอยู่ที่เอวพ่ะย่ะค่ะ”
ทั้งร่างของรองแม่ทัพอู๋หมอบราบอยู่กับพื้น ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ๆ “ฉินเฉิงเซี่ยงส่งคนมาเชิญกระหม่อม บอกว่าเขามีเรื่องบางอย่างที่ต้องการจะหารือ จึงเชิญกระหม่อมไปที่จวนเซี่ยงพ่ะย่ะค่ะ”
“หลังออกมาจากจวนเซี่ยง กระหม่อมก็เมามากจนไร้สติไม่รู้สึกตัวแล้ว”
เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เขาถูกฉินตงหลินมอมเหล้าจนเมาแอ๋ไม่รู้เนื้อรู้ตัว!
“วันนี้พอกระหม่อมตื่นขึ้นมา ก็ ก็พบว่าป้ายคำสั่งหายไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
“ฉินเฉิงเซี่ยง? จวนเซี่ยง? เมาจนไม่รู้เนื้อรู้ตัว?”
โม่จงหรานสามารถคว้าจับคำพูดที่เป็นรายละเอียดอ่อนไหวเหล่านั้นได้ทันที “เจ้าไปดื่มที่จวนเซี่ยงมาหรือ?”
“เป็นใต้เท้าฉินเฉิงเซี่ยงที่….”
รองแม่ทัพอู๋ตอบกลับด้วยความหวาดกลัวจนใจเต้นระส่ำ
ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก โม่จงหรานก็เดาทุกอย่างได้หมดแล้ว
ไม่ว่าฉินซื่อเสวียจะจงใจทิ้งป้ายคำสั่งไว้ที่จวนอ๋องหมิง หรือบังเอิญทำหล่นไว้ที่จวนอ๋องหมิงก็ตามแต่ เมื่อมองดูจากตอนนี้ ล้วนเป็นเจตนามุ่งร้ายทั้งสิ้น!
แต่จุดประสงค์ของฉินตงหลิน ที่มอมเหล้ารองแม่ทัพอู๋จนเมานั้นชัดเจนยิ่งกว่า
เห็นได้ชัดว่า เพื่อจะชิงป้ายคำสั่งไป!
ถ้าเป็นแค่ฉินซื่อเสวียคนเดียวก็ยังพอจะแล้วกันไปได้ แต่ดันมีฉินตงหลินเข้ามาร่วมด้วยนี่แหล่ะ
เมื่อจากมุมนี้ แปลว่าคนพวกนี้เริ่มจะอยู่ไม่สุขกันอีกแล้วสินะ!
โม่จงหรานแค่นยิ้มเย็นชา ก่อนจะหันไปพูดกับรองแม่ทัพอู๋ว่า “เจ้ามันสมควรตายจริง ๆ นั่นแหล่ะ! แต่ก่อนที่จะสืบสวนเรื่องนี้ได้กระจ่างชัด จงไสหัวไปอยู่ในคุกหลวงซะ!”
“รอหลังจากที่ข้าสืบสวนทุกอย่างจนกระจ่างดีแล้ว ค่อยตัดหัวสุนัขของเจ้าทิ้ง!”
เพิ่งจะสิ้นเสียง ทหารจากกองทัพองครักษ์ส่วนพระองค์ก็เข้ามาลากตัวรองแม่ทัพอู๋ออกไป
โม่จงหรานตะโกนเรียกโดยไม่หันหน้าไปมองแม้แต่น้อย “เมียเจ้าเจ็ด ออกมาเถอะ”
หยุนหว่านหนิงเดินย่อง ๆ ออกมาเบา ๆ เห็นแค่เขากำลังเล่นกับป้ายคำสั่งในมือ สีหน้าเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“เสด็จพ่อ เรื่องนี้…”
นางถามอย่างระมัดระวัง
“ในใจข้ารู้ดีอยู่แล้ว”
โม่จงหรานเงยหน้าขึ้นมองนางแวบหนึ่ง “คนพวกนี้เฝ้าจับตาดูอยู่ ตอนนี้ข้าให้ความสำคัญกับเจ้าเจ็ดขึ้นมาถึงสองส่วน ดังนั้นถึงได้เริ่มกระสับกระส่ายอยู่กันไม่เป็นสุขขึ้นมาอีกแล้ว ในใจข้าเองก็เข้าใจดี”
เดิมทียังคิดอยู่ว่า จะพูดจาโน้มน้าวใจให้โม่จงหรานเชื่อ คงต้องใช้ความพยายามอย่างมาก
หยุนหว่านหนิงอุตสาห์เตรียม “ร่างต้นฉบับ” อันยาวเหยียดพร้อมกับซักซ้อมในใจเอาไว้จนนับครั้งไม่ถ้วนแล้วเชียวนะ
ใครจะรู้ล่ะว่านางยังไม่ทันได้อ้าปากเลย โม่จงหรานก็เชื่อนางซะแล้ว?!
คิดไม่ถึงว่า เป็นเพราะเรื่องของเต๋อเฟยนี้เอง ที่กลายเป็นเชื้อพันธุ์เล็ก ๆ ซึ่งเข้าไปบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยเอาไว้ในใจของเขาแล้ว
ถ้าไม่ใช่คำสั่งจากฮองเฮา หมอหลวงหลิวจะกล้าละเลยสุขภาพของเต๋อเฟยได้อย่างไรกัน?
อีกทั้งฮองเฮาจ้าวกับโม่หุยเฟิง ก็มีสายเลือดจากตระกูลเดียวกัน….
โม่หุยเฟิงเป็นสามีของฉินซื่อเสวีย และฉินซื่อเสวียก็เป็นลูกสาวของฉินตงหลิน
หลังจากค่อย ๆ หักลบความสัมพันธ์ทีละเส้น ทีละสายของคนเหล่านี้ลงไปเรื่อย ๆ การที่ฉินตงหลินตั้งใจมอมเหล้ารองแม่ทัพอู๋จนเมา แล้วขโมยเอาป้ายคำสั่งของค่ายห้ากองพลไป จุดประสงค์มันก็ชัดเจนมากอยู่แล้ว
นี่ก็คือละครฉากหนึ่ง ซึ่งมุ่งเป้าไปที่การใส่ร้ายและหวังจะทำลายโม่เยว่ให้พินาศย่อยยับ!
หยุนหว่านหนิงแสร้งทำเป็นเข้าใจ พยักหน้าแล้วถามว่า “เสด็จพ่อ แล้วท่านมีแผนว่าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรหรือเพคะ?”
โม่จงหรานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็หันไปสั่งซูปิ่งซ่านว่า “ไปเชิญฮองเฮามาที่นี่เดี๋ยวนี้”
“ฝ่าบาท ฮองเฮายังทรงประชวรอยู่นะพ่ะย่ะค่ะ”
ซูปิ่งซ่านกล่าวอย่างระมัดระวัง
“ถ้าอย่างนั้นก็หามเข้ามา!”
โม่จงหรานโบกมืออย่างหมดความอดทน “แล้วก็เรียกเมียเจ้าสามเข้าวังมาด้วยอีกคน”
เขาตัดสินใจว่าจะแก้ไขเรื่องนี้แบบเป็นการส่วนตัวก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความ “ตื่นตระหนก” ในหมู่ขุนนางใหญ่ภายในราชสำนัก ซึ่งพอถึงเวลานั้นจิตใจของทุกคนก็จะแตกแยกไม่สามัคคี วันนี้โม่จงหรานจึงจำเป็นต้อง “สะสางของไม่จำเป็นในครอบครัวเสียบ้าง”!
เมื่อเห็นว่าฝ่าบาททรงกริ้วแล้ว ซูปิ่งซ่านก็แอบ “สวดมนต์ภาวนา” ให้แก่ฮองเฮาจ้าวกับฉินซื่อเสวียในใจทันที….