อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 392 หยวนเป่าเข้าข้าง
“เช่นนั้นเจ้าก็เอาออกมาสิ!”
หนานกงเยว่มั่นใจมาก ว่านางไม่มีทางเอาหลักฐานออกมาได้
เพราะถึงอย่างไรแผนนี้นางก็จัดฉากขึ้นมาอย่างกระทันหัน ไม่ว่าหยุนหว่านหนิงจะร้ายกาจกว่านี้สักแค่ไหน ก็เป็นไปไม่ได้ที่นางจะใช้เวลาเพียงครึ่งก้านธูป ก็คิดแผนตอบโต้ออกมาได้!
“ประการแรก ช่วงยามโหย่วสามเค่อเป็นเวลาที่เสด็จพ่อเพิ่งพาหยวนเป่าเข้าไปในตำหนัก”
หยุนหว่านหนิงสองมือกอดอก เดินวนรอบตัวหงเหลียนช้า ๆ “ในตอนนั้น ความสนใจทั้งหมดของข้าล้วนมุ่งไปที่ลูกชายทั้งสิ้น ข้านั่งอยู่ในโถงตำหนักใน ทุกคนต่างก็เห็นกันหมด”
“แล้วจะไปปรากฏตัวที่นอกตำหนักไท่เหอได้อย่างไร? จะมีเวลาว่างไปใส่ใจคนนอกได้ที่ไหนล่ะ?”
หนานกงเยว่โกรธจนแทบกระอักเลือด!
คนนอกอย่างนั้นรึ? !
นางเป็นถึงพระชายาฉู่ผู้ทรงเกียรติ แต่ในสายตาของนางกลับเป็นแค่คนนอกอย่างนั้นรึ? !
แต่ว่า เรื่องโกรธก็ส่วนโกรธ
สิ่งที่หยุนหว่านหนิงพูดมานั้นสมเหตุสมผลจริง ๆ ทุกคนต่างก็ได้เห็นเรื่องนี้เองกับตา จึงไม่มีอะไรจะพูดให้มากความ!
หงเหลียนนังตัวโง่งมนี่ จะโกหกทั้งทีก็ไม่หัดใช้สมองคิดให้มันดี ๆ หน่อย ดังนั้นคำพูดจึงเต็มไปด้วยช่องโหว่ จนหยุนหว่านหนิงฉวยโอกาสใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนนี้ได้อย่างง่ายดาย!
เดิมทีนางเห็นว่าหงเหลียนฉลาดหลักแหลม ถึงให้นางทำเรื่องนี้ มอบความไว้ใจให้นางรับผิดชอบงานสำคัญ
ใครจะรู้ล่ะว่าแท้จริงแล้ว กลับเป็นแค่ตัวโง่งมคนหนึ่ง?!
“ประการที่สอง ลูกชายของข้าเป็นหลานชายคนโตของราชวงศ์ ยังต้องหาทางสร้างความมั่นคงให้ตำแหน่งอีกหรือ?”
หยุนหว่านหนิงเหลือบตามองหนานกงเยว่แวบหนึ่ง “เด็กในท้องของพระชายาฉู่คนนี้ ยังยืนยันไม่ได้เลยว่าเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง แล้วจะเป็นการคุกคามลูกชายข้าได้อย่างไรล่ะ?”
ใบหน้าของหนานกงเยว่ร้อนผ่าว พูดด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจว่า “บางทีเจ้าอาจจะกลัวว่าข้าจะให้กำเนิดหลานชายที่เกิดจากลูกเมียเอก จนไปคุกคามสถานะของลูกชายเจ้าก็ได้นี่!”
“เจ้านี่มันช่างหลงตัวเองซะจริงนะ คิดว่าตัวเจ้ามันวิเศษวิโสซักแค่ไหนกัน?”
หยุนหว่านหนิงเหลือบตามองนางแวบหนึ่ง “หลานชายที่เกิดจากลูกเมียเอก? ต่อให้เกิดจากเมียเอก ยังจะแซงหน้าลูกชายของข้า จนได้ขึ้นไปเป็นหลานชายคนโตของราชวงศ์ได้เลยอย่างนั้นรึ?!”
“เจ้า……”
หนานกงเยว่โกรธจัด!
“ตอนนี้ข้าไม่อยากเสียเวลาโต้เถียงกับเจ้าแล้ว”
ถ้านางคิดจะปะทะฝีปากกับหนานกงเยว่จริง ๆ ล่ะก็ นางสามารถใช้คำพูดแค่ไม่กี่ประโยค ก็ทำให้อีกฝ่ายโกรธจนเส้นเลือดในสมองแตกตายได้แล้ว!
แต่ตอนนี้หยุนหว่านหนิงมีจุดประสงค์อื่นอย่างชัดเจน “ประการที่สาม หงเหลียนนับว่าฉลาดหลักแหลมจริง ๆ นางรู้ว่าคนที่ตั้งครรภ์ไม่ควรกินขนมซิ่งเหรินซู หรือดื่มชาข้าวสาลีบัควิท”
ในอัลมอนด์มีสารพิษชื่อว่ากรดไฮโดรไซยานิก สตรีมีครรภ์ควรงดอาหารชนิดนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงความเป็นพิษที่อาจซึมผ่านทางรก จนส่งผลต่อทารกในครรภ์
และควรดื่มชาข้าวสาลีบัควิทให้น้อย ๆ ด้วย
แม้ว่าชาข้าวสาลีบัควิทจะช่วยควบคุมอาการของภาวะกรดเกินในกระเพาะได้ดี
อาหารในงานเลี้ยงภายในราชวัง ส่วนใหญ่จะเป็นพวกปลาใหญ่เนื้อสัตว์ใหญ่รวมถึงพวกขนมหวาน เพื่อช่วยในการย่อยอาหาร ในวังมักจะเตรียมชาข้าวที่คั่วจากต้นบัควีทไว้ด้วย
แต่เพราะบัควีทมีคุณสมบัติเย็น ตามหลักการแพทย์สตรีมีครรภ์ หรือคนที่มีม้ามและกระเพาะอาหารไม่ดี สมควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีคุณสมบัติเย็นแบบนี้จะดีที่สุด
โดยเฉพาะชาบัควีทมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดภูมิแพ้ได้ง่าย ส่งผลให้เกิดอาการข้างเคียงต่าง ๆ เช่น โรคหอบหืดหรือลมสวนจนหมดสติ
“แต่เห็นได้ชัดว่าเจ้าไม่ได้รู้จักนิสัยของข้าจริง ๆ”
หยุนหว่านหนิงมองหงเหลียนด้วยใบหน้าที่แฝงรอยยิ้มน้อย ๆ “ถ้าข้ามีความคิดแบบนั้นจริง ๆ มีหรือที่จะสั่งให้คนโง่เขลาอย่างเจ้าไปทำงานให้?”
นี่ไม่เท่ากับยกก้อนหินขึ้นมาโยนทับเท้าตัวเองหรอกรึ? !
หงเหลียนกุมใบหน้าตัวเอง ได้แต่อึกอักพูดอะไรไม่ออก
“ประการที่สี่ เจ้าบอกว่าในถาดใบนั้นมีขนมเพียงสี่ชิ้น”
ทุกคนต่างกลั้นหายใจ ฟังสิ่งที่นางพูดอย่างใจจดใจจ่อ
“ในเวลาปกติ ในวังมักจะจัดขนมสี่หรือห้าชิ้นต่อถาดจริง ๆ แต่คืนนี้เป็นวันเกิดของเสด็จแม่ เพื่อให้เป็นสิริมงคล ของหวานทั้งหมดจะถูกจัดเป็นถาดละหกชิ้นหมด”
ทุกคนรีบก้มหน้าลงดูทันที
ของว่างบนถาดเหล่านั้น มีหกชิ้นจริง ๆ !
ใครเป็นฝ่ายพูดโกหก นับว่าตอนนี้ต่างได้คำตอบที่ชัดเจนกระจ่างแจ้งแล้ว!
เมื่อเห็นว่าใบหน้าของหงเหลียนเผือดซีดจนแทบจะไม่มีสีเลือดแล้ว หยุนหว่านหนิงก็ไม่ทำให้นางลำบากใจต่อ แค่หันไปยิ้มให้หนานกงเยว่แล้วพูดว่า “พระชายาฉู่น่าจะรู้จักนิสัยใจคอของข้าดีนะ”
“ถ้าข้าคิดจะวางยาพิษเจ้าจริง ๆ ล่ะก็ ไม่มีทางทิ้งร่องรอยใด ๆ ไว้ให้เห็นอย่างแน่นอน แล้วจะทิ้งเบาะแสแบบเลินเล่อขนาดนี้ไว้เชียวหรือ?”
“ถ้าข้าคิดจะลงมือ ยังต้องใช้คนอื่นด้วยรึ?”
รอยยิ้มของนางเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ถ้าเป็นข้าจริง ๆ ล่ะก็ ข้าสามารถทำให้เจ้าตายอย่างไร้ที่กลบฝังเลยด้วยซ้ำ ยังจะปล่อยให้เจ้ามีโอกาสแว้งกัดได้อีกรึ?”
เพราะรู้ถึงความสามารถของหยุนหว่านหนิงดี เมื่อหนานกงเยว่ได้ยินแบบนี้ ก็ไม่รู้สึกสงสัยเลยแม้แต่น้อย
ทุกคำที่หยุนหว่านหนิงพูดมาล้วนมีเหตุผล ไม่ต้องพูดถึงหงเหลียนที่ไม่อาจหาเหตุผลมาหักล้างได้ แม้แต่หนานกงเยว่เองก็ยังตอบไม่ได้ด้วยซ้ำ!
“หากพระชายาฉู่ตอบไม่ได้ เช่นนั้นเรื่องในวันนี้ก็เท่ากับว่าเจ้าวางแผนใส่ร้ายข้า”
หนานกงเยว่ร้อนใจมาก แต่ยิ่งร้อนใจเท่าไหร่ ก็ยิ่งตอบคำถามไม่ได้!
เมื่อเห็นดังนั้น โม่หุยเหยียนก็รีบพูดขึ้นว่า “หยุนหว่านหนิง! เจ้าอย่ามาสาดโคลนใส่คนอื่นแบบนี้นะ! เจ้าทำเรื่องชั่วร้ายเองแล้วไม่กล้ายอมรับ กลับมาโทษว่าเยว่เอ๋อร์พูดจาใส่ร้ายเจ้า เจ้ามันช่างไร้ยางอายสิ้นดี!”
“พี่ใหญ่ ระวังคำพูดด้วย”
โม่เยว่ให้โอกาสหยุนหว่านหนิงแสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ พอเห็นว่าโม่หุยเหยียนเอ่ยปากขัดจังหวะ เขาก็รีบถือหางเมียตัวเองทันที
ชั่วขณะนั้น ภาพฉากตรงหน้าก็ตึงเครียดขึ้นมาอีกระดับ
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองโม่จงหราน อยากฟังว่าเขาจะพูดออกมาว่าอย่างไร
แต่เขากลับก้มหน้าลงมองหยวนเป่าที่นั่งอยู่ในอ้อมแขน ยกยิ้มอย่างพึงพอใจ “หยวนเป่า เรื่องนี้เจ้ามีความคิดเห็นว่าอย่างไร?”
ทุกคน: “…..”
เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ฝ่าบาทถึงกับถามความคิดเห็นจากเด็กที่เพิ่งจะสี่ขวบคนหนึ่งจริง ๆ น่ะหรือ? !
แม้ว่าเด็กคนนี้จะเป็นเชื้อพระวงศ์ เป็นหลานชายคนโตของราชวงศ์ แต่เขาก็เป็นแค่เด็กอายุสี่ขวบเท่านั้น!
ยิ่งไปกว่านั้น เขาเกิดจากพระชายาหมิง อย่างไรก็ต้องเข้าข้างแม่ของตัวเองอย่างแน่นอน!
เป็นไปตามคาด ทันทีที่หยวนเป่าเอ่ยปาก เขาก็ไม่ทำให้ทุกคน “ผิดหวัง” จริง ๆ “เสด็จปู่ เห็นได้ชัดว่าท่านป้าใหญ่ใส่ร้ายเสด็จแม่ของข้า! ท่านป้าใหญ่มีความผิด”
ทุกคนอดส่ายหัวไม่ได้
ไม่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ ใครจะเป็นฝ่ายถูกหรือใครจะเป็นฝ่ายผิด แต่ทันทีที่หลานชายคนโตของฝ่าบาทเอ่ยปาก……
นี่ทำให้ทุกคนได้รู้จัก “รูปแบบ” ของเขา
เดิมทีเขาควรจะวิเคราะห์เรื่องนี้ก่อน แล้วค่อยสรุปผล
แต่หยวนเป่ากลับให้ข้อสรุปเรื่องราวทั้งหมดก่อน นี่ไม่เท่ากับกำลังบอกทุกคนอย่างชัดเจนหรอกหรือว่า: ข้ากำลังปกป้องแม่ของข้า!
ทุกคนได้แต่หันมองหน้ากัน พลางพูดวิจารณ์เสียงเบา ๆ
ในเวลานี้เอง ก็ได้ยินหยวนเป่าพูดขึ้นอีกครั้งว่า “ข้าเข้าใจเสด็จแม่ของข้าดี นางไม่ใช่คนโหดเหี้ยมอำมหิต ยิ่งไม่มีทางลงมือกับชีวิตน้อย ๆ ที่ยังไร้เดียงสาอย่างเด็ดขาด”
“อีกทั้งเมื่อครู่นี้ เสด็จแม่ของข้าก็วิเคราะห์ทุกอย่างได้ชัดเจนมากแล้ว เห็นได้ชัดว่าท่านป้าใหญ่จงใจใส่ร้ายป้ายสีเสด็จแม่ของข้า”
“คำแนะนำของท่านป้ารองก็นับว่าไม่เลว หงเหลียนเป็นคนไม่ซื่อสัตย์ ควรนำตัวไปทุบตีจนกว่านางจะพูดความจริง!”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา ทุกคนต่างก็ตกใจจนผงะ!
เมื่อครู่ประกายแสงที่ผุดวาบขึ้นในดวงตาของหลานชายคนโตของราชวงศ์ที่อายุยังน้อยผู้นี้ เป็นไอสังหารใช่หรือไม่?!
นี่เรียกว่าได้อ๋องหมิงมาสินะ!
พออ้าปากก็ร้องจะให้ตีคนให้ฆ่าคน ช่างวางอำนาจสมกับเป็นหลานชายคนโตของราชวงศ์จริง ๆ!
“หยวนเป่าพูดได้มีเหตุผลนัก”
โม่จงหรานพยักหน้าโดยไม่ลังเล “พวกเจ้าโง่กันไปหมดแล้วรึ? ไม่ได้ยินที่หลานชายของข้าพูดหรืออย่างไร? ทหาร! มาลากตัวนางกำนัลที่ทั้งโง่เขลาทั้งไม่ซื่อสัตย์คนนี้ลงไป ลงทัณฑ์โบยด้วยไม้กระดานห้าสิบไม้!”
โบยห้าสิบไม้กระดาน ชีวิตของหงเหลียนคงจะหาไม่เป็นแน่แล้ว!
ทุกคนมองไปที่เต๋อเฟยอีกครั้ง
นางไม่พูดอะไร แต่หยวนเป่ากลับหยุดโม่จงหรานไว้ “เสด็จปู่ วันนี้เป็นวันเกิดของเสด็จย่าเต๋อเฟย”
กล้ามาใส่ร้ายป้ายสีเสด็จแม่ของเขา ภายใต้จมูกของเขาเลยรึ? !
ท่านพ่อเข้าข้างเสด็จแม่แล้ว เขาก็จะปกป้องเสด็จแม่ด้วย!
ร่องรอยของความเป็นปรปักษ์ปรากฏขึ้นในดวงตาของหยวนเป่า “ในวันมงคลเช่นนี้ไม่ควรร่ำร้องให้ทุบตีเข่นฆ่าใคร! เราควรขังหงเหลียนเอาไว้ก่อน ให้ทหารคอยจับตาดูไว้ พรุ่งนี้ค่อยลงทัณฑ์”
“ยังคงเป็นหยวนเป่าที่คิดการณ์รอบคอบ”
โม่จงหรานกับเต๋อเฟยจูบเขาไปคนละหนึ่งที จากนั้นโม่จงหรานก็โบกมือ “นำตัวหงเหลียนลงไปขังไว้ คอยเฝ้าจับตาอย่างเข้มงวด!”
เมื่อเทียบกับการฆ่านางทันทีด้วยการลงทัณฑ์ สิ่งที่หงเหลียนกลัวยิ่งกว่า…..นั่นก็คือหลังจากผ่านค่ำคืนอันยาวนานคืนนี้ไป วันพรุ่งนี้จะมีการทรมานแบบไหนที่รอนางอยู่!
คืนนี้ต่างหาก ที่เรียกว่าความทรมานของจริง!
นางมองไปที่หยวนเป่าด้วยสายตาหวาดกลัว
องครักษ์รักษาพระองค์สองคนเดินเข้ามาใกล้ แล้วลากนางออกไปตรง ๆ
“พระชายาฉู่ ช่วยข้าด้วย! พระชายาฉู่ โปรดช่วยข้าน้อยด้วยเถิดเจ้าค่ะ!”
หงเหลียนทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว นางร้องขอความช่วยเหลือจากหนานกงเยว่เสียงแหลม เอื้อมมือมาคว้ากระโปรงของหนานกงเยว่ พลางร้องตะโกนว่า ” พระชายาฉู่ โปรดช่วยข้าน้อยด้วยเถิด!”
หนานกงเยว่ไม่ทันระวังตัว เกือบถูกมือที่นางเอื้อมมาลากจนล้มลงไปกับพื้น!
โชคดีที่โม่หุยเหยียนตาดีมือไว สามารถพยุงตัวนางไว้ให้ยืนจนมั่นคงได้ จากนั้นก็เงื้อเท้าเตะหงเหลียนกระเด็นออกไป!
เมื่อได้เห็นภาพฉากนี้ ทุกคนยังมีอะไรที่ไม่เข้าใจอีกหรือ? !
นางเห็นแววตาของหนานกงเยว่กับโม่หุยเหยียน แปรเปลี่ยนเป็นแววตาที่แฝงความหมายโดยนัยไปเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเห็นว่าหนานกงเยว่ยังคงเงียบงันไม่เอ่ยอะไร หงเหลียนก็สิ้นหวังแล้ว!
เมื่อเห็นว่านางถูกลากไปจนถึงหน้าประตู จู่ ๆ นางก็ตะโกนแผดเสียงแหลมดังลั่นขึ้นว่า “พระชายาหมิง! โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วย! ข้าน้อยยินดีพูดความจริงแล้ว ข้าน้อยยอมสารภาพทุกอย่างแล้วเจ้าค่ะ…..”