อนงค์ใจพระชายาราชสีห์ บทที่ 400 เจ้าเจ็ดหงุดหงิดเหลือเกินแล้ว
“ข้ามาพบหว่านหนิง ไม่ใช่เจ้าสักหน่อย”
โมเหว่ยขมวดคิ้วพลางเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “ดึกขนาดนี้แล้ว เจ้าเจ็ด เจ้ายังไม่ไปพักผ่อนอีกหรือ?”
โม่เยว่: “…..”
น่ากลัวว่าคนคนนี้จะไม่เข้าใจสถานการณ์ เหมือนจะยังไม่รู้สินะว่าที่นี่คือถิ่นของใคร?!
“นั่นสิขฌ ในเมื่อพี่สี่รู้ว่ามันดึกแล้ว ก็ควรจะกลับไปได้แล้วกระมัง? พี่สี่สุขภาพไม่ค่อยดี ยิ่งสมควรต้องพักผ่อนเร็ว ๆ ถึงจะถูกต้อง”
โม่เยว่ไล่คนด้วยอาการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
โมเหว่ยไม่ยอมทำตามเจตนาของเขา
เหตุผลที่เขายินดีมาเยี่ยมเยียนถึงที่ ยินดีไปมาหาสู่กับจวนอ๋องหมิง…..
ทั้งหมดเป็นเพราะหยุนหว่านหนิง ไม่ใช่เขาโม่เยว่!
“ข้าจะคุยธุระกับหว่านหนิงให้เสร็จก่อนถึงค่อยกลับ”
โมเหว่ยพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “นี่เป็นเรื่องส่วนตัว เจ้าเจ็ดควรหลีกเลี่ยงสักหน่อยจะดีกว่า”
โม่เยว่ยืนขึ้นด้วยท่าทางโกรธจัด “เจ้าว่าอะไรนะ?”
แน่จริงลองพูดอีกครั้งซิ!
สีหน้าของโม่เหว่ยยังคงไม่เปลี่ยนแปลง: “นี่เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างข้ากับหว่านหนิง เจ้าเจ็ดควรหลีกเลี่ยงสักหน่อยจะดีกว่า ”
โม่เยว่โกรธจนปอดแทบจะระเบิดให้ได้แล้ว!
“ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะ ว่าชายาของข้าจะมีเรื่องส่วนตัวอะไรกับพี่สี่! ข้าเป็นสามีของนาง แม้แต่ข้าก็ยังอยู่ฟังด้วยไม่ได้อย่างนั้นรึ?!”
“ไม่ได้”
โม่เหว่ยส่ายหัวด้วยสีหน้าราบเรียบ
หรูอวี้รีบขยับเข้าไปใกล้ “ท่านอ๋อง เห็นอยู่ชัด ๆหญ ว่าอ๋องโจวจงใจทำแบบนี้ นี่เขาจะ…..”
“ไสหัวไปให้พ้น!”
ด้วยความโกรธสุดขีด โม่เยว่เงื้อเท้าข้างหนึ่งขึ้นแล้วเตะหรูอวี้ออกไปอย่างโหดเหี้ยม คว้าถ้วยชาที่อยู่ข้างมือทำท่าจะขว้างใส่โม่เหว่ย
สีหน้าของหยุนหว่านหนิงพลันตกตะลึงขึ้นมาอย่างหนัก!
คนตระกูลโม่ นับขึ้นไปตั้งแต่โม่จงหราน จนลงมาถึงหยวนเป่า ลึกลงไปในไขกระดูกจนถึงสายเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในตัว ล้วนเต็มไปด้วยความรุนแรงเจ้าอารมณ์ ไม่พอใจอะไรขึ้นมาก็ลงไม้ลงมือ กระทั่งอยู่ต่อหน้าญาติพี่น้องก็ยังไม่เว้น
นางกลอกตามองบนใส่ในสภาพไร้คำจะพูด “หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
ในตอนที่ถ้วยชาใบนั้นอยู่ห่างจากโม่เหว่ยราวสองเซนติเมตร โม่เยว่ก็หยุดมือลง
น้ำชาไหลลงมาตามฝาถ้วย หยดลงบนไหล่ของโม่เหว่ย
“เจ้าเจ็ด นี่คือวิธีต้อนรับแขกของจวนอ๋องหมิงของพวกเจ้าอย่างนั้นรึ?”
เขาก็ไม่มีท่าทีโกรธเคืองอะไร แค่ปัดน้ำชาที่หยดใส่ออกไปเบา ๆ แล้วถามอย่างช้า ๆ ไม่เร่งรีบว่า “ข้ามาเยี่ยมเยือนถึงที่เป็นครั้งแรก เจ้าก็ทักทายข้าแบบนี้เลยรึ?”
“แล้วเจ้ายังอยากให้ข้าทักทายเจ้าอย่างไรอีกล่ะ?”
โม่เยว่สีหน้าเย็นชา วางถ้วยชาลงบนโต๊ะอย่างแรง “จะให้โยนเจ้าออกไปตรง ๆ ดี?”
“หรือจะให้ต้อนรับด้วยน้ำชากับอาหารเย็นชืดสักชุดดี?”
“ไม่จำเป็นทั้งนั้น ข้ามาที่นี่เพื่อคุยธุระกับหว่านหนิง เจ้าหลีกไปก่อนเถอะ”
โม่เหว่ยมีสีหน้าสงบนิ่งอย่างมาก
โม่เยว่ชำเลืองมองหยุนหว่านหนิงแวบหนึ่ง ก็เห็นนางส่ายหน้าเล็กน้อย
ได้!
ถือเสียว่าไว้หน้าให้หนิงเอ๋อร์!
เขาแค่นเสียงเย็นชา กัดฟันกรอดพลางสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินออกไป!
“หว่านหนิง นิสัยขี้หงุดหงิดเจ้าอารมณ์ของเจ้าเจ็ดนี่ออกจะมากเกินไปแล้วจริง ๆ หลายปีมานี้เจ้าทนได้อย่างไรกันน่ะ? เสด็จพ่อไม่สั่งสอนเขาแทนเจ้าบ้างเลยหรือ?”
เมื่อเห็นว่าเขาห่วงใยนางเหมือนกับพี่ชายจริง ๆ หัวใจของหยุนหว่านหนิงก็พลันอุ่นวาบ
ไม่เสียแรงที่นางทุ่มเทรักษาเขามานานขนาดนี้ แล้วหัวใจของโม่เหว่ยก็ไม่ได้ทำมาจากหิน
“เขาที่เจ้าได้เห็นคืนนี้ ถือว่าเปลี่ยนแปลงไปมากแล้วล่ะ”
หยุนหว่านหนิงพูดด้วยสีหน้าจนใจ
ถ้าเปลี่ยนเป็นโม่เยว่ในอดีต น่ากลัวว่าคงจะทำสีหน้าเย็นชา แล้วโยนโม่เหว่ยออกไปจากจวนตรง ๆ โดยไม่พูดอะไรสักคำแล้วล่ะมั้ง?
“ยากจะจินตนาการได้จริง ๆ ว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้เจ้ามีชีวิตที่ยากลำบากขนาดไหน”
โม่เหว่ยส่ายหัวพลางถอนหายใจเบา ๆ
แต่เขาไม่รู้เรื่องที่หยุนหว่านหนิงถูกโม่เยว่สั่งกักบริเวณอยู่หลายปี
พูดถึงอดีตอันน่าเศร้าทีไรก็อยากจะร้องไห้ทุกที หยุนหว่านหนิงยกถ้วยชาขึ้นจิบ ฝืนยิ้มแย้มพลางเปลี่ยนเรื่อง “อ๋องโจว เจ้ามาหาข้าเสียดึกขนาดนี้ มีเรื่องอะไรอย่างนั้นรึ?”
“อ๋อ คือว่าอย่างนี้”
จากนั้นโมเหว่ยก็อธิบายจุดประสงค์ของการมาเยือนของเขา “ข้าได้ยินมาว่า อีกไม่นานก็จะถึงวันเกิดพ่อของเจ้าแล้ว…..”
หยุนหว่านหนิงขมวดคิ้วมุ่น
จริงด้วย ทุกปีหลังจากผ่านวันเกิดของเต๋อเฟยไปหนึ่งเดือน ก็จะเป็นวันเกิดของหยุนเจิ้นซง
เขาไม่ได้อายุน้อยกว่าเต๋อเฟย
หยุนเจิ้นซงอายุมากกว่าเต๋อเฟยหลายปี แต่แค่เดือนเกิดอยู่หลังนางเฉย ๆ
สามารถกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า เดือนเกิดอยู่หน้านาง
ว่ากันตามจริง วันเกิดของหยุนเจิ้นซงนั้นอยู่ในเดือนแรกตามปฏิทินจันทรคติ ในขณะที่เต๋อเฟยอยู่ในเดือนสิบสองตามปฏิทินจันทรคติ
“แล้วมีอะไรหรือ?”
หยุนหว่านหนิงพอจะคาดเดาเหตุผลที่โม่เหว่ยมาเยือนได้คร่าว ๆ แล้ว…..
“ใจข้าคิดว่า เจ้าช่วยรักษาอาการป่วยที่เป็นเรื้อรังมานานให้ข้า เมื่อถึงวันเกิดของหยุนกั๋วกง ข้าก็สมควรจะแสดงน้ำใจสักหน่อย ด้วยการส่งของขวัญอวยพรเพื่อแสดงความขอบคุณไปให้เขาสักชิ้น”
โม่เหว่ยพูดจาไร้สาระด้วยสีหน้าจริงจัง
หยุนหว่านหนิงเกือบจะเชื่อแล้ว!
นางแค่นเสียงในลำคอเบาๆ “ข้ารักษาเจ้าจนหายญท เจ้าควรต้องขอบคุณข้า ขอบคุณแค่ข้าคนเดียวก็พอ”
“จะให้ของขวัญอวยพรเขาไปทำไม? จะแสดงน้ำใจไปทำไม?”
“แต่เขาเป็นพ่อของเจ้าไม่ใช่รึ? คืนนี้ข้าให้ของขวัญแทนคำขอบคุณเจ้าไปแล้ว ทางหยุนกั๋วกงก็ควรจะส่งไปให้ด้วยสิ?”
โม่เหว่ยยังไม่รู้ หภ ว่าความสัมพันธ์แท้จริงระหว่างหยุนหว่านหนิงกับหยุนเจิ้นซงมันเป็นอย่างไร
“ไม่จำเป็น”
หยุนหว่านหนิงโบกมือ “ถ้าเจ้าอยากขอบคุณข้าจริง ๆ ก็ให้ของขวัญข้ามากขึ้นอีกหน่อยก็พอ! ทางหยุนเจิ้นซงนั่น เจ้าก็ถือเสียว่าเขาเป็นแค่ตดหมาไปแล้วกัน”
โม่เหว่ย: “…..”
เขามองนางด้วยสีหน้าตกตะลึง “ทำไมเจ้าถึงได้พูดถึงพ่อตัวเองแบบนี้ล่ะ?”
“ข้าพูดอะไรผิดล่ะ?เขาไม่ใช่ตดหมาหรอกรึ? เขาน่ะกระทั่งตดหมาก็ยังเทียบไม่ได้ด้วยซ้ำ”
หยุนหว่านหนิงเม้มปากด้วยท่าทางเฉยเมย
ท่าทางแบบนี้ ยิ่งทำให้โม่เหว่ยรู้สึกประหลาดใจขึ้นไปอีก
หรือจะเป็นไปได้ว่า เขาแยกตัวออกจากโลกภายนอกนานเกินไป จนไม่รู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นข้างนอกนี้?
หยุนหว่านหนิงกับหยุนเจิ้นซงสองคนพ่อลูก แตกหักจนหันหลังให้กันไปแล้วรึ?
เมื่อเห็นใบหน้าที่ตกตะลึงพรึงเพริศของเขา หยุนหว่านหนิงก็วางถ้วยชาลง “อ๋องโจวยังมีเรื่องอะไรอีกหรือเปล่า?”
“ไม่ … ไม่มีแล้ว”
โมเหว่ยไม่สามารถพูดแสดงความคิดเห็นในใจออกมาได้แล้ว ทำได้แค่ยืนขึ้น “เช่นนั้นข้ากลับก่อนล่ะ”
ไม่รอให้หยุนหว่านหนิงพูดอะไร เขาก็รีบก้าวเดินฉับ ๆ ออกไปราวกับหนีตายก็ไม่ปาน ลุงเฉินผู้มีอายุอานามไม่น้อยแล้วต้องรีบวิ่งไล่ตามหลังไป “ท่านอ๋อง รอข้าน้อยด้วย! ท่านโปรดใจเย็น ๆ ก่อน!”
เขาเพิ่งจะย่างเท้าออกไป โม่เยว่ก็เข้ามาทันที
“เขาพูดเรื่องอะไรรึ?”
เขาจ้องหยุนหว่านหนิงตาเขม็ง
“ไม่มีอะไร”
หยุนหว่านหนิงตอบ
“ไม่มีอะไร? หนิงเอ๋อร์ นี่เจ้าไม่อยากบอกข้าใช่หรือไม่? ระหว่างพวกเจ้ามีความลับอะไรต่อกันจริง ๆ สินะ? เป็นความลับที่แม้แต่ข้าก็ยังให้รู้ไม่ได้?!”
โม่เยว่สองมือกำหมัดแน่น
เขาต้องชื่นชมความสามารถในการคบค้าสมาคมกับคนอื่นของผู้หญิงคนนี้จริง ๆ
โม่จงหรานผู้สูงส่งเหนือใคร กลายเป็นพ่อที่มีความสัมพันธ์ประดุจพ่อบังเกิดเกล้ากับลูกสาวแท้ ๆ ก็ไม่ปาน
ส่วนเต๋อเฟยที่มองใครล้วนไม่เคยเข้าตา ก็รักใคร่เอ็นดูนางประดุจลูกสาวแท้ ๆ
แม้แต่โม่โยวโยวกับโม่เหว่ยที่ไม่เคยออกมายุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอก ก็ยังสร้าง “การปฏิวัติทางมิตรภาพ” อันดีกับนาง
นอกจากนี้ยังมีสองสามีภรรยาโม่ฮั่นอี่ว์ หมอหลวงหยางที่ตอนนี้อายุก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว แม้กระทั่งพวกมังกรตาเดียวที่ซ่อนเร้นอำพรางอยู่ตามถนนหนทาง…..ก็ยังคบหาเป็นสหายกับนางด้วย
แต่กับเขาที่อยู่ในฐานะสามี หยุนหว่านหนิงกลับไม่เคยมองเขาตรง ๆ เลยด้วยซ้ำ!
แล้วในใจเขาจะรู้สึกเท่าเทียมได้อย่างไรกันล่ะ? !
เมื่อเห็นว่าโม่เยว่เข้าใจผิดแล้ว หยุนหว่านหนิงก็ไม่มีแก่ใจที่จะอธิบายอะไรต่อ
เดิมทีมันก็ไม่มีอะไรอยู่แล้วนี่!
นางหาวหวอด ๆ พลางยืนขึ้น จากนั้นก็ยืดเอวบิดขี้เกียจ “รีบไปพักผ่อนเร็ว ๆ หน่อยเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องเข้าวังอีกนะ”
“หนิงเอ๋อร์ เจ้าบอกข้ามาสักคำเถอะ พวกเราจะมีลูกคนที่สองกันเมื่อไหร่?”
เขายังไม่ยอมแพ้
“ไว้ค่อยคุยกันทีหลัง”
หยุนหว่านหนิงสองมือไพล่หลังเดินออกไป
วาจาท่าทางที่พูดแบบขอไปทีของนาง ทำให้โม่เยว่รู้สึกอึดอัดขัดใจมาก
เขารู้ว่าในใจของนางยังคงมีความแค้นต่อเขาอยู่ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าความพยายามที่จะเข้าใกล้นางครั้งแล้วครั้งเล่า กลับกลายเป็นเหตุให้ถูกนางผลักไสจนรู้สึกว่ายิ่งห่างกันออกไปทุกที ๆ แทน ……
แล้วเมื่อไหร่เขาถึงจะรวบหัวรวบหางผู้หญิงคนนี้ได้สักทีล่ะ!
โม่เยว่ถอนหายใจหนัก ๆ เฮือกหนึ่ง
เดิมทีเขาคิดจะแสร้งทำหน้าด้านไปตอแยนางที่เรือนชิงหยิ่งต่อไม่ยอมไปไหน อย่างน้อยแค่ได้กอดนางนอนหลับสักคืน ต่อให้ไม่ได้ทำอะไรเลยเขาก็ยินดี
แต่คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะก้าวขาออกไป ก็มีคนคนหนึ่งเดินมาตรงหน้า
ทั้งสองคนต่างมีเรื่องครุ่นคิดในใจ จังหวะเดินค่อนข้างรีบเร่ง ในขณะที่เหลือระยะห่างเพียงเซ็นเดียวก็จะชนกันอยู่แล้ว โม่เยว่ก็หยุดฝีเท้าเอาไว้ได้ทันเวลา “ไอ้สารเลว! เวลาเดินทำไมไม่…..”
ยังพูดไม่ทันจบ เขาก็ต้องขมวดคิ้วมุ่น “เจ้ามาทำไมอีกแล้วล่ะ?”