อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 250 ปกปิดฮ่องเต้ไม่ได้
ไทเฮากู้รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
คำถามของนางทำให้หยุนหว่านหนิงกับโม่เยว่ลังเล
“เสด็จย่า”
แล้วก็เป็นโม่เยว่ที่เอ่ยขึ้นมาก่อน “พระองค์ประทับอยู่ที่พระราชวังอันห่างไกล จึงไม่รู้สถานการณ์ในเมืองหลวงตอนนี้ ถ้าหากเสด็จพ่อรู้ถึงการมีอยู่ของหยวนเป่า แทนที่จะดี เขาจะตกอยู่ในอันตรายแทน”
“ดังนั้นพวกเจ้าจึงตั้งใจปกปิดฮ่องเต้มาโดยตลอด?!”
หลังจากตะลึงไปนิดหนึ่ง ไทเฮากู้รีบถามไปว่า “จะทำเช่นนี้ได้อย่างไร! หยวนเป่าเป็นพระนัดดาองค์ โตนะ!”
หยุนหว่านหนิงเงียบ
โม่เยว่ขมวดคิ้วมุ่น “เพราะสถานะที่พิเศษของหยวนเป่า เราจึงไม่กล้าทูลให้เสด็จพ่อทราบ”
“พวกเจ้า…”
เนิ่นนานหลังจากนั้น ไทเฮากู้ก็ถอนหายใจยาวๆ ออกมา “ช่างเถิด! ข้าแก่แล้ว! ทั้งยังอยู่ไกลถึงพระราชวังนอกเมือง คงจะหนุนหลังตัดสินใจแทนพวกเจ้าไม่ได้”
“แต่การมีอยู่ของพระนัดดาองค์ โตก็ไม่ใช่สิ่งที่จะปกปิดฮ่องเต้ได้!”
“เรื่องนี้จะซ่อนก็ซ่อนได้แค่ชั่วคราว ให้ซ่อนไปตลอดชีวิตได้หรืออย่างไร!”
นางเอ่ยด้วยเสียงนุ่มลึกว่า “พวกเจ้าเป็นสามีภรรยากัน เรื่องนี้พวกเจ้าต้องตัดสินใจกันเอง”
“แต่อย่างที่ข้าพูดไว้ก่อนหน้านี้ ว่าเรื่องแบบนี้พวกเจ้าไม่ควรปกปิดฮ่องเต้!”
“เสด็จย่าสั่งสอนถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
โม่เยว่พยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง
ไทเฮากู้ “เย่วเอ๋อร์ เจ้าคงไม่ได้คิดจะเล่นตุกติกกับข้าอีกหรอกนะ ข้าหวังดีกับพวกเจ้าจริงๆ นะ!”
ในบรรดาพระนัดดาหลายคนของนาง นอกจากโม่ฮั่นอี่ว์ที่กะล่อน…
ก็มีโม่เยว่นี่แหละที่ดื้อรั้นที่สุด ชอบต่อต้านนางตั้งแต่ยังเด็ก
ทั้งนี้ก็ไม่ใช่เพื่อสิ่งอื่นใด
แต่เป็นเพราะนางไม่ค่อยชอบเต๋อเฟยมากนัก บุตรชายของเต๋อเฟยจึงไม่ชอบเสด็จย่าอย่างนาง
เรื่องที่หยุนหว่านหนิงแต่งงานเข้าไปอยู่ที่จวนอ๋องหมิงกลายเป็นชนวนของสองย่าหลาน ทำให้ทั้งคู่โกรธกัน
ดังนั้นในช่วงหลายปีมานี้ไทเฮากู้จึงมาพักฟื้นที่พระราชวังนอกเมืองด้วยความหดหู่ใจ
เมื่อเห็นว่าตอนนี้โม่เยว่เชื่อฟังอย่างว่าง่าย นางจึงอดเดาไม่ได้ว่าเขากำลังจะต่อต้านนางอีกครั้ง
“เสด็จย่าเข้าใจผิดกับข้าแล้ว”
โม่เยว่กระแอมหนึ่งที “ก่อนหน้านี้หลานยังเด็ก ทำอะไรไม่เป็นโล้เป็นพาย ดังนั้นจึงมักจะยั่วให้เสด็จย่าโกรธ เสด็จย่าโปรดอภัยให้หลานด้วย”
ไทเฮากู้เลิกคิ้วเล็กน้อย “เจ้ารู้ตัวแล้วจริงๆ หรือว่าตัวเองผิด”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หางตาของโม่เยว่เหลือบมองไปทางหยุนหว่านหนิง “หลานรู้ เสด็จย่าทำทั้งหมดก็เพื่อหลานกับหนิงเอ๋อร์”
นั่นเองไทเฮากู้จึงเข้าใจ
เหตุผลที่เขายอมรับผิดทั้งหมดก็เพราะหยุนหว่านหนิงนั่นเอง!
ดูเหมือนหนิงเอ๋อร์จะพูดไว้ไม่ผิด ว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่นั้นดีมาก…
ความกลัดกลุ้มของไทเฮากู้มลายหายไป และรอยยิ้มก็เริ่มผ่อนคลายขึ้น
สองสามวันมานี้ หยุนหว่านหนิงกับโม่เยว่รวมถึงหยวนเป่าต่างอยู่เป็นเพื่อนไทเฮากู้ที่พระราชวังนอกเมือง
หยุนหว่านหนิงแก้พิษให้ไทเฮากู้และดูแลร่างกายของนาง
โม่เยว่พาหยวนเป่าออกไปปีนเขา ไปจับปลาที่แม่น้ำ ตอนเช้ายังพาไปวิ่งออกกำลังกาย เมื่อมีเวลามากขึ้นก็สอนวิทยายุทธให้หยวนเป่า สองพี่น้องหรูโม่กับหรูอวี้ก็ยังมาฝึกวิทยายุทธกับเขาด้วย
กล่าวได้ว่าช่วงเวลาที่อยู่ในพระราชวังนอกเมือง เป็นช่วงเวลาที่ทั้งสามคนพ่อแม่ลูกได้ใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลายและมีความสุขแบบที่หาได้ไม่บ่อยนัก
เวลาในทุกๆ วันของหยวนเป่าถูกจัดเตรียมไว้แน่นเอี้ยด
ทำทุกอย่างยกเว้นการอ่านและเขียนหนังสือ!
ทั้งสามคนมีช่วงเวลาดีๆ ในตำหนักสิงกง(*พระราชวังที่อยู่นอกเมืองหลวง) แต่ในเมืองหลวงกลับเต็มไปด้วยความวุ่นวาย…
ไม่กี่วันก่อน คดีที่ยังคงค้างอยู่ของค่ายห้ากองพลยังไม่กระจ่าง เรื่องอื่นก็เกิดขึ้นมาอีก
ณ ห้องทรงพระอักษร
โม่จงหรานโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เขามองโม่หุยเหยียนกับโม่ฮั่นอี่ว์ที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าและตำหนิอย่างมีน้ำโห “พวกเจ้าสองคนช่างไร้ประโยชน์ยิ่งนัก! พวกเจ้ามีประโยชน์อะไรกับข้าบ้าง!”
“คดีก่อนหน้านี้ยังตรวจสอบไม่กระจ่างก็มาเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก!”
“ในสายตาของประชาชน ราชสำนักยังมีความสง่างามและมีเกียรติอยู่อีกรึ!”
ไม่รู้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น แต่พอเช้าวันรุ่งขึ้นก็มีประชาชนมากมายไปรวมตัวกันที่ประตูเมือง
พอเผชิญหน้ากับซากศพจำนวนมากบนหอประตูเมือง เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ดังเซ็งแซ่
ศพเหล่านั้นมาจากค่ายห้ากองพลอีกแล้ว
ไม่ใช่แค่สวมเครื่องแบบของค่ายห้ากองพล แต่ยังเป็นสภาพการตายที่น่าสยดสยองมาก!
ประชาชนที่จิตใจไม่เข้มแข็งหลายคนในฝูงชนตกใจจนเป็นลมทันที ส่วนคนในครอบครัวก็เข้ามารบเร้า ขอคำอธิบายจากค่ายห้ากองพล!
“ก่อนหน้านี้ตอนที่เจ้าสามดูแลค่ายห้ากองพล เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเลย”
โม่จงหรานโกรธมากจนเส้นเลือดบนหน้าผากแทบจะระเบิด
เขาทุบฝ่ามือลงบนโต๊ะอย่างแรง “ตอนนี้ข้ามอบค่ายห้ากองพลให้พวกเจ้า แต่เหตุใดมันจึงได้สร้างปัญหาให้ข้ามากมายขนาดนี้!”
“เป็นไปได้หรือไม่ ว่าขนาดพวกเจ้าสองพี่น้องก็ยังเทียบกับเจ้าสามคนเดียวไม่ได้!”
โม่จงหรานโกรธจัดและมองโม่หุยเหยียนกับโม่ฮั่นอี่ว์อย่างผิดหวัง
ต้องยอมรับว่าในบรรดาโอรสของเขา คนที่มีความสามารถและมีไหวพริบที่สุดก็คือโม่หุยเฟิง
ตอนนี้เขายังมองไม่ออกเลยว่าเจ้าเจ็ดเป็นพวกคมในฝัก แสร้งทำตัวเป็นหมูเพื่อหลอกกินเสือ
หรือว่าเป็นพวกที่มีความสามารถเพียงน้อยนิดที่มีหยุนหว่านหนิงคอยตัดสินใจอยู่เบื้องหลังกันแน่
แต่ต้องบอกเลยว่าน่าเสียดายจริงๆ… น่าเสียดายที่หยุนหว่านหนิงไม่ใช่ผู้ชาย!
ไม่อย่างนั้น จวนยิ่งกั๋วกงที่อยู่ในการควบคุมของนางคงพัฒนาไปได้มากกว่านี้แน่นอน!
แม้ว่าโม่หุยเฟิงจะเรียกได้ว่าโหดเหี้ยมไร้ความปรานี ใช้วิธีที่รุนแรงดุดันไปหน่อย แต่ถ้าอยากถูกเรียกว่าราชาก็ต้องลดความเมตตาแบบผู้หญิงและเด็ดขาดให้มากกว่านี้!
ก็เหมือนกับดาบหนึ่งเล่ม
ยิ่งคมมากเท่าไรก็ยิ่งทำร้ายผู้คนได้มากขึ้น
ถ้าคมน้อยก็ทำให้ถึงตายไม่ได้…
เห็นได้ชัดว่าโม่หุยเฟิงกับโม่เยว่เป็นดาบกันทั้งคู่
เพียงแค่ฝ่ายแรกคมมาก ส่วนฝ่ายหลังคมน้อยกว่า…
ส่วนเจ้าใหญ่กับเจ้ารองที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า… สายตาของโม่จงหรานยิ่งผิดหวังมากขึ้นเรื่อยๆ “ถ้าพวกเจ้าสองคนดูแลค่ายห้ากองพลไม่ได้ ข้าจะเปลี่ยนไปให้คนที่เหมาะสมกว่ามาดูแล!”
“เสด็จพ่อ!”
โม่หุยเหยียนรีบยอมรับผิด “ทั้งหมดเป็นเพราะลูกเองที่ไร้ความสามารถ”
“ไร้ความสามารถ? แค่พูดว่าไร้ความสามารถก็จะตรวจสอบความจริงได้แล้วงั้นรึ?!”
โม่จงหรานจ้องมองพวกเขาอย่างแข็งกร้าว “ข้าให้เวลาพวกเจ้าสามวัน! ถ้าภายในสามวันยังหาตัวคนผิดไม่ได้…”
“พวกเจ้าสองคนจะต้องไสหัวไปให้พ้นหน้าข้า! ไสหัวออกไปจากกองป้องกันชายแดน!”
เมื่อเห็นว่าเขาโกรธมากจนพูดคำเหล่านี้ออกมาได้และเห็นว่าเขาผิดหวังในตัวพวกเขาจริงๆ
โม่หุยเหยียนกับโม่ฮั่นอี่ว์จึงรีบตอบรับและลุกขึ้นจากไปด้วยความเศร้าหมอง
หลังจากสองพี่น้องจากไป ใช้เวลาอยู่นานกว่าโม่จงหรานจะอารมณ์เย็นลง
ซูปิ่งซ่านก้าวเข้ามาและเกลี้ยกล่อมเบาๆ ว่า “ฝ่าบาท เวลานี้มีคลื่นใต้น้ำในราชสำนัก เหตุใดจึงไม่รับสั่งเรียกตัวอ๋องหมิงกลับมา หลีกเลี่ยงไว้หากเกิดเหตุฉุกเฉินเล่าพ่ะย่ะค่ะ!”
โม่จงหรานรู้ดีว่าตอนนี้โม่เยว่กับหยุนหว่านหนิงไปที่พระราชวังนอกเมือง
เขาเคยชินกับการที่ทั้งสองคนมาที่ห้องทรงพระอักษรทุกวัน จนกลายเป็น ‘ตะปูที่ยึดแน่น’ ในสายตาของเขา
พออยู่ต่อหน้าก็รู้สึกว่าสองคนนี้น่ารำคาญ
แต่พอไม่อยู่ ไม่มีมุกตลกของหยุนหว่านหนิง เขาก็รู้สึกไม่ค่อยชินเล็กน้อย
โม่จงหรานมองไปที่เก้าอี้ข้างหน้าต่างโดยไม่รู้ตัว
ปกติหยุนหว่านหนิงจะดื่มน้ำชาและอ่านหนังสือตรงนั้น พลิกดูหนังสือทั้งหมดในห้องทรงพระอักษร
บางครั้งโม่เยว่ก็จะนั่งอ่านสาส์นกราบทูลข้อราชการอยู่ตรงนั้น
มีร่องรอยของความหดหู่ปรากฏขึ้นมาในใจของเขา “แปลกมาก ปกติข้ามักจะรู้สึกรำคาญเมื่อเห็นสองคนนั้น! แต่พอไม่เห็นหลายวันเข้า ข้ากลับรู้สึกเหงาแปลกๆ”
“ซูปิ่งซ่าน เจ้าบอกว่าทุกคนจะอ่อนไหวขึ้นเมื่อแก่ตัวลงใช่หรือไม่”
เขาเป็นฮ่องเต้ผู้สง่าผ่าเผย!
นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีอารมณ์อ่อนไหวเหมือนกัน!
ซูปิ่งซ่านหัวเราะเบาๆ “ฝ่าบาท พระองค์ทรงคิดถึงอ๋องหมิงกับพระชายาหมิงแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
“ถ้าฝ่าบาทไม่รังเกียจความงี่เง่าของบ่าว บ่าวก็มีข้อเสนอจะแนะนำพ่ะย่ะค่ะ…”
บทที่ 249 หนิงเอ๋อร์ควบคุมสามีได้ดี
บทที่ 251 เสด็จพ่อผู้เหี้ยมโหด