เมื่อมองดูท่าทางอันแสนจะคล่องแคล่วชำนาญของหรูอวี้ เขาก็รู้ทันทีว่า “การซื้อขาย” ของพวกเขาต้องไม่ใช่ครั้งแรกแน่ ๆ
หรูอวี้ไอ้คนบัดซบ ไอ้ผู้ร้ายสันดานโจร!
“อะไรคือกฎเก่า ราคาเดิม?”
โม่เยว่มองเขาด้วยสายตาเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม
หรูอวี้ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ว่าวันนี้เขาจะถูกท่านนายจับได้แบบคาหนังคาเขา…… เขาหันไปมองหยุนหว่านหนิงด้วยสายตาที่เหมือนร้องขอความช่วยเหลือ “พระชายา ช่วยด้วย….”
“ไม่ว่าง! ช่วยตัวเองไปก่อนไป๊!”
หยุนหว่านหนิงไม่แม้แต่จะยกเปลือกตาขึ้นมองสักแวบ
หรูอวี้ไอ้คนนิสัยหมาคนนี้ ถึงเวลาที่ควรให้ท่านนายสั่งสอนหนัก ๆ สักยกแล้วจริง ๆ
ในวันปกติ เรื่องซุบซิบหนึ่งเรื่อง หรือข้อมูลข่าวสารหนึ่งชิ้น ก็จะวิ่งหน้าตั้งมารีดไถนางข่าวละหนึ่งร้อยตำลึงเงิน
แม้ว่านางจะไม่ขาดแคลนเงิน แต่ก็ไม่ควรเอามาใช้อย่างสิ้นเปลืองขนาดนี้!
นอกจากนี้ เงินส่วนใหญ่ที่นางให้หรูอวี้ไป มันก็จะไปตกอยู่ในกระเป๋าของบรรดาแม่เล้าในหอนางโลมซะหมด….. เงินอันแสนบริสุทธิ์ผุดผ่องของนาง พอเปลี่ยนไปอยู่ในมือของหรูอวี้ ก็ไม่บริสุทธิ์ผุดผ่องซะแล้ว!
“พระชายา ท่านช่างไร้ความเมตตาเหลือเกินแล้ว!”
หรูอวี้มองนางด้วยสายตาขมขื่นหมองเศร้า
“เรื่องที่เจ้าทำให้หยวนเป่าเสียเด็ก ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้าเลยนะ”
หยุนหว่านหนิงแค่นเสียงเย็นชา “วันนี้ไม่ว่าจะเรื่องซุบซิบอะไรของเจ้า ข้าก็ไม่สนใจทั้งนั้นแหล่ะ”
“เจ้าทำให้หยวนเป่าเสียเด็ก?”
เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ โม่เยว่ก็หรี่ตาลงเล็กน้อย แววตาที่มองหรูอวี้แฝงความเย็นชาขึ้นมาหลายส่วน ทั้งเนื้อตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าดูอันตรายสุดขีด “พูดมาตามตรง ว่ามันเกิดอะไรขึ้น?”
เขาอดทนต่อไปไม่ไหว มือเริ่มกำเป็นหมัดแน่นแล้ว
เมื่อได้ยินเสียงนิ้วของโม่เยว่ที่ถูกกำแน่นจนส่งเสียงลั่นดังกร๊อบ ๆ ลอยมา สีหน้าของหรูอวี้ก็เปลี่ยนไปทันที
เขาก้าวถอยหลังไปพลาง ก็ยิ้มเจื่อน ๆ ไปพลาง “ท่านนาย โปรดเบามือด้วยนะขอรับ!”
โม่เยว่พุ่งตัวไปขึ้นข้างหน้า เหวี่ยงกำปั้นต่อยเข้าไปอย่างแรง…… “อ๊าก! ท่านนาย ต่อยคนอย่าต่อยหน้าสิขอรับ!”
หลังจากโดนซ้อมหนัก ๆ เข้าไปยกหนึ่ง หรูอวี้ก็นอนหมอบอยู่กับพื้น ตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “อันที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องซุบซิบอะไรหรอกขอรับ! ก็แค่พระชายาหยิงลงมือกับคุณหนูรองหยุนแล้ว!”
ข่าวนี้ ทำให้หยุนหว่านหนิงรู้สึกสงสัยขึ้นมาบ้างแล้ว
นางเหลือบตามองโม่เยว่แวบหนึ่ง
เมื่อเห็นว่าใบหน้าของเขาไม่แสดงอารมณ์อะไรเลย นางก็แค่นเสียงในลำคอเงียบ ๆ “มันเกิดอะไรขึ้น ? ลุกขึ้นมาพูดให้มันดี ๆ ซิ?”
นางสั่งให้หรูเยียนไปต้มไข่มาสองฟอง เอามาประคบใบหน้าของหรูอวี้
อันที่จริงนางสามารถนำถุงน้ำแข็งออกมาจากช่องว่างเอนกประสงค์ได้ แต่เพราะวันนี้ไอ้คนนิสัยหมานี่ดันรนหาเรื่องให้ตัวเองโดนซ้อมเอง นางเลยจะปล่อยให้เขาเจ็บตัวต่อไปอีกสักพักแล้วกัน!
หรูอวี้ยืนขึ้นด้วยท่าทางน้อยเนื้อต่ำใจ แล้วไปนั่งลงบนขั้นบันไดหิน
“อันที่จริงมันไม่ใช่วิธีที่ร้ายกาจมหัศจรรย์อะไรหรอก! ก็แค่ใส่ยาลงในอาหารของคุณหนูรองหยุน! ได้ยินมาว่ายานั้น เป็นยาที่จะทำให้คุณหนูรองหยุนไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีกต่อไป”
เมื่อได้ยินดังนั้น หยุนหว่านหนิงก็หัวเราะขึ้นมาทันที
นางหันไปมองโม่เยว่ด้วยสายตาที่มีความหมายแอบแฝง “รักแรกของเจ้าคนนี้ช่างโหดเหี้ยมจริง ๆ เลยนะเนี่ย”
โม่เยว่: “…..”
ทำไมเรื่องร้าย ๆ ทุกเรื่องถึงได้เอามาสุมไว้บนหัวของเขาหมดเลยล่ะ?
“หนิงเอ๋อร์ ข้ากับฉินซื่อเสวียไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกันเลยนะ!”
เขาพูดย้ำอีกครั้ง
“ข้าบอกว่ามีก็คือมี”
ความหึงหวงในใจของหยุนหว่านหนิงเริ่มฟุ้งกระจาย จะกดจะทับยังไงก็ไม่ยอมหายไปซักที นางแค่นเสียงเย็นชาขึ้นมาเสียงหนึ่ง “คำอธิบายคือการปิดบัง และการปิดบังคือจุดเริ่มต้นของการหลอกลวง!”
โม่เยว่: “…..”
ได้ เขาหุบปากก็ได้
“หรูอวี้ เจ้าพูดต่อซิ”
หยุนหว่านหนิงนั่งลง ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบอึกหนึ่ง
เมื่อเห็นว่าท่านนายของตัวเองเวลาอยู่ต่อหน้าพระชายา ทำตัวว่าง่ายเชื่อฟังราวกับลูกแกะน้อยแรกเกิดก็ไม่ปาน ไม่มีท่าทางขี้หงุดหงิดใจร้อนเหมือนเวลาปกติ ….ในใจของหรูอวี้ก็ลอบยินดี เขารีบอธิบายถึงความตื้นลึกหนาบางของเรื่องนี้ทันที
“ช่วงนี้คุณหนูรองหยุนทุ่มแบบหมดหน้าตัก พยายามอย่างเต็มที่ที่จะเอาตัวเองแทรกเข้าไปในจวนอ๋องหยิงให้ได้!”
“นี่ก็ไม่ใช่ข่าวใหม่อะไรนี่ เรื่องซุบซิบนี้ของเจ้าไม่คุ้มค่ากับเงินร้อยตำลึง!”
หยุนหว่านหนิงสีหน้าเบื่อหน่ายเต็มแก่
นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ล้วงเงินสิบตำลึงออกมาโยนให้เขา “ท่านนายของเจ้าซ้อมเจ้าจนมีสภาพเป็นแบบนี้ เงินสิบตำลึงนี้ ก็ถือเสียว่าเป็นค่าหมอค่ายาไปแล้วกัน!”
“ไปใส่หยูกยาซะ”
“ขอรับ พระชายา!”
หลังจากโดนซ้อมไปหนึ่งยก ได้รับเงินมาสิบตำลึง หรูอวี้ก็ยังเดินออกไปด้วยท่าทางที่ดูมีความสุขมากอยู่ดี
หันหลังเดินออกพ้นประตูไป ก็หอบเงินตรงดิ่งไปที่หอชุ่ยเซียนไปหาเสี่ยวชุ่ย เพื่อฟังเพลงทันที
ในบ่ายวันนั้น เมื่อโม่เยว่สั่งให้หรูโม่ไปตามตัวหรูอวี้กลับมา ก็เห็นว่าใบหน้าของเขายังคงเต็มไปด้วยรอยแผล…… จึงรู้ทันทีว่าเงินสิบตำลึงนั้น เขาไม่ได้เอาไปใช้ซื้อยาหรือจ่ายค่าหมออะไรเลย
ในวันปกติ เขาออกคำสั่งว่าไม่ให้เขาไปเที่ยวพวกย่านเริงรมย์ กับบรรดาสถานที่อโคจรเหล่านั้น
แต่เจ้าตัวบัดซบนี่ ก็เอาแต่ไม่เชื่อฟัง!
ชั่วขณะนั้น โม่เยว่ก็บันดาลโทสะขึ้นมาอีก จึงซ้อมเขาหนัก ๆไปอีกยก
หรูอวี้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจยิ่งนัก: “….”
ในช่วงพลบค่ำ ซ่งจื่ออวี๋ก็กลับมาที่จวนอ๋องหมิง
ร่างเขาเย็นเฉียบไปทั้งร่าง ไม่รู้เหมือนกันว่ากลับมาจากที่ไหน
ตอนนี้ในเมืองหลวงเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว ตามธรรมดาแล้วย่อมไม่มีสถานที่ที่หนาวเย็นเปียกชื้นแบบนี้ ซ่งจื่ออวี๋ไม่ได้อธิบายอะไร โม่เยว่ก็ไม่ได้ถามให้มากความ หลังจากหารือกับหยุนหว่านหนิงแล้ว เขาก็พาซ่งจื่ออวี๋เข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้
โม่จงหรานเพิ่งออกจากตำหนักหย่งโซ่ว
ก็ได้รู้ว่าโม่เยว่ได้พา “อัจฉริยะ” มารอเขาอยู่ที่ห้องทรงพระอักษร
“อัจฉริยะ?”
โม่จงหรานรู้สึกแปลกใจไม่น้อย “ถ้าจะพูดถึงอัจฉริยะ ในโลกนี้ข้ายอมรับคนเพียงคนเดียวเท่านั้น!”
ซูปิ่งซ่านต่อบทสนทนาอย่างรู้จักดูบรรยากาศ “ผู้ที่ฝ่าบาทตรัสถึงคือ?”
“หยุนหว่านหนิง!”
เมื่อพูดถึงหยุนหว่านหนิง ใบหน้าของเขาก็เจือไปด้วยรอยยิ้ม “ผู้หญิงคนนี้ ไม่เพียงเก่งกาจด้านการแพทย์เท่านั้น แต่ยังรู้ทั้งเรื่องดาราศาสตร์และภูมิศาสตร์ ทั้งยังมีความเข้าใจในเรื่องการเมืองภายในราชสำนักที่ล้ำหน้าไม่เหมือนใคร พูดจามีหลักการและมีเหตุผลตรงประเด็น”
“ในราชสำนักนี้ ข้ามองดูแล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีสักกี่คนที่เก่งกาจไปมากกว่านาง!”
“แต่น่าเสียดาย ที่เกิดมาเป็นผู้หญิง”
ซูปิ่งซ่านพูดพลางหัวเราะดังเหอ ๆ “ฝ่าบาท นี่ไม่ใช่ว่าพอดีเลยหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ? พระชายาหมิงลั่นวาจาไว้กับท่านอ๋องหมิง ว่านางคือภรรยาที่คอยช่วยเหลือและสนับสนุนสามี! พระองค์ไม่ใช่ว่าทรงอยากทอดพระเนตรเห็นภาพฉากเช่นนี้หรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ? ”
โม่จงหรานก็หัวเราะตาม พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
หลังจากเข้าไปในห้องทรงพระอักษร กลับไม่เห็นโม่เยว่ เห็นแค่ซ่งจื่ออวี๋ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยสีหน้าสงบนิ่งเพียงลำพัง
โม่จงหรานมองสำรวจเขาขึ้น ๆ ลง ๆ สองสามรอบ ก่อนจะถามขึ้นว่า “เจ้าคือ?”
“ซ่งจื่ออวี๋ถวายบังคมฝ่าบาท”
เขาไม่ได้คุกเข่าถวายบังคม แค่ประสานมือตามพิธีการ
ดูไม่ต้อยต่ำแต่ก็ไม่สูงส่ง มีบรรยากาศทรงภูมิน่าเกรงขาม
โม่จงหรานปรายตามองเขาเพียงแวบเดียว…..เขาเคยเห็นผู้คนมามากมายจนนับไม่ถ้วน มองปราดเดียวเขาก็สามารถบอกได้ทันทีว่าซ่งจื่ออวี๋คนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา รู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าเขามีรังสีที่พิเศษเหนือปถุชนคนทั่วไป ไร้แล้วซึ่งกิเลสตัณหา ราวกับว่าเขามีปราณเซียนห่อหุ้มกายอยู่
“ซ่งจื่ออวี๋?”
โม่จงหรานนั่งลง พินิจชื่อนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน “เป็นชื่อที่ดี!”
“อ๋องหมิงล่ะ?”
“อ๋องหมิงมีธุระ จะกลับมาในไม่ช้า”
เพิ่งจะสิ้นเสียงของซ่งจื่ออวี๋ โม่เยว่ก็เดินเข้ามาพอดี
โม่จงหรานขมวดคิ้วมุ่น ถามขึ้นว่า “เจ้าไม่ได้บอกว่ามีเรื่องด่วนอยากขอพบข้าหรอกรึ ? เป็นเรื่องด่วนอะไร? แล้วเมื่อครู่นี้เจ้าไปไหนมา? ถึงกับให้ข้าต้องเป็นฝ่ายรอเจ้าแบบนี้?”
โม่เยว่ก้มหน้าลงเล็กน้อย “เสด็จพ่อ คนเรามีธุระสำคัญสามประการพ่ะย่ะค่ะ” (*ส่วนใหญ่ใช้เพื่ออ้างถึงปัญหาต่าง ๆ ที่คนเราไม่ทำไม่ได้ พูดแบบง่าย ๆ ก็คือการกิน การนอน การขับถ่ายนั่นเอง)
โม่จงหราน: “…..”
“พูดมาเถอะ มาหาข้าด้วยเรื่องอะไร?”
“เสด็จพ่อ หลิวต้าเหวินแอบอ้างสวมรอยแสร้งทำเป็นลูกศิษย์ของเสวียนซันเซียนเซิง แม้ว่าเขาจะถูกตัดหัวไปแล้ว แต่ตำแหน่งโหรประจำชินเทียนเจี้ยนก็ยังว่างอยู่ จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีใครเข้ามารับช่วงต่อได้”
คำพูดของโม่เยว่เพิ่งจะหลุดออกจากปาก โม่จงหรานก็เดาความต้องการของเขาออกหมดแล้ว
“ดังนั้น เจ้าก็เลยจะพาโหรประจำชินเทียนเจี้ยนคนใหม่มาให้ข้า?”
ไม่ต้องพูดถึงอะไรอื่น เพียงแค่มองดูปราณเซียนที่พวยพุ่งออกมาจากร่างของซ่งจื่ออวี๋ก็…..
อย่างไรก็น่าเชื่อถือกว่าไอ้ของกำมะลออย่างหลิวต้าเหวินนั่นจริง ๆ แค่เห็นก็ทำให้คนยอมเชื่อแล้ว!
“เสด็จพ่อยังทรงจำได้หรือไม่ ว่าลูกพูดว่าเคยได้พบลูกศิษย์ที่แท้จริงของท่านเสวียนชานมาก่อน?”
โม่เยว่เงยหน้าขึ้นมองเขา
เวลานี้เอง สีหน้าของโม่จงหรานถึงเริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาหันไปมองซ่งจื่ออวี๋ด้วยแววตาตื่นเต้นประหลาดใจ “เจ้าจะบอกข้าว่า ท่านผู้นี้คือลูกศิษย์ที่แท้จริงของเสวียนซันเซียนเซิงอย่างนั้นรึ?!”
“ถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
โม่เยว่พยักหน้า “จริงๆ ของแท้คุณภาพดีคุ้มราคา”
เพราะมีเรื่องของหลิวต้าเหวินเป็นบทเรียนสอนใจมาก่อนทำให้ไม่ว่าจะเป็นคำพูดของโม่เยว่ หรือตัวตนที่แท้จริงของซ่งจื่ออวี๋ ก็ล้วนก่อให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยในใจเป็นธรรมดา
โม่จงหรานขมวดคิ้วมุ่น จ้องมองซ่งจื่ออวี๋อย่างลึกซึ้ง “ซ่งจื่ออวี๋ เจ้าจะพิสูจน์ตัวเองอย่างไร ว่าเจ้าเป็นลูกศิษย์ของเสวียนซันเซียนเซิง?”