อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 346 ต้าหลาง ดื่มยาได้แล้ว
(*อธิบายเพิ่มเติม ที่จริงแล้วประโยคนี้เป็นมุกซึ่งมีที่มาจากวรรณกรรมคลาสสิคหนึ่งในสี่ของจีนที่มีชื่อว่า《ซ้องกั๋ง》เป็นคำพูดที่พานจินเหลียนพูดกับสามีชื่ออู๋ต้าหลาง โดยมีเจตนาแอบวางยาพิษในยาให้เขาดื่มจะได้ตายไปให้พ้น ๆ ทาง(เนื่องจากพานจินเหลียนมีชู้) ต่อมาประโยคนี้ถูกชาวเน็ตจีนส่วนใหญ่เอามาเล่นเป็นมุก หรือทำเป็นมีมในทำนองที่ว่า แกจงเตรียมตัวตายซะเถอะ! นั่นเอง)
ในห้องบรรทม รอบเตียงรายล้อมไปด้วยหมอหลวงที่เบียดกันจนแน่นขนัด ชนิดไม่เหลือช่องว่าง
เมื่อเห็นหยุนหว่านหนิงเข้าไปในห้องบรรทม ฉินซื่อเสวียก็รีบพูดกับโม่จงหรานว่า “เสด็จพ่อ บางทีพระชายาหมิงอาจต้องการคนช่วย หม่อมฉันก็ขอเข้าไปดูด้วยเถอะนะเพคะ”
“เจ้ารู้วิธีรักษาอาการป่วยของฮองเฮารึ?”
โม่จงหรานกวาดหางตาไปมองนางอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง
“หม่อมฉัน..…ไม่มีความสามารถเท่าพระชายาหมิง”
ฉินซื่อเสวียก้มหน้าลงด้วยความอับอาย
ทำไมประโยคนี้ฟังดูแล้ว ให้ความรู้สึกว่ามันแปลก ๆ ชอบกล ?
โม่จงหรานเป็นผู้ชายประเภทที่คิดอะไรก็พูดแบบนั้น “ข้าแค่ถามว่าเจ้ารักษาอาการป่วยของเสด็จแม่ของเจ้าได้หรือไม่? ทำไมถึงกลายเป็นเรื่องที่เจ้ามีความสามารถไม่เท่าเมียเจ้าเจ็ดไปได้ล่ะนี่?”
“แต่ถ้าพูดกันตามตรง เจ้าก็มีความสามารถไม่เท่าเมียเจ้าเจ็ดจริง ๆ นั่นแหล่ะ”
ฉินซื่อเสวียถึงกับมีสีหน้าตกตะลึง น้ำตาเอ่อคลอเต็มสองเบ้าตา…..
โม่จงหรานกระแอมไอเบา ๆ “เมียเจ้าสาม ข้าก็แค่พูดตามความจริง! ข้าเป็นคนพูดตรง ถ้าเจ้าคิดว่าสิ่งที่ข้าพูดมันรุนแรงเกินไป ข้าก็พร้อมจะเก็บคำพูดคืนมา”
สีหน้าของโจวหยิงหยิงดูแปลกพิกล
เสด็จพ่อจะใจดีได้ขนาดนี้เชียวรึ?
เป็นไปตามคาด วินาทีต่อมาโม่จงหรานก็พูดขึ้นอีกครั้งว่า “แต่พูดก็พูดเถอะ เจ้ามีความสามารถไม่เท่าเมียเจ้าเจ็ดจริง ๆ นะ”
ฉินซื่อเสวีย: “…..”
นางอยากจะแผดเสียงร้องไห้ “โฮ” ออกมาให้ดังลั่นสุดเสียงจริง ๆ แต่ก็กลัวว่าจะถูกโม่จงหรานรังเกียจเข้าอีก
“ไม่ใช่แค่เจ้านะ พวกเจ้าทุกคนล้วนด้อยกว่าเมียเจ้าเจ็ดกันหมด”
โม่จงหรานยื่นมือออกไป ชี้โดยเริ่มจากหนานกงเยว่ ไปถึงโจวหยิงหยิง จากนั้นก็วนกลับมาที่ฉินซื่อเสวีย
เวลานี้ สีหน้าของบรรดาสะใภ้ต่างก็น่าเกลียดจนแทบดูไม่ได้ ยกเว้นแค่โจวหยิงหยิงคนเดียว
นางผงกหัวราวกับไก่จิกข้าวสาร “เสด็จพ่อพูดได้ถูกต้องแล้วเพคะ! หนิงเอ๋อร์คือคนที่ข้ารู้สึกยกย่องชื่นชมที่สุด!”
“เมียเจ้าสาม เจ้าก็อย่าได้ไม่พอใจไปเลยนะ! ถ้าเจ้าสามารถเข้าไปช่วยเมียเจ้าเจ็ดได้ก็ยังนับว่าพอไหว แต่เจ้าไม่รู้อะไรในเรื่องการแพทย์เลยสักอย่าง เข้าไปก็มีแต่จะยิ่งไปเพิ่มความยุ่งยากวุ่นวายเปล่า ๆ ไม่สู้รออยู่ข้างนอกนี่ยังจะดีเสียกว่า”
พูดพลาง โม่จงหรานก็นั่งลงบนเก้าอี้ข้าง ๆ แล้วจิบชาอย่างช้า ๆ
ฉินซื่อเสวียทนต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว จึงหันหน้าหนีไปแอบร้องไห้เงียบ ๆ
เมื่อครู่นี้ทำไมนางถึงต้องหาเรื่องใส่ตัวด้วยนะ!
สายตาของนางมองจ้องเข้าไปในตำหนัก ความขุ่นข้องเคืองแค้นในดวงตาฉายชัดจนปิดไม่มิด
ส่วนเจ้าของเงาร่างที่ถูกนางจับจ้องด้วยสายตาอย่างแน่นหนา เวลานี้กำลังตรวจสอบลำคอของฮองเฮาจ้าวอยู่
หลังจากทนต่อการโจมตีอันรุนแรงของอาการเสียงหายไม่ไหว ฮองเฮาจ้าวก็เป็นลมหมดสติไปแล้วเรียบร้อย
หมอหลวงหยางเดินตามอยู่ด้านหลังของหยุนหว่านหนิง เอาแต่พูดพล่ามซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุดว่า “พระชายาหมิง เมื่อครู่นี้กระหม่อมลองตรวจสอบดูแล้ว ลำคอของฮองเฮาไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย แต่ทำไมอยู่ดี ๆเสียงถึงหายไปได้ล่ะ?”
“ฮองเฮาสลบยังไม่ฟื้น กระหม่อมได้ฝังเข็มให้พระนางแล้ว แต่จนบัดนี้ฮองเฮาก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลย”
“มันมีสาเหตุมาจากอะไรหรือ?”
เขาเอาแต่พูดพล่ามไม่หยุด ซึ่งน่ารำคาญยิ่งกว่าพระถังซัมจั๋งร่ายคาถาบีบรัดเกล้าเสียอีก
หยุนหว่านหนิงกดขมับตัวเองอย่างหงุดหงิด “หมอหลวงหยาง ถ้าเจ้ายังไม่หุบปากอีกล่ะก็ ข้าจะสั่งให้คนเอาเข็มกับด้ายมาเย็บปากเจ้าแล้วนะ”
โหดเหี้ยมเสียจริง!
หมอหลวงหยางรีบยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองอย่างรวดเร็ว
เวลานี้ หยุนหว่านหนิงค่อยตรวจสอบอาการของฮองเฮาจ้าวอย่างจริงจัง
ไม่พูดไม่ได้เลยว่า คนบางคน (โม่จงหราน) ลงมือได้โหดเหี้ยมอำมหิตเสียจริง ๆ!
ถ้าดูแบบผิวเผินแล้ว จะเหมือนกับว่าคอของฮองเฮาจ้าวไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่แท้ที่จริงแล้ว เส้นเสียงของนางถูกทำลายจนเสียหายไปหมดแล้ว!
เป็นพิษชนิดหนึ่งที่หาได้ยากมาก
พิษชนิดนี้เมื่อเข้าไปในปาก มันจะมีความสามารถในการกำหนดเป้าหมาย โดยการเจาะจงทำลายเส้นเสียงของคนที่ถูกพิษนี้โดยตรง แต่ถ้าเป็นหมอทั่ว ๆ ไป จะเป็นการยากที่จะดูออกว่าเส้นเสียงของผู้ที่ต้องพิษ ได้ถูกทำลายไปจนหมดสิ้นแล้ว
ดังนั้น ต่อให้พวกหมอหลวงหยางพากันมารุมล้อมรอบตัวฮองเฮาจ้าว แล้วช่วยกันตรวจสอบดูตั้งแต่หัวจรดเท้า ก็ไม่มีทางตรวจพบปัญหาได้
หยุนหว่านหนิงเข้าใจแล้วว่า โม่จงหรานปล่อยให้นางเข้ามาทำอะไร
“คอของฮองเฮา เกรงว่าจะใช้การไม่ได้ไปเสียแล้วล่ะ!”
นางส่ายหน้าอย่างจนใจ หยิบขวดกระเบื้องเคลือบแบบใสใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ
ดูแล้วเหมือนเป็นการดึงออกมาจากแขนเสื้อ แต่แท้ที่จริงแล้ว มันถูกดึงออกมาจากช่องว่างเอนกประสงค์ของนาง
ยาในขวดกระเบื้องเคลือบเป็นยาเม็ดสีชมพู ซึ่งดูแล้วสวยสะดุดตามาก
แต่ไม่มีใครรู้ว่า สิ่งที่ยิ่งดูสวยงามมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งอันตรายมากขึ้นเท่านั้น
นางยื่นยาให้หมอหลวงหยาง ยิ้มแย้มสดใส “หมอหลวงหยาง รบกวนเจ้าใช้น้ำละลายยาเม็ดนี้ จากนั้นเอาไปผสมในเหล้าแล้วนำมาให้ฮองเฮาดื่มด้วยล่ะ”
หมอหลวงหยางไม่นึกสงสัยเลยว่า ในยาเม็ดนี้มีอะไรเคลือบแฝงหรือไม่ รีบรับไว้ทันที “ทราบแล้ว พระชายาหมิง”
เขายื่นส่งยาเม็ดนั้นไปให้หมอหลวงอีกคน จากนั้นหมอหลวงก็เดินตามจางหมัวมัวออกไป
หมอหลวงหยางยังคงถามต่อไปว่า นั่นคือยาอะไร
“คอของเสด็จแม่ ถ้าจะบอกว่าเสียหายก็นับได้ว่าเสียหายอยู่ ช่างเป็นอะไรที่แปลกมากจริง ๆ แต่พอตรวจดูก็ไม่พบปัญหาใด ๆ ”
หยุนหว่านหนิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง “จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าปกติแล้วนางพูดมากเกินไป? หรือไม่ก็พูดจาไม่น่าฟังจนเกินไป? ดังนั้นเทพเทวดาบนสวรรค์จึงทนไม่ไหว สาปให้นางเป็นใบ้ไปเลยตรง ๆ ”
หมอหลวงหยาง: “…..คำพูดนี้เห็นทีกระหม่อมคงไม่อาจรับได้”
หยุนหว่านหนิงชำเลืองมองเขา “สรุปสั้น ๆ คือ ข้าคงทำได้แค่พยายามทำให้ดีที่สุดเท่านั้นแล้ว”
จางหมัวมัวกับหมอหลวงอีกคน ยกถ้วยยาเข้ามาแล้ว
ยาที่ถูกผสมน้ำยังคงเป็นสีชมพู ดูงดงามดึงดูดสายตาอย่างมาก
หยุนหว่านหนิงส่งสัญญาณให้จางหมัวมัวก้าวขึ้นมาข้างหน้า เพื่อป้อนยาให้ฮองเฮาจ้าว “หลังจากกินยานี้แล้ว ในระยะเวลาสามเดือนจะไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้”
“ดูแลคอให้ดี ลองดูว่าพอจะสามารถฟื้นตัวกลับมาได้หรือไม่”
เมื่อครู่นี้นางแค่ส่งสัญญาณให้จางหมัวมัวขึ้นมาข้างหน้า จางหมัวมัวยังยกมือขึ้นมาขยี้ ๆ ที่หูตัวเอง คิดไปว่าวันนี้หูของนางคงใช้การไม่ได้จริง ๆ แล้ว
แต่เมื่อได้ยินคำพูดของนาง ถึงค่อยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
นางยังไม่ได้หูหนวก!
เมื่อเห็นจางหมัวมัวค่อย ๆ กรอกยาช้อนแล้วช้อนเล่าใส่เข้าไปในปากของฮองเฮาจ้าว ในสมองของหยุนหว่านหนิงก็ปรากฏภาพฉากหนึ่ง นั่นก็คือ: อู๋ต้าหลางที่กำลังนอนพะงาบ ๆ ใกล้ตายอยู่บนเตียง
จากนั้นพานจินเหลียนที่แต่งกายงดงามก็ยกถ้วยยาเดินเข้ามา พลางส่งเสียงพูดอย่างออดอ้อนว่า: “ต้าหลาง ดื่มยาได้แล้ว!”
สองตาของนางจ้องมองไปที่มือของจางหมัวมัว ในดวงตาแฝงไปด้วยรอยยิ้ม
เพียงไม่นาน ยาก็หมดชาม
หยุนหว่านหนิงหยิบเข็มเงินออกมา แล้วฝังเข็มให้ฮองเฮาจ้าว
นางมีชุดฝังเข็มที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร
ฮองเฮาจ้าวที่เมื่อครู่นี้ ไม่ว่าจะถูกหมอหลวงฝังเข็มเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่น หลังจากหยุนหว่านหนิงฝังเข็มให้แล้ว ก็ค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างช้า ๆ
นางสูดหายใจอย่างอ่อนแรงเฮือกหนึ่ง มองผ้าโปร่งเหนือศีรษะด้วยแววตาสับสน ชั่วขณะที่สัมผัสได้ว่าข้างเตียงของนางมีคน ก็หันศีรษะไปดู จึงพบว่าเป็นหยุนหว่านหนิง…
นางรีบผุดลุกขึ้นนั่งทันที
นางอ้าปากได้ก็เตรียมด่าประณามทันที
เห็นแต่ปากที่ขยับไปมา แต่กลับไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมาเลยแม้แต่น้อย
หยุนหว่านหนิงพอจะรู้ทักษะการอ่านปากอยู่บ้างนิดหน่อย
เห็นแค่แวบเดียวนางก็รู้แล้วว่า ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ในห้องนอนของข้าได้? !
นางแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ
หยุนหว่านหนิงผายสองมือออก ถามด้วยสีหน้าไร้เดียงสาว่า “เสด็จแม่ ท่านกำลังพูดอะไรน่ะ? พูดเสียงดัง ๆ หน่อย หม่อมฉันไม่ได้ยิน!”
พวกหมอหลวงหยางที่อยู่ข้างๆ: “…..”
ช่างพูดจาทิ่มแทงใจคนฟังสิ้นดี!
ช่างใจดำอำมหิตแท้!
สีหน้าของฮองเฮาจ้าวเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน จากนั้นก็ค่อย ๆ นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อเช้านี้ตื่นมานางก็เสียงหายไปแล้ว เพราะทนรับความจริงอันโหดร้ายขนาดนี้ไม่ได้ จึงตกใจจนหมดสติไป
เมื่อเห็นว่าหมอหลวงหยางก็อยู่ด้วย ฮองเฮาจ้าวก็ไม่มองหยุนหว่านหนิงอีกเลย
นางถลาเข้าไปคว้าตัวหมอหลวงหยาง ริมฝีปากขยับเร็วจี๋
หยุนหว่านหนิงเห็นชัดเลยว่า นางกำลังถามหมอหลวงหยางว่าสถานการณ์ของนางเป็นอย่างไรบ้าง
แต่น่าเสียดาย ที่หมอหลวงหยางไม่รู้วิธีการอ่านริมฝีปาก!
เขาสีหน้าสับสนงงงัน “ฮองเฮาเหนียงเหนียง ท่านพูดอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ฮองเฮาจ้าว: “….”
นางสติแตกแล้วจริง ๆ สองมือออกแรงบีบคอของหมอหลวงหยางจนสุดแรงเกิด ไม่สนว่าร่างกายจะสั่นเทาจนแทบควบคุมไม่ได้ เมื่อเทียบกับท่าทางที่ดูบอบบางอ่อนแอไม่สู้ลมตามปกติแล้ว เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ ฮองเฮาจ้าวมีพละกำลังมากมายมหาศาลแบบยากจะหาใครมาเปรียบเทียบได้ หมอหลวงหยางถูกนางบีบคอจนถึงกับตาเหลือกไปแล้ว!
เมื่อเห็นดังนั้น หยุนหว่านหนิงก็รีบหาทางผ่อนคลายบรรยากาศทันที
“หมอหลวงหยาง หรือไม่เจ้าก็ถอยออกไปก่อนเถอะนะ! ออกไปตอบคำถามเสด็จพ่อก่อน ข้าจะคุยกับเสด็จแม่เอง…..”
นางช่วยงัดตัวหมอหลวงหยาง ออกมาจากเงื้อมมือของฮองเฮาจ้าว
หมอหลวงหยางแทบไม่มีเวลากล่าวขอบคุณนางด้วยซ้ำ รีบตะเกียกตะกายหนีออกไป ราวกับนักโทษที่ได้รับการนิรโทษกรรมก็ไม่ปาน
หมอหลวงที่เหลือ ต่างก็แยกย้ายกันหนีไปเช่นกัน
หยุนหว่านหนิงยกสองแขนขึ้นกอดอก จากนั้นก็หันไปมองฮองเฮาจ้าว ใบหน้าแฝงไปด้วยรอยยิ้ม
หัวใจของฮองเฮาจ้าวพลันบีบรัด เอาแต่รู้สึกว่ารอยยิ้มของนางไม่ได้มีเจตนาดีแน่ ๆ …..