โม่เยว่พกพาความรู้สึกกระวนกระวายเข้ามาในตำหนักฉินเจิ้ง
ตลอดระยะเวลาการประชุมราชการเช้า โม่จงหรานไม่ได้พูดถึงเรื่องการตัดหัวของหลิวต้าเหวินเลย หัวใจของโม่เยว่ค่อย ๆ จมดิ่งลงไปทุกขณะ นึกสงสัยว่าหรือซ่งจื่ออวี๋คนนี้จะทำได้แค่คุยโม้โอ้อวดไปอย่างนั้นเอง
คิดไม่ถึงว่าพอดำเนินไปถึงช่วงท้ายของการประชุมเช้า จู่ ๆ โม่จงหรานก็พูดขึ้นมาว่า “ช่วงนี้หลิวต้าเหวินเป็นอย่างไรบ้างแล้วล่ะ?”
เจ้ากรมอาญาเฉินกั่ว รีบก้าวเท้าขึ้นมาตอบคำถามทันที
“ทูลฝ่าบาท ตอนแรกหลิวต้าเหวินยังทำเป็นแกล้งตาย ต่อมาหลังจากที่กระหม่อมทำการเค้นสอบปากคำ ถึงยอมสารภาพทุกอย่างออกมาจนหมดเปลือก ตอนนี้ยังถูกคุมขังอยู่ในคุกหลวง ไม่มีคำสั่งของฝ่าบาท กระหม่อมไม่กล้าลงโทษเขาตามใจชอบพ่ะย่ะค่ะ ”
แม้ว่าหลิวต้าเหวินจะถูกส่งตัวเข้าคุกหลวง แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นชินเทียนเจี้ยนที่โม่จงหรานให้ความสำคัญที่สุดในอดีต
เขาไม่มีคำสั่ง กรมอาญาก็ย่อมไม่กล้าลงโทษเขาตามอำเภอใจ
“คนที่ถูกส่งเข้าคุกหลวงล้วนเป็นคนที่สมควรตายทั้งนั้น มีอะไรไม่กล้า?”
โม่จงหรานแค่นเสียงเย็นชาขึ้นมาเสียงหนึ่ง “ข้าปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ต่อได้อีกตั้งหลายวันขนาดนี้ ก็นับว่าเป็นเมตตาอันยิ่งใหญ่ที่ข้ามอบให้แล้วล่ะ! ไม่จำเป็นต้องเก็บไว้อีกแล้ว วันนี้ยามอู่ให้นำตัวไปตัดหัวทิ้งซะ!”
“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา”
เฉินกั่วรีบน้อมรับพระบัญชา
เหล่าขุนนางต่างหันมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง ไม่มีใครคิดว่าจู่ ๆ โม่จงหรานจะสั่งประหารหลิวต้าเหวินในเวลานี้
มีเพียงโม่เยว่ ที่ฝืนพยายามระงับความตื่นตระหนกในใจลงไปเงียบ ๆ
เดิมทีเขายังคิดอยู่ว่า ซ่งจื่ออวี๋คงจะแค่คุยโม้โอ้อวดไปอย่างนั้น
แต่พัฒนาการของเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ กระทั่งคำพูดที่โม่จงหรานเอ่ยออกมา มันแทบจะเหมือนกันกับที่ซ่งจื่ออวี๋ทำนายไว้ทุกประการ!
ยังมีฤกษ์ยามที่สั่งประหารหลิวต้าเหวิน ก็เกือบจะตรงกับฤกษ์ยามที่ซ่งจื่ออวี๋ทำนายไว้ไม่มีผิด!
ซ่งจื่ออวี๋คนนี้…..
แววตาของโม่เยว่มืดทะมึนลงไปเล็กน้อย
ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น ก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจถูกติดสินบนเพื่อซื้อใจล่วงหน้า แต่คนคนนี้คือโม่จงหรานเชียวนะ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องติดสินบนเพื่อจะซื้อใจใด ๆ หรอก แค่จนถึงตอนนี้ ซ่งจื่ออวี๋ยังไม่เคยได้พบเขามาก่อนเลยด้วยซ้ำกระมัง?
ใครกันจะสามารถควบคุมจิตใจของโม่จงหรานได้?
ใครกันจะกล้าควบคุม? !
นอกเสียจากว่าซ่งจื่ออวี๋คนนี้จะมีความสามารถจริง ๆ ไม่เหมือนกับหลิวต้าเหวินที่ทำได้แค่ใช้เล่ห์เพทุบาย หาเรื่องแถเพื่อให้ตัวเองผ่านด่านเคราะห์ได้ไปวัน ๆ ….
โม่เย่วคิดถึงความเป็นไปได้อื่นใดไม่ออกแล้วจริง ๆ !
ในใจเขาเวลานี้รู้สึกซับซ้อนสับสนมาก
เขาไม่นึกสงสัยในสิ่งที่หยุนหว่านหนิงพูดอีกต่อไปแล้ว ทั้งยังมีความเข้าใจใหม่ ๆ เกี่ยวกับความสามารถของนางขึ้นมาหลายส่วน
ผู้หญิงคนนี้สรุปแล้ว นางสามารถตามหาเสวียนซันเซียนเซิงจนพบได้อย่างไรกันแน่นะ?
แล้วนางพูดจาโน้มน้าวเสวียนซันเซียนเซิงอย่างไร? จนเขายอมให้ซ่งจื่ออวี๋คนนี้ลงจากภูเขามาช่วยงานพวกเขา?!
นาง…..ทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อเขาจริง ๆน่ะหรือ!
หลังประชุมเช้า โม่เยว่ไม่ได้รอดูหลิวต้าเหวินถูกนำตัวออกมาประหารเหมือนพวกขุนนางคนอื่น ๆ แต่เดินตรงไปยังประตูพระราชวัง ใจก็คิดว่าอยากจะกลับจวนอ๋องหมิงเพื่อไปคุยกับหยุนหว่านหนิง
คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะเดินออกจากประตูเสวียนอู่ ก็ถูกหลี่หมัวมัวเข้ามาหยุดไว้
บอกว่าเต๋อเฟยมีเรื่องด่วน จึงขอเชิญเขาไปหารือด้วยสักหน่อย
“เรื่องอะไรรึ? ข้ามีเรื่องด่วนต้องรีบกลับจวนเหมือนกัน”
เขาไม่อยากไป
หลี่หมัวมัวก็รู้นิสัยใจคอของท่านอ๋องผู้นี้เช่นกัน จึงไม่กล้าเชื้อเชิญด้วยท่าทีแข็งกร้าว นางทำได้แค่ยิ้มแย้มพลางพูดว่า “ท่านอ๋อง เต๋อเฟยบอกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เลยเจ้าค่ะ”
“ขอท่านอ๋องได้โปรดไปที่นั่นสักครั้งเถิด”
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของโม่เยว่ดูจะร้อนใจมากจริง ๆ นางก็รีบเสริมขึ้นมาอีกประโยคว่า “แต่เต๋อเฟยก็บอกด้วยว่า คงไม่รบกวนเวลาของท่านอ๋องให้ล่าช้าอะไรมากมายเจ้าค่ะ”
โม่เยว่เองก็จนใจ ทำได้แค่ต้องไปที่ตำหนักหย่งโซ่ว
แต่เขาไม่มีทางเดาถูกเด็ดขาด ว่าเต๋อเฟยจะเรียกเขาให้มาหาเพราะหยุนหว่านหนิง
“เยว่เอ๋อร์ ข้าได้ยินมาว่าเมื่อวานนี้หยุนหว่านหนิงพาไอ้หนุ่มหน้าขาวคนหนึ่งกลับมาที่จวนด้วยรึ?”
เต๋อเฟยมีสีหน้าดุร้าย “เจ้าปล่อยให้นางทำตัวเหลวไหลเช่นนี้เชียวหรือ?!”
“ข้ารู้อยู่แล้วเชียว ว่าเหตุผลที่นางหนีออกจากบ้านไปอยู่บ้านตระกูลกู้ ก็เพราะหมายจะชุบเลี้ยงไอ้หนุ่มหน้าขาว! ทุกวันนางออกไปแต่เช้ากว่าจะกลับก็ค่ำมืด ทั้งยังกล้าเถียงข้าคอเป็นเอ็นอีก!”
เต๋อเฟยโกรธมาก ทำท่าจะสั่งให้คนไปลากตัวหยุนหว่านหนิงเข้าวังมา เพื่อสั่งลงโทษโบยตีด้วยไม้กระดาน
ใครจะรู้ กลับถูกโม่เยว่หยุดไว้ทันที
“ท่านแม่ ท่านเข้าใจหนิงเอ๋อร์ผิดแล้ว”
ครั้งนี้ เขาปกป้องหยุนหว่านหนิงอย่างจริงใจไร้ข้อกังขาใด ๆ ทั้งสิ้น
เขาขมวดคิ้ว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงหนักอึ้งว่า “หนิงเอ๋อร์ไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านคิด ตลอดหลายปีมานี้พวกเราต่างเข้าใจนางผิด หวังว่าหลังจากนี้ไป ท่านแม่จะดีกับนางให้มาก”
เต๋อเฟยถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะ
“เจ้าว่าอะไรนะ?”
พวกเขาแต่ละคน ๆ โดนนังผู้หญิงน่าตายนั่นสาดน้ำมันพรายที่ร่ายเสน่ห์ยาแฝดอะไรใส่กันไปหมดแล้ว? !
ฝ่าบาทปกป้องนาง เฟยเฟยก็ปกป้องนาง มาตอนนี้แม้แต่เยว่เอ๋อร์ก็ยังปกป้องนางแบบทุ่มเทจนสุดหัวใจอีก? !
แม้ว่าคำพูดของโม่จงหราน จะทำให้เต๋อเฟยฟังเข้าหัวได้ จนนางเริ่มเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อหยุนหว่านหนิงไปได้บ้างนิดหน่อยแล้ว
แต่ทันทีที่ไปบ้านตระกูลกู้เมื่อวันนั้น นังผู้หญิงน่าตายนั่นก็ทำให้นางโกรธเสียจนปวดหัวขึ้นมาอีก
เมื่อรวมกับครั้งนี้ ที่นางถึงกับพาไอ้หนุ่มหน้าขาวเข้าวังมาด้วยอย่างสง่าผ่าเผย เต๋อเฟยก็เดือดปุดๆ จนบนหัวแทบจะมีควันพวยพุ่งขึ้นมาให้ได้แล้ว!
“จากนี้ไป ขอท่านแม่โปรดดีต่อหนิงเอ๋อร์ให้มาก จะซื่อเสวียซื่อซวงอะไรก็ไม่เกี่ยวกับท่านแม่แล้วทั้งนั้น มีเพียงหนิงเอ๋อร์คนเดียวที่เป็นลูกสะใภ้สายตรงของท่าน”
โม่เยว่เอ่ยออกมาทีละคำอย่างชัดถ้อยชัดคำ สีหน้าจริงจังอย่างยิ่ง
จะซื่อเสวียซื่อซวงอะไร เขาถึงกับเลียนแบบคำพูดแบบพิสดารของหยุนหว่านหนิงมาตรง ๆ
“หา?”
เต๋อเฟยยิ่งประหลาดใจขึ้นกว่าเดิมแล้ว “เยว่เอ๋อร์ เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
“ลูกสบายดี!”
โม่เยว่ยืนขึ้น ไม่อยากพูดอะไรกับนางให้มากไปกว่านี้ “นับจากนี้ไป ลูกไม่อยากได้ยินว่าท่านแม่ทำไม่ดีกับหนิงเอ๋อร์อีก ถ้าไม่อย่างนั้น…. ลูกจะไม่มีวันให้อภัยท่านแม่เด็ดขาด”
เขาไม่ได้โกรธเคือง
ติดที่ว่าในคำพูดที่จงใจเลี่ยงประเด็นสำคัญนี้ มีความหมายแฝงที่เป็นคำเตือนอันหนักหน่วงอยู่ด้วย
มองดูโม่เยว่ที่เดินจากไปจนไกลแล้ว เต๋อเฟยค่อยเริ่มมีสติกลับมารู้สึกตัว “เมื่อครู่นี้เยว่เอ๋อร์เพิ่งจะพูดจาสั่งสอนข้ารึ? ทั้งยังถูกข่มขู่ด้วยอย่างนั้นรึ?”
“เพคะ เต๋อเฟยเหนียงเหนียง”
หลี่หมัวมัวตอบอย่างระมัดระวัง
“ไอ้ลูกทรพีคนนี้นี่!”
เต๋อเฟยโกรธจนแทบจะลมจับให้ได้แล้ว
……………..
จวนอ๋องหยิง
นับตั้งแต่หลิวต้าเหวินถูกส่งเข้าคุกหลวง โม่หุยเฟิงก็ตกตะลึงจนเซ่อไปเลย
เขาเอาแต่หวาดวิตกทั้งวัน กลัวว่าโม่จงหรานจะโกรธคนหนึ่ง แล้วพาลมาระบายเอากับเขา
ยึดตามคำสั่งของฮองเฮาจ้าว เขาก็เริ่มแสร้งทำเป็นป่วย เป็นการแสร้งป่วยให้ดูหนักหนาร้ายแรงมาก ๆ… แต่โม่จงหรานกลับไม่สนใจเลยสักนิด ถึงขั้นที่ว่าไม่แม้แต่จะสั่งให้หมอมารักษาเขาด้วยซ้ำ
กลับกันยังพูดอีกว่า ให้ป่วยหนักจนตายไปเสียได้ก็ยิ่งดี จะได้ลดตัวก่อหายนะลงไปได้หนึ่ง!
เพราะคำพูดประโยคนี้เอง ทำให้โม่หุยเฟิงโกรธจนใจเจ็บไปหมด สุดท้ายก็ล้มป่วยไปจริง ๆ!
โม่จงหรานไม่เพียงไม่เป็นห่วง แต่ยังซ้ำเติมด้วยการหักเงินเดือนของเขาไปจนหมด อาจกล่าวได้ว่าจวนอ๋องหยิงช่วงนี้ ไม่มีรายได้เข้ามาเลยแม้แต่เศษเสี้ยว
ต่อให้มีฮองเฮาจ้าวคอยช่วยเหลือเจือจุนอยู่ แต่เพราะในจวนมีคนอยู่หลายสิบชีวิต จึงไม่ต่างอะไรกับเอาน้ำแก้วเดียว ไปดับไฟที่กำลังโหมไหม้ฟืนในเกวียนคันหนึ่ง
เข้าทำนองที่ว่าหลังคาบ้านรั่วไม่พอ ยังถูกฝนตกกระหน่ำใส่ทั้งคืนอีก (*เป็นสำนวนจีนที่หมายถึงคนที่ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากซ้ำซ้อน เพราะเนื่องจากบ้านหลังคารั่วไม่พอ ฝนยังตกลงมาใส่จนบ้านเปียกมีแต่น้ำขังเจิ่งนองไปหมด)
กิจการของร้านค้าหลายแห่งในจวนอ๋องหยิง ก็ดิ่งลงฮวบ ๆ อย่างน่าใจหายเช่นกัน กระทั่งค่าเช่าก็ยังไม่สามารถจ่ายได้แล้วด้วยซ้ำ
ซึ่งนี่ทำให้จวนอ๋องหยิงที่เดิมทีก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร ยิ่งถูกเคราะห์ซ้ำกรรมซัดจนยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก!
วันนี้ มีสมุนที่ทำงานเป็นเขี้ยวเล็บให้เขาจำนวนหนึ่ง กลับมารายงานข่าวว่าหลิวต้าเหวินถูกสั่งตัดหัวในยามอู่
โม่ฮุ่ยเฟิงถูกทำให้ตกใจมากจนหัวใจเต้นผิดจังหวะ ถึงกับหงายหลังสลบเหมือดไปเลยตรง ๆ
พอตื่นขึ้นมา ก็เห็นฉินซื่อเสวียมาเฝ้าอยู่ข้างเตียง ส่งเสียงร้องไห้เบา ๆ
ในช่วงหลายเดือนมานี้ นางเอาแต่ร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน ร้องแบบน้ำตาไม่เคยหยุดไหลเลยสักวัน เมื่อหลายวันก่อนบังเอิญตรงกับช่วงอยู่เดือนพอดี นางร้องไห้จนดวงตาเริ่มมีปัญหา ตอนนี้ไม่ว่ามองใครก็จะดูพร่ามัวเลือนลางเล็กน้อย
เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ของนาง โม่หุยเฟิงก็รู้สึกเหลืออดขึ้นมาทันที
“ข้ายังไม่ตายนะ! จะร้องไห้ทำไมนักหนา?!”
เขาจ้องมองนางอย่างดุร้าย “นังผู้หญิงโง่เง่าไร้สมอง! ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า ข้ามีหรือจะตกอับลงมาจนถึงขั้นนี้ได้?”
“ข้าเห็นเจ้าแล้วขยะแขยงนัก! ยังไม่รีบไสหัวออกไปอีก?!”
ฉินซื่อเสวียถูกทำให้ตกใจกลัวจนตัวสั่นงันงก รีบลุกขึ้นแล้วเดินออกไปทันที
หลังเดินพ้นออกจากประตูมา นางก็ไปยืนพิงเสาด้วยร่างกายที่ยังสั่นเทาไม่หาย มือที่กำแน่นของนางค่อย ๆ คลายออก กลางฝ่ามือถูกเล็บจิกจนมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด
“พระชายา ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”
จื่อซูเห็นว่าสีหน้าของนางซีดเซียวมาก ก็เข้ามาประคองอย่างเป็นห่วง “นับตั้งแต่อยู่เดือนเป็นต้นมาท่านก็เอาแต่ฝืนร่างกายมาโดยตลอด นี่ท่านต้องฝืนทนต่อไปอีกนานแค่ไหนเจ้าคะ?”
“ท่านแท้งลูกไปอย่างกระทันหัน เดิมทีก็….”
“ชู่!”
ฉินซื่อเสวียยกนิ้วขึ้นมาทำสัญญาณให้เงียบ “อย่าพูดถึงเรื่องนั้นอีกเลยน่า กลับห้องแล้วค่อยพูดกัน”
นางมองอย่างระแวดระวังที่ประตูที่ปิดสนิทอยู่ข้างหลังนาง ก่อนจะรีบเดินลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว
ตอนแรกที่นางลอบขโมยป้ายคำสั่ง เอาชีวิตของเด็กในท้องมาเป็นเดิมพัน แท้จริงแล้วยังมีความลับอื่นที่ซ่อนอยู่อีก……