ตอนที่ 715 กงเสวี่ยฉินยุแยงให้ร้าวฉาน
วันนี้เป็นวันปีใหม่ และจะมีการประกวดชิงรางวัลนางแบบห้องเสื้อจิ่นซิ่วในตอนเย็น
ในช่วงปี 1980 แม้แต่สถานีวิทยุโทรทัศน์กลางก็ไม่ยังไม่สามารถถ่ายทอดสดได้
แต่ละรายการได้รับการบันทึกการถ่ายทำล่วงหน้า จากนั้นจึงนำมาตัดต่อและออกอากาศ
ในฐานะ CEO ของว่านถงกรุ๊ป หลินม่ายจำเป็นต้องไปยังสถานีเพื่อแสดงความเสียใจต่อผู้เข้าแข่งขันที่ยังคงมาบันทึกรายการในช่วงเทศกาลวันหยุด
เธอปฏิบัติตามหนทางที่เป็นมิตรกับผู้คนเสมอมา และกลายเป็นบุคลิกที่ขาดไม่ได้
เมื่อมาถึงห้องอัดของสถานีวิทยุโทรทัศน์กลาง การแสดงกำลังดำเนินไปอย่างเต็มรูปแบบ
ทั้งกงเสวี่ยฉินและตู้เจวียนต่างเข้าร่วมการแข่งขันใหม่
ทีมงานของรายการได้ทำให้ทั้งสองกลายเป็นเทพีผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาการที่ผสมผสานด้วยภูมิปัญญาและความงามเข้าด้วยกันอย่างสมดุล
ทั้งสองกลายเป็นที่นิยมมากในหมู่ผู้ชม
ในตอนนั้นกงเสวี่ยฉินลากตู้เจวียนเข้าร่วมการประกวด เพราะต้องการให้ตู้เจวียนวิ่งไล่ตามและเป็นการเน้นย้ำความเป็นเลิศของตัวเอง
แต่ไม่คาดคิด ตู้เจวียนที่หน้าตาไม่ดีเท่าหล่อนกลับแสดงออกได้ดียิ่งกว่า
ความนิยมของตู้เจวียนได้รับการโหวตให้อยู่ในสิบอันดับแรก ขณะที่กงเสวี่ยฉินอยู่ในอันดับที่สามสิบ
ตู้เจวียนได้กลายเป็นคนที่หล่อนเข้าไม่ถึง ซึ่งนั่นเกือบทำให้หล่อนระเบิดอารมณ์ด้วยความเดือดดาล
ในเวลานี้ตู้เจวียนกำลังแข่งขันกับผู้สมัครอีกห้าคน
มีผู้สมัครเพียงสองจากห้าเท่านั้นที่ผ่านการเข้ารอบ
หนึ่งในนั้นมีความนิยมเทียบเท่ากับตู้เจวียน ส่วนอีกสามคนเรียกได้ว่าไม่มีอะไรพิเศษมากพอที่จะเอาชนะสองคนนี้ได้
หลินม่ายรู้สึกประทับใจต่อผู้สมัครคนนี้เช่นกัน ซึ่งหล่อนมีความโดดเด่นเทียบเท่ากับตู้เจวียน
หญิงสาวคนนั้นมีชื่อว่าเหมาเซียงเอ๋อร์
คุณสมบัติที่ครอบคลุมของเหมาเซียงเอ๋อร์ค่อนข้างโดดเด่นมากในหมู่ผู้สมัคร
น่าเสียดายเมื่อนึกถึงบุคลิกของหล่อน หลินม่ายไม่ค่อยชอบนัก ดังนั้นจึงเลิกสนใจและหันไปมองผู้สมัครอีกสี่คนที่เหลือ
กงเสวี่ยฉินได้รับก้าวขึ้นไปอีกระดับ ก่อนจะพบเห็นหลินม่ายยืนอยู่ตรงมุมหนึ่ง
หล่อนเกิดความลังเลอยู่นานและไม่กล้าขึ้นไป
คราวที่ลงทะเบียนครั้งล่าสุด หล่อนต้องการให้หลินม่ายใช้สิทธิ์พิเศษปล่อยให้พวกหล่อนเข้าแถวหน้า แต่หลินม่ายปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา
กงเสวี่ยฉินรู้ดีว่าตนเองไม่เก่งเรื่องการเลือกใช้คำ หากเกิดเผลอพลั้งพูดสิ่งใดผิดไป มันอาจทำให้อีกฝ่ายเกิดอคติ
มันจึงดีกว่าที่จะไม่ทักทายหรือพูดคุยกับอีกฝ่ายเลย
หญิงสาวตาเหล่เห็นหลินม่ายเช่นกัน หล่อนเดินเข้าไปทักทายหลินม่ายด้วยท่าทางเขินอาย
ทั้งสองพูดคุยกันเพียงสองถึงสามประโยค หลินม่ายได้รู้ว่าหญิงสาวตาเหล่ชื่อว่ากู่เยี่ยน
กู่เยี่ยนมีเสน่ห์ดึงดูดความสนใจอย่างมากบนเวที
หล่อนจึงได้รับความสนใจอย่างมาก ไม่เพียงเพราะรูปร่างหน้าตาที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เท่านั้น แต่เพราะหล่อนล้มลุกคลุกคลานอย่างหนักกว่าจะมาถึงจุดนี้
ทุกครั้งที่กู่เยี่ยนฝ่าระดับ มันน่าตื่นเต้นจนประทับอยู่ในใจผู้ชม
ท้ายที่สุดแล้วภูมิหลังของหล่อนอ่อนแอเกินไป ยิ่งเข้าแข่งขันบ่อยครั้งแค่ไหนก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น การทำงานหนักระยะสั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อบกพร่องมากมายได้ในพริบตา
ดังนั้นทุกการเลื่อนตำแหน่งจึงดูเป็นเรื่องยากเข็ญ
แม้ว่ากู่เยี่ยนจะเป็นเด็กสาวจากชนบท แต่หล่อนรู้ว่าตอนไหนควรรุกตอนไหนควรถอย หลังจากพูดคุยกับหลินม่ายสองถึงสามคำ หล่อนจึงขอตัวจากไป
หล่อนไม่ได้มีเจตนาประจบประแจงหลินม่ายเพื่อให้เส้นทางการประกวดง่ายดายขึ้น
หลินม่ายละสายตาจากเวที
บนเวที ตู้เจวียนไม่ผ่านเข้ารอบและกำลังร้องไห้อย่างขมขื่น
หล่อนไม่คาดคิดว่าตัวเองจะล้มเหลวในการเลื่อนระดับ แต่มาได้เท่านี้ก็ดีมากแล้ว
แม้ว่าเหมาเซียงเอ๋อร์จะโดดเด่นมากเช่นกัน แต่หล่อนจบการศึกษาชั้นประถมเท่านั้น และแทบอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ กระนั้นรูปร่างหน้าตาของหล่อนอ่อนเยาว์และงดงามกว่า
สิ่งนี้ทำให้ตู้เจวียนเจ็บใจมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะหลั่งน้ำตาออกมาอย่างน่าเวทนา
ในกลุ่มผู้ชม ผู้คนที่สนับสนุนหล่อนล้วนน้ำตาคลอเมื่อได้เห็นเช่นนี้
จากนั้นทางรายการเข้าสู่ช่วงพัก
ตู้เจวียนและผู้สมัครห้าคนในกลุ่มเดียวกันเดินลงจากเวที ขณะที่หล่อนยังคงร้องไห้อย่างหนัก
หัวหน้าแผนกฝูเข้ามาปลอบโยนหญิงสาวและเดินจากไป
สำหรับการประกวดที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ไม่ว่าตู้เจวียนจะยอดเยี่ยมแค่ไหน แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่หัวหน้าแผนกฝูจะให้ความสนใจหล่อนตลอดเวลา เขายังต้องดูแลสิ่งอื่นในเวลาเดียวกัน
หลินม่ายเพิกเฉยต่อตู้เจวียนที่ร้องไห้ฟูมฟาย เธอกำลังพูดคุยกับเจ้าหน้าที่หลายคนที่ดูแลสถานีโทรทัศน์
กงเสวี่ยฉินเดินมาด้านข้างตู้เจวียน หล่อนหยิบผ้าเช็ดหน้าใหม่เอี่ยมออกมาและยื่นให้อีกฝ่าย “หยุดร้องไห้เถอะ เครื่องสำอางบนหน้าเลอะหมดแล้ว”
หลังกล่าวเช่นนั้นหล่อนก็กวาดตามองไปรอบๆ
แม้จะมีผู้คนอยู่บริเวณใกล้เคียง แต่สถานที่แห่งนี้มีเสียงดังเอะอะตลอดเวลา
ตราบใดที่ไม่ได้จงใจแอบฟังสิ่งที่คนอื่นกล่าว พวกเขาก็ไม่มีทางได้ยินบทสนทนาเลย
ดังนั้นกงเสวี่ยฉินจึงกล้าโน้มตัวไปกระซิบข้างหูตู้เจวียน “เธอรู้ไหมว่าทำไมถึงไม่ผ่านการเลื่อนระดับ?”
ตู้เจวียนซับน้ำตาด้วยผ้าเช็ดหน้าพลางเอ่ยถาม “ทำไมเหรอ?”
กงเสวี่ยฉินชี้ไปทางหลินม่ายและพูดว่า “เธอเห็นหลินม่ายไหม?”
ตู้เจวียนมองตามทิศทางนิ้วของอีกฝ่ายและพยักหน้า “เห็นสิ”
จากนั้นจึงถามต่อด้วยความประหลาดใจ “ที่ฉันไม่ผ่านการเลื่อนระดับมีส่วนเกี่ยวข้องกลับหลินม่ายหรือ?”
กงเสวี่ยฉินพยักหน้าและกล่าวคำเบา “ก็ใช่น่ะสิ หล่อนเป็นเถ้าแก่เนี้ยของร้านเสื้อผ้าจิ่นซิ่ว ไม่ใช่ว่าหล่อนสั่งเจ้าหน้าที่ของสถานีโทรทัศน์ให้ปรับเธอแพ้เหรอ เธอเก่งถึงขนาดนี้ มันไม่แปลกเหรอที่ถูกคัดออกแบบนี้? สถานีโทรทัศน์คงไม่มีใครกล้าปลดเธอออกหรอก”
ใบหน้าตู้เจวียนหมองหม่น ถามขึ้นว่า “เธอรู้รายละเอียดพวกนี้ได้ยังไง?”
กงเสวี่ยฉินตอบ “ฉันได้ยินมา”
ตู้เจวียนงงงวยเล็กน้อย “ทำไมหลินม่ายถึงเล็งเป้าหมายมาที่ฉันด้วยล่ะ?”
กงเสวี่ยฉินตอบเสียงเรียบ “ก็เพราะเธอไร้เดียงสาเกินไปน่ะสิ แม้เหตุผลที่หลินม่ายเล็งเป้ามาที่เธอจะไม่ชัดเจน แต่มั่นใจว่ามันจะต้องเป็นการแก้แค้นที่ทำให้หล่อนอับอายในที่สาธารณะในคืนนั้น”
ตู้เจวียนตกตะลึง “ฉันไม่ได้ทำให้หล่อนอับอายในที่สาธารณะ ฉันแค่เข้าใจฉือเหล่ยผิดเองนี่?”
กงเสวี่ยฉินตะคอกใส่ “แม้เธอจะไม่คิดว่าได้ทำให้หลินม่ายอับอาย แต่หากอีกฝ่ายคิดว่าเธอตั้งใจทำแบบนั้นล่ะ?”
ตู้เจวียนนิ่งเงียบ ก่อนหันมองหลินม่ายหลายครั้งด้วยสายเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
ช่วงพักสิบห้านาทีผ่านไปอย่างรวดเร็ว รายการประกวดกลับมาดำเนินต่ออีกครั้ง
ตู้เจวียนและผู้เข้าแข่งขันอีกสี่คนยืนอยู่บนเวที
พิธีกรประกาศว่าผู้เข้าแข่งขันที่ถูกคัดออกสามารถแข่งขันใหม่ได้
ไม่เพียงแต่ผู้เข้าแข่งขันที่ตกรอบเท่านั้นที่สวมกอดกันอย่างตื่นเต้น แต่แม้แต่กองเชียร์ของพวกเขาก็โห่ร้องดีใจ
ในการแข่งขันนั้น ตู้เจวียนไม่เพียงได้รับโอกาสแข่งขันใหม่ แต่ยังผ่านเข้าสู่รอบต่อไปของการแข่งขันอีกด้วย
กองเชียร์ของหล่อนโห่ร้องอย่างกึกก้อง ขณะที่เหล่าช่างภาพร่วมใจกันถ่ายภาพของหล่อน
หลินม่ายหยุดอ่านหลังจากเห็นดังนี้
หันไปบอกหัวหน้าแผนกฝู หลังจากบันทึกรายการเรียบร้อยแล้ว ให้เขาเชิญผู้เข้าแข่งขันและเจ้าหน้าที่จัดทำรายการทั้งหมดไปยังภัตตาคารเพื่อรับประทานอาหารเฉลิมฉลองวันปีใหม่
จากนั้นเธอก็ขับรถกลับบ้านคนเดียว
ปู่ไป๋บอกกล่าวหลินม่ายเมื่อไม่กี่วันก่อน โดยขอให้ปู่ฟาง ย่าฟาง และโต้วโต้วไปที่บ้านเพื่อร่วมรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน
เวลานี้ปู่ฟางและย่าฟางเหน็ดเหนื่อยจากการออกไปซื้อของ แต่ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้ออกไปข้างนอก แต่ก็แทบเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไปร่วมรับประทานอาหารเย็นที่บ้านของปู่ไป๋
มันไม่ใช่เรื่องปกติที่จะปล่อยให้หลานสะใภ้กลับไปยังบ้านของพ่อแม่ตัวเอง ดังนั้นพวกเขาจึงตามเธอไปร่วมรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน
แม้ว่าฟางจั๋วหรานจะต้องศึกษาตำรา แต่เขาไม่กล้าปฏิเสธคำเชิญจากปู่ของภรรยา ดังนั้นเขาจึงติดตามไปด้วยเพื่อให้เกียรติอีกฝ่าย
โต้วโต้วชอบการได้ออกไปเที่ยวเล่น หล่อนจึงไปบ้านปู่ไป๋กับหลินม่ายด้วยความดีใจ
วันปีใหม่ ปู๋ไป๋และภรรยาเชิญลูกชาย ลูกสะใภ้ และลูกหลานทั้งหมด ยกเว้นเพียงแม่ไป๋
หล่อนไม่ใช่สะใภ้ตระกูลไป๋อีกต่อไป จึงไม่แปลกที่ปู่ไป๋จะไม่เชิญมา
ปัจจุบันแม่ไป๋หลัวซินอี๋อาศัยอยู่กับยายหลัวและตาหลัว
แม้ว่าลูกชายกับลูกสาวของยายหลัวและตาหลัว ตลอดจนหลานๆ ล้วนมาที่บ้านเพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ ทำให้ภายในบ้านมีชีวิตชีวาอย่างมาก ทว่าแม่ไป๋กลับรู้สึกเหงาอยู่ในใจ
เพราะพี่น้องล้วนพาครอบครัวมาด้วย ขณะที่หล่อนมาตัวคนเดียว
หล่อนทั้งอารมณ์เสียและเศร้าสร้อยในเวลาเดียวกัน มันเป็นความรู้สึกที่อึดอัดมากจริงๆ
ขณะที่แม่ไป๋ตกอยู่ในความทุกข์ บ้านของปู่ไป๋กลับเต็มไปด้วยความสุขและเสียงหัวเราะ
หลังอาหารเย็น ทุกคนอยู่ในห้องนั่งเล่นพลางพูดคุยกัน
ไป๋ลู่กระซิบข้างหูหลินม่าย “ม่ายจื่อ แม่ต้องการให้ฉันเกลี้ยกล่อมเธอให้ใจอ่อน เพราะอยากอยู่ด้วยกันฉันท์แม่ลูกกับพี่”
หลินม่ายเย้ยหยันในใจ
ครั้งก่อนหน้าแม่ไป๋ใช้ถุงแอปเปิลเพื่อขอให้พี่สาวคนโตไป๋เหยียนมาเกลี้ยกล่อมให้เธอสงบศึก แต่เธอปฏิเสธไป ทว่าอีกฝ่ายไม่ยอมแพ้และส่งไป๋ลู่มาในครั้งนี้
หลินม่ายปฏิเสธทันทีโดยไม่ต้องคิด “เป็นไปไม่ได้ที่คุณหลัวกับฉันจะเป็นแม่ลูกกันอีกครั้ง ให้ตายยังไงก็ไม่ได้!”
ไป๋ลู่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนพูดว่า “แม่ได้รับโทษตามสมควรแล้ว เธอควรกลับไปคืนดีกับแม่นะ”
หลินม่ายถามกลับ “แล้วคุณหลัวได้รับโทษอะไร? ที่หล่อนเพิ่งถูกไป๋ซวงทำร้ายน่ะหรือ? นั่นเป็นความผิดของหล่อนเองที่ตามืดบอดจนไม่รับรู้สิ่งใด ไม่ใช่ผลกรรมที่ปฏิบัติต่อลูกสาวแท้ๆ อย่างเลวร้าย แค่ถูกไป๋ซวงทำร้าย อย่ามาบอกว่ามันเป็นบทลงโทษที่หล่อนเคยทำร้ายฉันเลย บทลงโทษที่หล่อนทำร้ายฉันมันควรมาจากฉันเท่านั้น ฉันไม่ต้องการลงโทษหล่อน เพียงต้องการตัดความสัมพันธ์แบบแม่ลูกกับหล่อนอย่างถาวร ฉันยังใจกว้างไม่พอเหรอ?”
ไป๋ลู่พูดไม่ออกเมื่อถูกอีกฝ่ายถาม
หล่อนกล่าวยิ้มด้วยความรู้สึกผิด “พี่แค่เป็นคนส่งสารน่ะ ถ้าเธอไม่ต้องการก็ลืมมันไปเถอะ ต่อไปพี่จะไม่มาเกลี้ยกล่อมขอให้เธอยกโทษให้แม่อีก”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
บ้านเธอเป็นนักปั่นจักรยานทีมชาติเหรอกงเสวี่ยฉิน ปั่นเก่งนักนะ ขอให้ตกรอบเถอะเพี้ยง
ทำอย่างไรกับม่ายจื่อก็รับกรรมไปนั่นแหละค่ะคุณหลัว
ไหหม่า(海馬)