อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ – บทที่ 165 พระชายา ช่วยด้วย

อนงค์ใจพระชายาราชสีห์

เมื่อมองดูท่าทางอันแสนจะคล่องแคล่วชำนาญของหรูอวี้ เขาก็รู้ทันทีว่า “การซื้อขาย” ของพวกเขาต้องไม่ใช่ครั้งแรกแน่ ๆ

หรูอวี้ไอ้คนบัดซบ ไอ้ผู้ร้ายสันดานโจร!

“อะไรคือกฎเก่า ราคาเดิม?”

โม่เยว่มองเขาด้วยสายตาเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม

หรูอวี้ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ว่าวันนี้เขาจะถูกท่านนายจับได้แบบคาหนังคาเขา…… เขาหันไปมองหยุนหว่านหนิงด้วยสายตาที่เหมือนร้องขอความช่วยเหลือ “พระชายา ช่วยด้วย….”

“ไม่ว่าง! ช่วยตัวเองไปก่อนไป๊!”

หยุนหว่านหนิงไม่แม้แต่จะยกเปลือกตาขึ้นมองสักแวบ

หรูอวี้ไอ้คนนิสัยหมาคนนี้ ถึงเวลาที่ควรให้ท่านนายสั่งสอนหนัก ๆ สักยกแล้วจริง ๆ

ในวันปกติ เรื่องซุบซิบหนึ่งเรื่อง หรือข้อมูลข่าวสารหนึ่งชิ้น ก็จะวิ่งหน้าตั้งมารีดไถนางข่าวละหนึ่งร้อยตำลึงเงิน

แม้ว่านางจะไม่ขาดแคลนเงิน แต่ก็ไม่ควรเอามาใช้อย่างสิ้นเปลืองขนาดนี้!

นอกจากนี้ เงินส่วนใหญ่ที่นางให้หรูอวี้ไป มันก็จะไปตกอยู่ในกระเป๋าของบรรดาแม่เล้าในหอนางโลมซะหมด….. เงินอันแสนบริสุทธิ์ผุดผ่องของนาง พอเปลี่ยนไปอยู่ในมือของหรูอวี้ ก็ไม่บริสุทธิ์ผุดผ่องซะแล้ว!

“พระชายา ท่านช่างไร้ความเมตตาเหลือเกินแล้ว!”

หรูอวี้มองนางด้วยสายตาขมขื่นหมองเศร้า

“เรื่องที่เจ้าทำให้หยวนเป่าเสียเด็ก ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้าเลยนะ”

หยุนหว่านหนิงแค่นเสียงเย็นชา “วันนี้ไม่ว่าจะเรื่องซุบซิบอะไรของเจ้า ข้าก็ไม่สนใจทั้งนั้นแหล่ะ”

“เจ้าทำให้หยวนเป่าเสียเด็ก?”

เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ โม่เยว่ก็หรี่ตาลงเล็กน้อย แววตาที่มองหรูอวี้แฝงความเย็นชาขึ้นมาหลายส่วน ทั้งเนื้อตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าดูอันตรายสุดขีด “พูดมาตามตรง ว่ามันเกิดอะไรขึ้น?”

เขาอดทนต่อไปไม่ไหว มือเริ่มกำเป็นหมัดแน่นแล้ว

เมื่อได้ยินเสียงนิ้วของโม่เยว่ที่ถูกกำแน่นจนส่งเสียงลั่นดังกร๊อบ ๆ ลอยมา สีหน้าของหรูอวี้ก็เปลี่ยนไปทันที

เขาก้าวถอยหลังไปพลาง ก็ยิ้มเจื่อน ๆ ไปพลาง “ท่านนาย โปรดเบามือด้วยนะขอรับ!”

โม่เยว่พุ่งตัวไปขึ้นข้างหน้า เหวี่ยงกำปั้นต่อยเข้าไปอย่างแรง…… “อ๊าก! ท่านนาย ต่อยคนอย่าต่อยหน้าสิขอรับ!”

หลังจากโดนซ้อมหนัก ๆ เข้าไปยกหนึ่ง หรูอวี้ก็นอนหมอบอยู่กับพื้น ตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “อันที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องซุบซิบอะไรหรอกขอรับ! ก็แค่พระชายาหยิงลงมือกับคุณหนูรองหยุนแล้ว!”

ข่าวนี้ ทำให้หยุนหว่านหนิงรู้สึกสงสัยขึ้นมาบ้างแล้ว

นางเหลือบตามองโม่เยว่แวบหนึ่ง

เมื่อเห็นว่าใบหน้าของเขาไม่แสดงอารมณ์อะไรเลย นางก็แค่นเสียงในลำคอเงียบ ๆ “มันเกิดอะไรขึ้น ? ลุกขึ้นมาพูดให้มันดี ๆ ซิ?”

นางสั่งให้หรูเยียนไปต้มไข่มาสองฟอง เอามาประคบใบหน้าของหรูอวี้

อันที่จริงนางสามารถนำถุงน้ำแข็งออกมาจากช่องว่างเอนกประสงค์ได้ แต่เพราะวันนี้ไอ้คนนิสัยหมานี่ดันรนหาเรื่องให้ตัวเองโดนซ้อมเอง นางเลยจะปล่อยให้เขาเจ็บตัวต่อไปอีกสักพักแล้วกัน!

หรูอวี้ยืนขึ้นด้วยท่าทางน้อยเนื้อต่ำใจ แล้วไปนั่งลงบนขั้นบันไดหิน

“อันที่จริงมันไม่ใช่วิธีที่ร้ายกาจมหัศจรรย์อะไรหรอก! ก็แค่ใส่ยาลงในอาหารของคุณหนูรองหยุน! ได้ยินมาว่ายานั้น เป็นยาที่จะทำให้คุณหนูรองหยุนไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีกต่อไป”

เมื่อได้ยินดังนั้น หยุนหว่านหนิงก็หัวเราะขึ้นมาทันที

นางหันไปมองโม่เยว่ด้วยสายตาที่มีความหมายแอบแฝง “รักแรกของเจ้าคนนี้ช่างโหดเหี้ยมจริง ๆ เลยนะเนี่ย”

โม่เยว่: “…..”

ทำไมเรื่องร้าย ๆ ทุกเรื่องถึงได้เอามาสุมไว้บนหัวของเขาหมดเลยล่ะ?

“หนิงเอ๋อร์ ข้ากับฉินซื่อเสวียไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกันเลยนะ!”

เขาพูดย้ำอีกครั้ง

“ข้าบอกว่ามีก็คือมี”

ความหึงหวงในใจของหยุนหว่านหนิงเริ่มฟุ้งกระจาย จะกดจะทับยังไงก็ไม่ยอมหายไปซักที นางแค่นเสียงเย็นชาขึ้นมาเสียงหนึ่ง “คำอธิบายคือการปิดบัง และการปิดบังคือจุดเริ่มต้นของการหลอกลวง!”

โม่เยว่: “…..”

ได้ เขาหุบปากก็ได้

“หรูอวี้ เจ้าพูดต่อซิ”

หยุนหว่านหนิงนั่งลง ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบอึกหนึ่ง

เมื่อเห็นว่าท่านนายของตัวเองเวลาอยู่ต่อหน้าพระชายา ทำตัวว่าง่ายเชื่อฟังราวกับลูกแกะน้อยแรกเกิดก็ไม่ปาน ไม่มีท่าทางขี้หงุดหงิดใจร้อนเหมือนเวลาปกติ ….ในใจของหรูอวี้ก็ลอบยินดี เขารีบอธิบายถึงความตื้นลึกหนาบางของเรื่องนี้ทันที

“ช่วงนี้คุณหนูรองหยุนทุ่มแบบหมดหน้าตัก พยายามอย่างเต็มที่ที่จะเอาตัวเองแทรกเข้าไปในจวนอ๋องหยิงให้ได้!”

“นี่ก็ไม่ใช่ข่าวใหม่อะไรนี่ เรื่องซุบซิบนี้ของเจ้าไม่คุ้มค่ากับเงินร้อยตำลึง!”

หยุนหว่านหนิงสีหน้าเบื่อหน่ายเต็มแก่

นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ล้วงเงินสิบตำลึงออกมาโยนให้เขา “ท่านนายของเจ้าซ้อมเจ้าจนมีสภาพเป็นแบบนี้ เงินสิบตำลึงนี้ ก็ถือเสียว่าเป็นค่าหมอค่ายาไปแล้วกัน!”

“ไปใส่หยูกยาซะ”

“ขอรับ พระชายา!”

หลังจากโดนซ้อมไปหนึ่งยก ได้รับเงินมาสิบตำลึง หรูอวี้ก็ยังเดินออกไปด้วยท่าทางที่ดูมีความสุขมากอยู่ดี

หันหลังเดินออกพ้นประตูไป ก็หอบเงินตรงดิ่งไปที่หอชุ่ยเซียนไปหาเสี่ยวชุ่ย เพื่อฟังเพลงทันที

ในบ่ายวันนั้น เมื่อโม่เยว่สั่งให้หรูโม่ไปตามตัวหรูอวี้กลับมา ก็เห็นว่าใบหน้าของเขายังคงเต็มไปด้วยรอยแผล…… จึงรู้ทันทีว่าเงินสิบตำลึงนั้น เขาไม่ได้เอาไปใช้ซื้อยาหรือจ่ายค่าหมออะไรเลย

ในวันปกติ เขาออกคำสั่งว่าไม่ให้เขาไปเที่ยวพวกย่านเริงรมย์ กับบรรดาสถานที่อโคจรเหล่านั้น

แต่เจ้าตัวบัดซบนี่ ก็เอาแต่ไม่เชื่อฟัง!

ชั่วขณะนั้น โม่เยว่ก็บันดาลโทสะขึ้นมาอีก จึงซ้อมเขาหนัก ๆไปอีกยก

หรูอวี้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจยิ่งนัก: “….”

ในช่วงพลบค่ำ ซ่งจื่ออวี๋ก็กลับมาที่จวนอ๋องหมิง

ร่างเขาเย็นเฉียบไปทั้งร่าง ไม่รู้เหมือนกันว่ากลับมาจากที่ไหน

ตอนนี้ในเมืองหลวงเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว ตามธรรมดาแล้วย่อมไม่มีสถานที่ที่หนาวเย็นเปียกชื้นแบบนี้ ซ่งจื่ออวี๋ไม่ได้อธิบายอะไร โม่เยว่ก็ไม่ได้ถามให้มากความ หลังจากหารือกับหยุนหว่านหนิงแล้ว เขาก็พาซ่งจื่ออวี๋เข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้

โม่จงหรานเพิ่งออกจากตำหนักหย่งโซ่ว

ก็ได้รู้ว่าโม่เยว่ได้พา “อัจฉริยะ” มารอเขาอยู่ที่ห้องทรงพระอักษร

“อัจฉริยะ?”

โม่จงหรานรู้สึกแปลกใจไม่น้อย “ถ้าจะพูดถึงอัจฉริยะ ในโลกนี้ข้ายอมรับคนเพียงคนเดียวเท่านั้น!”

ซูปิ่งซ่านต่อบทสนทนาอย่างรู้จักดูบรรยากาศ “ผู้ที่ฝ่าบาทตรัสถึงคือ?”

“หยุนหว่านหนิง!”

เมื่อพูดถึงหยุนหว่านหนิง ใบหน้าของเขาก็เจือไปด้วยรอยยิ้ม “ผู้หญิงคนนี้ ไม่เพียงเก่งกาจด้านการแพทย์เท่านั้น แต่ยังรู้ทั้งเรื่องดาราศาสตร์และภูมิศาสตร์ ทั้งยังมีความเข้าใจในเรื่องการเมืองภายในราชสำนักที่ล้ำหน้าไม่เหมือนใคร พูดจามีหลักการและมีเหตุผลตรงประเด็น”

“ในราชสำนักนี้ ข้ามองดูแล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีสักกี่คนที่เก่งกาจไปมากกว่านาง!”

“แต่น่าเสียดาย ที่เกิดมาเป็นผู้หญิง”

ซูปิ่งซ่านพูดพลางหัวเราะดังเหอ ๆ “ฝ่าบาท นี่ไม่ใช่ว่าพอดีเลยหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ? พระชายาหมิงลั่นวาจาไว้กับท่านอ๋องหมิง ว่านางคือภรรยาที่คอยช่วยเหลือและสนับสนุนสามี! พระองค์ไม่ใช่ว่าทรงอยากทอดพระเนตรเห็นภาพฉากเช่นนี้หรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ? ”

โม่จงหรานก็หัวเราะตาม พยักหน้าอย่างเห็นด้วย

หลังจากเข้าไปในห้องทรงพระอักษร กลับไม่เห็นโม่เยว่ เห็นแค่ซ่งจื่ออวี๋ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยสีหน้าสงบนิ่งเพียงลำพัง

โม่จงหรานมองสำรวจเขาขึ้น ๆ ลง ๆ สองสามรอบ ก่อนจะถามขึ้นว่า “เจ้าคือ?”

“ซ่งจื่ออวี๋ถวายบังคมฝ่าบาท”

เขาไม่ได้คุกเข่าถวายบังคม แค่ประสานมือตามพิธีการ

ดูไม่ต้อยต่ำแต่ก็ไม่สูงส่ง มีบรรยากาศทรงภูมิน่าเกรงขาม

โม่จงหรานปรายตามองเขาเพียงแวบเดียว…..เขาเคยเห็นผู้คนมามากมายจนนับไม่ถ้วน มองปราดเดียวเขาก็สามารถบอกได้ทันทีว่าซ่งจื่ออวี๋คนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา รู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าเขามีรังสีที่พิเศษเหนือปถุชนคนทั่วไป ไร้แล้วซึ่งกิเลสตัณหา ราวกับว่าเขามีปราณเซียนห่อหุ้มกายอยู่

“ซ่งจื่ออวี๋?”

โม่จงหรานนั่งลง พินิจชื่อนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน “เป็นชื่อที่ดี!”

“อ๋องหมิงล่ะ?”

“อ๋องหมิงมีธุระ จะกลับมาในไม่ช้า”

เพิ่งจะสิ้นเสียงของซ่งจื่ออวี๋ โม่เยว่ก็เดินเข้ามาพอดี

โม่จงหรานขมวดคิ้วมุ่น ถามขึ้นว่า “เจ้าไม่ได้บอกว่ามีเรื่องด่วนอยากขอพบข้าหรอกรึ ? เป็นเรื่องด่วนอะไร? แล้วเมื่อครู่นี้เจ้าไปไหนมา? ถึงกับให้ข้าต้องเป็นฝ่ายรอเจ้าแบบนี้?”

โม่เยว่ก้มหน้าลงเล็กน้อย “เสด็จพ่อ คนเรามีธุระสำคัญสามประการพ่ะย่ะค่ะ” (*ส่วนใหญ่ใช้เพื่ออ้างถึงปัญหาต่าง ๆ ที่คนเราไม่ทำไม่ได้ พูดแบบง่าย ๆ ก็คือการกิน การนอน การขับถ่ายนั่นเอง)

โม่จงหราน: “…..”

“พูดมาเถอะ มาหาข้าด้วยเรื่องอะไร?”

“เสด็จพ่อ หลิวต้าเหวินแอบอ้างสวมรอยแสร้งทำเป็นลูกศิษย์ของเสวียนซันเซียนเซิง แม้ว่าเขาจะถูกตัดหัวไปแล้ว แต่ตำแหน่งโหรประจำชินเทียนเจี้ยนก็ยังว่างอยู่ จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีใครเข้ามารับช่วงต่อได้”

คำพูดของโม่เยว่เพิ่งจะหลุดออกจากปาก โม่จงหรานก็เดาความต้องการของเขาออกหมดแล้ว

“ดังนั้น เจ้าก็เลยจะพาโหรประจำชินเทียนเจี้ยนคนใหม่มาให้ข้า?”

ไม่ต้องพูดถึงอะไรอื่น เพียงแค่มองดูปราณเซียนที่พวยพุ่งออกมาจากร่างของซ่งจื่ออวี๋ก็…..

อย่างไรก็น่าเชื่อถือกว่าไอ้ของกำมะลออย่างหลิวต้าเหวินนั่นจริง ๆ แค่เห็นก็ทำให้คนยอมเชื่อแล้ว!

“เสด็จพ่อยังทรงจำได้หรือไม่ ว่าลูกพูดว่าเคยได้พบลูกศิษย์ที่แท้จริงของท่านเสวียนชานมาก่อน?”

โม่เยว่เงยหน้าขึ้นมองเขา

เวลานี้เอง สีหน้าของโม่จงหรานถึงเริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาหันไปมองซ่งจื่ออวี๋ด้วยแววตาตื่นเต้นประหลาดใจ “เจ้าจะบอกข้าว่า ท่านผู้นี้คือลูกศิษย์ที่แท้จริงของเสวียนซันเซียนเซิงอย่างนั้นรึ?!”

“ถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

โม่เยว่พยักหน้า “จริงๆ ของแท้คุณภาพดีคุ้มราคา”

เพราะมีเรื่องของหลิวต้าเหวินเป็นบทเรียนสอนใจมาก่อนทำให้ไม่ว่าจะเป็นคำพูดของโม่เยว่ หรือตัวตนที่แท้จริงของซ่งจื่ออวี๋ ก็ล้วนก่อให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยในใจเป็นธรรมดา

โม่จงหรานขมวดคิ้วมุ่น จ้องมองซ่งจื่ออวี๋อย่างลึกซึ้ง “ซ่งจื่ออวี๋ เจ้าจะพิสูจน์ตัวเองอย่างไร ว่าเจ้าเป็นลูกศิษย์ของเสวียนซันเซียนเซิง?”

อนงค์ใจพระชายาราชสีห์

อนงค์ใจพระชายาราชสีห์

Status: Ongoing
อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ เป็นเรื่องราวความรักเกี่ยวกับการเดินทางที่ยากลำบากของตัวเอกชายและหญิง รู้จักกัน ตกหลุมรัก ผ่านเหตุการณ์และความยากลำบากมากมาย แต่สุดท้ายก็กลับมารวมกัน?คืนวันข้ามภพ ณห้องหอ หยุนหว่านหนิงถูกชายชั่วโม่เยว่เนรเทศออกมาจากวังหลัง ถูกจองจำสี่ปีเต็มๆ! เดิมคิดว่า สี่ปีมานี้นางอยู่อย่างยากลำบาก ต้องกลายเป็นยายแก่ขี้เหร่เป็นแน่! แต่หุ่นเธอช่างอรชรอ้อนแอ้นเต่งตึงเสน่ห์บาดใจ ผิวขาวราวกับหิมะ ใช้เงินมือเติบ ข้างกายยังมีเจ้าก้อนแป้งที่หน้าเหมือนเขาอย่างกับแกะ…… โม่เยว่นัยน์ตาร้อนเผ่า “เจ้าเอาเงินมาจากที่ใด!แล้วลูกมาจากไหน?!” เจ้าก้อนแป้งถลึงตามองเขา:“ไปให้ไกลจากท่านแม่ข้า!” หลังจากสืบรู้เรื่องเมื่อปีนั้นแล้ว โม่เยว่สีหน้าจริงใจ:“เมียจ๋า ข้าผิดไปแล้ว!ลูกชาย พ่อผิดไปแล้ว!”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท