วันที่หกเดือนสาม เป็นวันคล้ายวันประสูติขององค์หญิงใหญ่ ก่อนหน้านั้นหนึ่งเดือนหวังเสียนได้ถูกกรมพิธีการมอบตำแหน่งราชบุตรเขย ในวันอภิเษกสมรสฮ่องเต้ได้มีรับสั่งให้รัชทายาทส่งตัวเจ้าสาวด้วยตัวเอง หลังจากอภิเษกสมรสหนึ่งเดือน หวังเสียนได้ถูกแต่งตั้งเป็นจิงซานโหว รับผิดชอบดูแลขุนนางฝ่ายใน ราชสำนักอยู่ในความโกลาหลพักหนึ่ง พากันเขียนหนังสือ หวังเสียนได้รับการแต่งตั้งเป็นท่านโหวเพราความกรุณาซึ่งไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ดั้งเดิม ฮ่องเต้เป็นกลางมาเสมอ หลี่หย่งชุนที่อยู่ในกรมพิธีการคุกเข่าอยู่ที่ประตูจั่วซุ่นไม่ยอมลุก แต่ฮ่องเต้ทรงเพิกเฉย หลี่ชิ่งจี๋ฝ่ายตุลาการ เฉินจี้และคนอื่นๆ มารวมตัวกันที่ประตูจั่วซุ่น ฮ่องเต้ทรงประกาศแต่งตั้งหวังเสียนเป็นรองเสนาบดีวัดไท่ฉัง หลายคนพากันโอดครวญอย่างขมขื่น ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งให้ยกที่ดินหนึ่งพันหมู่ของราชวงศ์ในมณฑลซานตงเป็นที่นาขององค์หญิงใหญ่…
“…เช่นนี้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อคนจนเท่านั้น!” หวังลี่เช็ดเหงื่อบนหน้าผากของเขา “เดิมทีฮ่องเต้ต้องการสนับสนุนราชบุตรเขย แต่การกระทำเช่นนี้อาจทำให้เกิดการก่อกบฏ และคงเป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดอย่างยิ่งหากทำให้ราชบุตรเขยโกรธ ทางที่ดีควรจะโน้มน้าวฮ่องเต้จึงจะถูก!”
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้พูดอะไร ก้มหน้าจิบชา
“ข้าก็รู้ว่ามันทำให้เจ้าลำบากใจ” หวังหลี่ยิ้มอย่างขมขื่น “แต่นอกจากเจ้าแล้วข้าก็นึกไม่ออกแล้วจริงๆ ว่ายังจะมีใครที่คุยกับฝ่าบาทในสถานการณ์เช่นนี้ได้! อีกอย่างนี่ก็เป็นการทำเพื่อองค์หญิงเจียงตู”
เจียงตูเป็นสมญานามขององค์หญิงใหญ่
สวีลิ่งอี๋เงยหน้า ยิ้มขึ้นมาทันที “เป็นคนสกุลหวังที่ขอร้องเจ้าใช่หรือไม่”
หวังหลี่ท่าทางลำบากใจ “เรื่องอันใดก็ซ่อนจากสายตาของเจ้าไม่ได้ ใช่แล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องของราชบุตรเขยเจียงตูจริงๆ ”
จะว่าไปแล้วหวังเสียนผู้นี้ก็เป็นคนที่ระมัดระวังเช่นกัน!
“ข้าจะคิดหาวิธีเกี่ยวกับเรื่องนี้!” สวีลิ่งอี๋รีบพูดทันทีว่า “แต่จะสำเร็จหรือไม่นั้น ไม่อาจบอกได้”
หวังหลี่ยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อเจ้ารับปากข้าแล้ว ข้าว่ามีความเป็นไปได้ที่จะสำเร็จถึงแปดเก้าในสิบส่วน!” จากนั้นก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก ถามถึงสวีซื่อจิ่น “…ทางด้านนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เกือบจะหนึ่งปีแล้วกระมัง เดือนเจ็ดเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของฮองเฮา ไม่สู้เจ้าขอความเมตตาในเวลานั้น!”
“เมื่อถึงเวลานั้นรอดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด!” สวีลิ่งอี๋ตอบด้วยท่าทีนิ่งเฉย พูดถึงเรื่องในราชสำนักขึ้นมา “เหลียงเก๋อเหล่าลาออก ฮ่องเต้จะให้ใครมาแทนตำแหน่ง”
“โต้วเก๋อเหล่าเสนอใต้เท้าเจียงแห่งสำนักศึกษาฮั่นหลิน ส่วนเฉินเก๋อเหล่าเสนอใต้เท้าตู้รองเจ้ากรมพิธีการ” หวังหลี่พูดพลางชำเลืองมองสวีลิ่งอี๋ “ช่วงนี้ฮ่องเต้ทรงกำลังเป็นกังวัลเรื่องขององค์หญิงเจียงตู จึงยังไม่ได้ยอมรับใคร”
ใต้เท้าเจียง…โต้วเก๋อเหล่า…เฉินเก๋อเหล่า…ใต้เท้าตู้…ตอนที่จุนเกอแต่งงานใต้เท้าตู้เป็นพ่อสื่อของสกุลเจียง…
สวีลิ่งอี๋ยิ้มดูมีเลศนัยเล็กน้อย
******
เมื่อกลับมาที่เรือน สืออีเหนียงกำลังอ่านจดหมายอยู่
“กลับมาแล้วหรือ!” นางลุกขึ้นช่วยสวีลิ่งอี๋เปลี่ยนชุด “ใต้เท้าหวังไปแล้วหรือเจ้าคะ”
“อืม!” สายตาของสวีลิ่งอี๋มองไปบนโต๊ะที่อยู่บนเตียงเตา “จิ่นเกอเขียนจดหมายมาหรือ”
สืออีเหนียงยิ้มพลางพยักหน้า “ส่งมาเมื่อตอนบ่าย”
สวีลิ่งอี๋แทบรอไม่ไหวที่จะหยิบจดหมายขึ้นมาอ่าน
สืออีเหนียงคิดว่าสวีลิ่งอี๋คิดถึงบุตรชายมาก ยิ้มพลางหันไปชงชาให้สวีลิ่งอี๋
ในจดหมายนอกจากรายงานว่าสบายดีแล้ว ก็มีเพียงคำทักทาย
สวีลิ่งอี๋ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เมื่อคืนเขาก็ได้รับจดหมายจากบุตรชายเช่นกัน แต่ว่าเนื้อหาของจดหมายแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
จิ่นเกอเขียนในจดหมายว่าเขาได้บังเอิญค้นพบเหมืองเงินแห่งหนึ่ง เนื่องจากเป็นที่ที่อยู่ระหว่างคาบเกี่ยวกันของชาวแมนจูและผิงอี๋ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นชาวแมนจูหรือกองพันผิงอี๋ต่างก็ไม่รู้เรื่องนี้
เมื่อเห็นตัวอักษรที่ดูกระตือรือร้นของบุตรชาย สวีลิ่งอี๋ก็กังวลเล็กน้อย
ด้วยความเฉลียวฉลาดและความสามารถของกงตงหนิง เขาทำงานที่ค่ายในกุ้ยโจวมาหลายปี หากจิ่นเกอไม่เคลื่อนไหวก็ไม่เป็นไร แต่หากจิ่นเกอเคลื่อนไหวคงไม่สามารถปิดบังกงตงหนิงได้ จากที่เขาเข้าใจกงตงหนิง หากกงตงหนิงอยากกลับเยี่ยนจิงก็คงคิดหาวิธีกลับมานานแล้ว แต่เขากลับอยู่ที่กุ้ยโจวมาตลอด นอกจากจะเป็นเพราะว่ากุ้ยโจวอยู่ไกล ราชสำนักดูแลไม่ถึง ไม่มีใครมาสนใจ เกรงว่ามันจะมีส่วนเกี่ยงข้องกับกิจการเหล่านี้ที่ไม่ได้โปร่งใสแต่กลับสามารถทำให้เขาได้รับทองคำทุกวัน…น้ำใจก็อยู่ส่วนน้ำใจ เงินก็ส่วนเงิน หากจิ่นเกอจะเปิดเหมืองเงินนี้จริงๆ เกรงว่ากงตงหนิงจะเป็นอุปสรรคที่เขาไม่สามารถข้ามไปได้
จะเตือนบุตรชายดีหรือไม่
จุดประสงค์การไปของเขาไม่ใช่เพื่อหารายได้ เหตุใดต้องทำลายแผนเดิมเพราะเหมืองเงิน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ สวีลิ่งอี๋ก็วางจดหมายในมือลง
เจ้าเด็กคนนี้กลัวว่ามารดาจะเป็นห่วง ไม่เผลอหลุดออกมาเลยแม้แต่ประโยคเดียว
เมื่อความคิดผ่านเข้ามาในหัว เขาก็ยิ้มมุมปากเล็กน้อย
หรือจะปล่อยให้เขาไปก่อเรื่องดี!
บางอย่างหากไม่มีประสบการณ์ ไม่ว่าผู้อาวุโสจะพูดมากขนาดไหน เขาก็ไม่มีทางเก็บไปใส่ใจ
รู้จักความเป็นคนก่อนทำสิ่งต่างๆ การนำทัพทหารก็ใช้เหตุผลนี้เช่นเดียวกัน การเปลี่ยนสถานที่ในสามปี เป็นเพียงการทำให้เขาได้มีประสบการณ์คุ้นเคยกับการติดต่อผู้คน หากใช้เรื่องของเหมืองเงินนี้ทำให้เขาพัฒนาด้านการปฏิบัติต่อผู้อื่นและกลยุทธ์ในการกระทำการต่างๆ มันอาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้าย อีกอย่างตนได้ส่งปรมาจารย์ด้านการต่อสู้สี่คนให้แอบตามเขาไปอย่างเงียบๆ หากมีอันตราย ก็เพียงพอที่จะปกป้องชีวิตเขาได้…หรือควรจะส่งเพิ่มอีกสองคนไปอยู่ข้างกายเขาดี
สวีลิ่งอี๋เป็นคนคิดแล้วตัดสินใจในทันที
ตะโกนเรียกสาวใช้หันเซี่ยว “ไปเรียกพ่อบ้านไป๋มา”
หันเซี่ยวเป็นหนึ่งในสองสาวใช้ที่ราชบุตรเขยขององค์หญิงซุ่ยผิงมอบให้สวีซื่อจิ่น อีกคนมีนามว่าเหลิ่งเซียง ซึ่งสืออีเหนียงเก็บไว้ปรนนิบัติข้างกาย
สืออีเหนียงเดินเข้ามา “ป่านนี้แล้ว เรียกพ่อบ้านไป๋มาทำอะไรหรือ”
สวีลิ่งอี๋ยกถ้วยชาขึ้นมา ไม่ได้ตอบคำถามนาง “เจ้าไม่ได้บอกว่าจะไปตรอกซื่อเอ๋อร์หรอกหรือ ไปมาแล้วหรือยัง ทางนั้นเป็นอย่างไรบ้าง”
ตรอกซื่อเอ๋อร์มีเฉาเอ๋อร์สองแม่ลูกอาศัยอยู่ หลานถิงนัดพบกับสืออีเหนียงที่นั่น
“ไปมาแล้วเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูดต่อไปว่า “วันมะรืนนี้หลานถิงจะออกเดินทางกลับเฟิงสุ่ย ส่วนเฉาเอ๋อร์จะอยู่ที่เยี่ยนจิงต่ออีกสองปี หลานถิงกลัวว่าหลังจากที่นางไป คนสกุลเจี่ยงจะยุยงคนสกุลกานให้มาหาเรื่องเฉาเอ๋อร์เลยฝากฝังให้ข้าช่วยดูแลให้ ข้ารับปากไว้แล้ว”
หลายปีมานี้สกุลเจี่ยงสร้างปัญหามากมาย เขาได้ยินเรื่องนี้ในเยี่ยนจิงหมดแล้ว
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า พูดถึงจุดประสงค์การมาของหวังลี่ “…พรุ่งนี้เจ้าส่งป้ายหยกเข้าวังไปสักหน่อยเถิด!ไปพูดคุยกับฮองเฮา ข้าราชบริพารจะไม่พูดว่าฮ่องเต้ทำผิด เพียงแต่คิดว่าหวังเสียนได้รับความโปรดปรานจึงได้หยิ่งผยอง เมื่อถึงเวลานั้นจะกระทบกับชื่อเสียงของหวังเสียน”
สืออีเหนียงรับปาก พ่อบ้านไป๋มาถึงพอดี
สวีลิ่งอี๋ไปพูดคุยกับเขาในห้องหนังสือ
เติงฮวารีบวิ่งเข้ามาด้วยความตื่นตระหนก “ฮูหยิน เฮ่อกงกงมาหา ให้ท่านโหวรีบเข้าวังโดยเร็วขอรับ!”
เฮ่อกงกงเป็นขันทีคนสนิทของฮ่องเต้ มาเรียกสวีลิ่งอี๋เข้าวังในเวลานี้…
สืออีเหนียงใจเต้นแรง เดินไปห้องหนังสือกับเติงฮวาพลางถามเขาว่า “รู้หรือไม่ว่าเฮ่อกงกงมาทำไม”
“ไม่ทราบขอรับ” เติงฮวาพูดต่ออีกว่า “แต่ดูแล้วสีหน้าไม่ดีเลยขอรับ”
เช่นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องดีแล้ว!
นางครุ่นคิดพลางเดินออกจากห้องโถงทางเดิน
“ใครมากับเฮ่อกงกง”
“องครักษ์ในวังขอรับ” เติงฮวารีบพูดว่า “มีประมาณสี่สิบห้าสิบคน แม้แต่โคมไฟสักดวงก็ไม่ได้เอามาด้วย”
สืออีเหนียงใจเต้นรัว
ห้องหนังสือแสงไฟสว่างไสว ดูเหมือนว่าสวีลิ่งอี๋กับพ่อบ้านไป๋พึ่งจะคุยกันเสร็จ ทั้งสองคนเดินตามกันออกมาจากห้องหนังสือ เมื่อเห็นสืออีเหนียงกับเติงฮวา ทั้งคู่ก็มีสีหน้าประหลาดใจ
พ่อบ้านไป๋รีบคำนับสืออีเหนียง
สืออีเหนียงกลับไม่มีเวลามาสนใจ รีบบอกสวีลิ่งอี๋เรื่องการมาของเฮ่อกงกง
สีหน้าของสวีลิ่งอี๋เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้น
ทุกคนมองไปที่เขา ไม่กล้าแม้แต่หายใจเสียงดัง เทียนในโคมไฟสีแดงใต้ชายคาส่งเสียงลุกไหม้เป็นครั้งคราว พลอยทำให้บรรยากาศดูหดหู่และหม่นหมองยิ่งขึ้น
“เติงฮวา เจ้าพาบ่าวรับใช้ที่มีไหวพริบสองสามคนไปกับข้า ให้รออยู่ที่นอกประตูจั่วซุ่น หากมีความเคลื่อนไหวอะไรให้รีบวิ่งกลับไปรายงาน” น้ำเสียงของสวีลิ่งอี๋สงบนิ่งและมีสติ แต่เติงฮวากลับใจสั่นระรัว รีบรับปาก “ขอรับ” แล้ววิ่งไปที่เรือนนอกอย่างรวดเร็ว
สวีลิ่งอี๋กำชับพ่อบ้านไป๋ “หากสถานการณ์ไม่ดี เรื่องในเรือนต้องมอบหมายให้เจ้าแล้ว!”
พ่อบ้านไป๋พลันขอบตาแดงขึ้นมาทันที “ท่านโหววางใจได้ขอรับ บ่าวรู้ว่าต้องทำอย่างไร!” น้ำเสียงสั่นเล็กน้อย โค้งคำนับสวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงด้วยความเคารพ จากนั้นก็หันหลังแล้วเดินจากไป
ในเรือนเหลือเพียงสวีลิ่งอี๋ สืออีเหนียงและสาวใช้คนอื่นๆ ที่มองหน้ากันโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
สวีลิ่งอี๋กอดสืออีเหนียงไว้แน่น
“มั่วเหยียน” เขาพูดเสียงเบา “อย่าทำให้คนอื่นตกใจ หากข้ากลับมาไม่ได้ ให้เจ้าไปเรียกถิงเกอ จวงเกอและชิ่งเกอมาอยู่ข้างกาย พ่อบ้านไป๋จะจัดการให้พวกเจ้ากลับบ้านเกิด เซียงอี้และภรรยานั้นเชื่อถือได้ จิ่นเกออยู่ที่นั้นเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะให้คนนำจดหมายไปให้เขา เพียงแค่จะไม่ได้เจอกันสักพัก เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม พวกเจ้าสองคนแม่ลูกก็จะได้เจอหน้ากัน…”
สืออีเหนียงเข้าใจในทันที
เขากำลังเอ่ยคำสั่งเสีย…
นางน้ำตานองหน้าโดยฉับพลัน
อยากจะพูดว่ามันจะไม่เป็นไร
แต่ก็เชื่อว่าสวีลิ่งอี๋วางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว
นางตัวสั่นราวกับตกลงไปในบ่อน้ำแข็งก็ไม่ปาน อยากจะกอดสวีลิ่งอี๋กลับ แต่เหมือนว่าแขนของนางจะแข็งจนไม่สามารถยกขึ้นได้
“ข้า…ข้ารู้แล้ว!” สืออีเหนียงได้ยินเสียงที่สั่นเครือของตัวเอง “ข้าจะดูแลเด็กๆ ให้ดีเจ้าค่ะ!” สายตาเริ่มเลือนลาง “ท่านเองก็ไม่ต้องมองโลกในแง่ร้ายนัก หลายปีมานี้ฮ่องเต้ดีกับท่านมาก บางทีอาจจะเป็นเรื่องอื่น…” นางปลอบสวีลิ่งอี๋อย่างติดๆ ขัดๆ ฟังไม่เป็นประโยค
สวีลิ่งอี๋ยิ้มเล็กน้อย ใช้ปลายนิ้วลูบคิ้วของนางเบาๆ จูบที่หน้าผากของนางอย่างอ่อนโยน “ไปพักผ่อนเถิด!ไม่แน่ข้าอาจจะคิดมากเกินไป!” จากนั้นก็ปล่อยนางแล้วออกจากลานหลักโดยไม่ลังเล
สืออีเหนียงมองดูแผ่นหลังของเขา ร่างกายสั่นเทาไม่หยุด ใช้เวลาสักพักกว่าจะสงบลง
หากสวีลิ่งอี๋กลับมาไม่ได้จริงๆ สิ่งที่นางต้องทำยังมีอีกมากมาย…
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กำชับหันเซี่ยวด้วยน้ำเสียงแน่นิ่ง “พวกเรากลับกันเถิด!”
******
เป็นคืนที่ผ่านไปอย่างยากลำบากไม่น้อย เมื่อเวลาผ่านไปหลายปีสืออีเหนียงอาจนึกขึ้นได้เป็นครั้งคราว และความทรงจำก็อาจจะค่อยๆ เลือนลาง
พอถึงรุ่งสาง พ่อบ้านไป๋ก็มาบอกกับนางว่า “ฮ่องเต้ทรงบรรทมยังไม่ฟื้นขึ้นมา ท่านโหว เฉินเก๋อเหล่า โต้วเก๋อเหล่า และเว่ยเก๋อเหล่าได้รับคำสั่งให้ช่วยรัชทายาทจัดการราชสำนักชั่วคราวขอรับ” สีหน้าท่าทางประหลาดใจของเขาได้ฝังลึกลงไปในความทรงจำของนาง
“ฮ่องเต้ทรงยังไม่ฟื้น ข่าวนี้เชื่อได้หรือไม่” สืออีเหนียงไม่ได้โล่งใจเพราะเหตุนี้ แต่ถามพ่อบ้านไป๋ด้วยท่าทางเคร่งขรึมว่า “มีวิธีใดที่จะส่งข้อความถึงท่านโหวได้บ้าง!”
เมื่อพ่อบ้านไป๋เห็นว่านางไม่มีท่าทางดีใจก็อดประหลาดใจไม่ได้ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงได้พูดขึ้นมาว่า “มีขอรับ ตอนนี้ทุกคนต่างก็รู้ว่าท่านโหวอยู่ในสถานการณ์อันตราย มีฮองเฮาอยู่ การส่งข้อความเข้าไปนั้นเป็นเรื่องง่าย”
“เช่นนั้นก็ดี” สืออีเหนียงพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เจ้าไปบอกกับท่านโหวว่า ‘ระวังจะถูกคิดบัญชีย้อนหลัง’ ก็พอแล้ว!”
ใครจะไปรู้ว่าฮ่องเต้จะฟื้นขึ้นมาหรือไม่…หากสวีลิ่งอี๋โดดเด่นมากเกินไป ใครจะไปรู้ว่าฮ่องเต้จะเริ่มสงสัยเขาอีกครั้งเพราะเหตุนี้หรือไม่!
สีหน้าพ่อบ้านไป๋เปลี่ยนไปอย่างมาก เขาโค้งคำนับอย่างนอบน้อมแล้วรีบจัดการให้คนไปส่งข้อความ
สืออีเหนียงมองไปบนท้องฟ้าสว่างไสวนอกหน้าต่างพลางถอนหายใจยาว