ตอนที่ 11 ความลับบนเรือนกาย
มู่เทียนซิงเกิดเขินอายขึ้นมา
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับบรรยากาศแบบนี้ ต้องการพูดอะไรบางอย่าง ก็ทำให้คิดถึงคำพูดของแม่ขึ้นมา พูดมากก็ผิดมาก สู้นั่งสงบ ๆ ดีกว่า
“55555”
ในเวลาที่ทุกคนต่างก็รู้สึกอึดอัดและไม่สบายใจ คนที่นั่งอยู่บนรถเข็นกลับหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างมีความสุข
หลิงเล่ยิ้มแล้วดูดีมาก เจิงเชี่ยนและฟางหมิ่นจือที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาต่างก็หลงใหลไปกับรอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นมาแสนนาน
เป็นเวลาเกือบยี่สิบปีที่ไม่ได้ยินเสียงจากปากของหลิงเล่
บรรยากาศแปลก ๆ นี่ประกอบกับความกลัวของทุกคนในเรื่องการเรียนนิติเวชและจิตวิทยาอาชญากรรมของมู่เทียนซิงยิ่งทำให้น่าขนลุขึ้นไปอีก
ฟางหมิ่นจือจับแขนของคุณชายใหญ่ เจิงเชี่ยนเองก็ฝังตัวเองลงกับโซฟามากขึ้น แม้แต่คุณชายทั้งสามคนก็มองไปยังหลิงเล่
“เสี่ยวสื้อ นายกลัวการเรียนของน้องสาวคนนี้ใช่ไหม?” ในที่สุดคุณชายสองหลิงรุ่ยก็เลือกให้มู่เทียงซิงที่สาวราวนางฟ้าอยู่ในฐานะน้องสาวจริง ๆ
แม้ความสวยจะดี แต่แค่คิดถึงวิชาที่เธอเรียน ก็ไม่ใช่ผู้ชายทุกคนจะยิ้มออก
“ในอนาคตเกิดมีปาร์ตี้นัดเจอเพื่อนฝูง แล้วถูกถามว่าภรรยาทำงานอะไร แล้วตอบไปว่าเป็นแพทย์นิติวิทยาที่ชำนาญด้านการชันสูตรศพคนเขาจะไม่กลัวกันหรอ?”
ไม่เป็นมงคลเลย!
มู่เทียนซิงรู้สึกอ่อนไหวขึ้นมาเพราะความเด็กของเธอ
ได้ยินคำพูดของคุณชายสอง เธอก็ขยับเข้าไปใกล้หูของหลิงเล่เพื่อที่จะถามเขา “ฉันทำอะไรให้คุณขายหน้าหรือเปล่า?”
หลิงเล่มองเธอด้วยสายตาที่คาดเดาไม่ได้ แต่เธอก็อดไม่ได้ที่มองเขากลับ
ทันใด้นั้น มือเล็กก็ถูกจับด้วยมืออบอุ่น มู่เทียนซิงมองไปที่มือนั่นถึงเห็นว่าเป็นมือของหลิงเล่ที่ยื่นมาจับมือเธอไว้ เขายังคงไม่พูด ผายมือของเธอขึ้นแล้วเขียนคำบางคำลงไป
“อ๊า ๆ ดูเหมือนเสี่ยวสื้อจะพอใจกับการแต่งงานครั้งนี้นะ” เจิงเชี่ยนมองไปยังนาฬิกาติดผนังแล้วรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ยังพอมีเวลาก่อนทานข้าว เสี่ยวเทียนซิงเองก็มาที่นี่ครั้งแรก ให้น้ากับหมิ่นจือพาเราไปเดินดูรอบ ๆ สวนไหม?”
มู่เทียนซิงมอบไปยังมือที่หลิงเล่ยังคงกุมเอาไว้ “วิลล่าซานติ่งมีทิวทัศน์ธรรมชาติที่ดี น้าเชี่ยนกับพี่สะใภ้ไม่ต้องคอยติดตามหนูหรอกค่ะ หนูจะพาคุณชายสี่ไปเดินเล่นเองค่ะ”
หลิงหยวนพยักหน้า ถ้ามู่เทียนซิงออกไปแล้ว เขากับลูกชายคนเล็กก็ไม่มีอะไรจะพูดด้วยกันอีก จะให้มานั่งอยู่ด้วยกันก็ออกจะอึดอัดไปหน่อย “หนูพาเสี่ยวสื้อไปเดินเล่นเถอะเป็นอีกทางที่ดีต่อการเชื่อมความสัมพันธ์”
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ท่ามกลางดอกไม้และใบหญ้าที่เขียวชอุ่ม บรรยากาศสดชื่น และผีเสื้อสีชมพูที่กระพือปีกบินไปมาอย่างอิสระ แม้จะเป็นหน้าร้อนแต่ลมเย็น ๆ บนเขาก็พัดเอาไอร้อนไปจนหมด
ก้าวเท้าเหยียบไปบนก้อนกรวด มู่เทียนซิงสวมรองเท้าส้นเตี้ยและยังต้องเข็นรถเข็นอีก
ไม่ไกลจากนั้นจั๋วซีมองดูท่าทางเก้งก้างก็พลอยอึดอัดไปด้วยจึงเดินเข้าไปหา “คุณหนูมู่ ฉันช่วยนะคะ”
มู่เทียนซิงยิ้มเขินยอมปล่อยมือจากรถเข็นแล้วไปเดินข้างหลิงเล่แทน “ขอโทษด้วย ปกติฉันไม่ใส่รองเท้าส้นสูงนะ”
เขาเป็นอัมพาตแบบนี้ ในวันแต่งคงจะต้องเข็นรถเข็นให้เขาด้วยหรือเปล่านะ
“ฉันจะไม่ใส่มันอีก ตอนเข็นให้คุณจะได้ไม่เป็นอุปสรรค”
จั๋วซียิ้มออกมาให้กับความน่ารักของคุณหนูมู่
วันก่อนที่คุณชายสี่ให้เขาไปรับคุณหนูมู่ เขาเช็กมาแล้วว่าเธอเรียนมัธยมที่เมือง K เธอชอบข้ามรั้วโรงเรียนออกมาทานอาหารเช้า และเธอกำลังเรียนนิติเวชที่มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ คุณชายสี่รู้มาตั้งแต่แรกแล้ว
และเมื่อครึ่งปีก่อนที่เมืองฉิงเชิงที่เธอมาช่วยคุณชายสี่เอาไว้นั้นก็เป็นอุบัติเหตุ
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่มู่เทียนซิงไม่รู้จักนายน้อยคนอื่น ๆ ของตระกูลหลิง มันเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะร่วมกันแสดงละครฉากนั้น หากจะพูดถึงสถานการณ์ ณ ตอนนั้นคุณชายใหญ่กับคุณชายรองต่างหากที่ต้องการเห็นคุณชายสี่ตายจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะช่วยชีวิตเขา
แต่วันนั้นที่มู่เทียนซิงหนีการแต่งงานนั่นไม่ว่ามันจะจริงหรือแค่ละครฉากหนึ่ง มันก็ยังคงน่าสนใจ
ตอนที่อยู่ที่ห้องโถง จั๋วซีเอาแต่กังวลที่ตัวเองอยู่ห่างจากหลิงเล่มากเกินไป แต่สำหรับมู่เทียนซิงนั้นเขามองอยู่ตลอด เธอคิดว่าถ้าหากคุณชายสี่กับคุณหนูมู่รักกันจริง ๆ พวกเขาจะเป็นคู่ที่มีความสุขขนาดไหน
“ขอบคุณค่ะคุณหนูมู่” จั๋วซีพูดขึ้นมา “คุณชายสี่ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับคุณชายทั้งสี่แล้วก็คุณท่านมานานแล้ว ถ้าเมื่อครู่คุณไปกับคุณหญิงมันจะทำให้คุณชายสี่รู้สึกโดดเดี่ยว”
มู่เทียนซิงมองไปที่หลิงเล่ที่เผยความรู้สึกออกมาแต่เพียงแวบเดียวก็หายไป
เธอยิ้มอย่างสดใส “ให้ฉันไปเดินเล่นกับน้าเชี่ยนและพี่สะใภ้ฉันเองก็จะรู้สึกโดดเดี่ยว ถ้ายังอยู่ที่นั่นทุกคนก็จะเอาแต่พูดเรื่องการเรียนของฉัน มันค่อนข้างอึดอัด ดังนั้น นอกจากคุณชายสี่ที่ไม่สามารถเข้าสังคมนั้นได้ ฉันเองก็เข้าไม่ได้เหมือนกัน สู้ออกมารับอากาศข้างนอกไม่ดีกว่าเหรอ”
สายตาของจั๋วซีส่องประกาย “คุณหนูสี่ คุณฉลาดมาก ฉลาดกว่าคุณหนูทุกคนที่ฉันเคยเห็นมา!”
“แน่นอนอยู่แล้ว! คนแบบฉันน่ะหาได้ยาก” เธอยิ้มกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
จั๋วซีหัวเราะ “คุณชายสี่ของเราเองก็พลังเยอะมาก ฉันกับพี่ชายโตมากด้วยกันคนที่เราชอบที่สุดก็คือคุณชายสี่”
ยังมีอีกคำพูดที่จั๋วซีไม่กล้าพูดออกไป คุณหนูมู่ถ้าคุณสามารถช่วยดึงคุณชายสี่ออกมาจากความมืดนี้ได้ ในไม่ช้า คุณชายสี่จะเป็นคนพาคุณไปพบกับแสงสว่างแน่ ๆ
“แค่ก ๆ” หลิงเล่ไอเบา ๆ จั๋วซีก็ยื่นมือไปปิดปากหลิงเล่ จะดูถูกกันมากเกินไปแล้ว!
มู่เทียนซิงไม่ได้ตั้งใจมองหลิงเล่ เด็กชายอายุสิบเจ็ดที่ถูกครอบครัวทอดทิ้ง เขาเป็นอัมพาตที่ขา และไม่ได้รับการเทคแคร์จากพี่น้องเลย ไม่มีคุณสมบัติที่จะไปดูแลกิจการครอบครัว อยู่แต่บ้านรู้จักแต่คำว่าพักผ่อน ไม่มีอาชีพ ไม่มีความใฝ่ฝัน มีแต่จั๋วซีและจั๋วหรันคนที่น่าชื่นชมที่สุดในตอนนั้น
หรือว่า
หลิงเล่จะมีความลับ?
เธอไม่ต้องการที่จะยั่วยุผู้ชายที่ไม่ควรทำด้วย เพราะเธอไม่อยากใช้ชีวิตกับคนที่ไม่ได้รักกัน ที่แต่งกับเขาเพราะเขาเป็นคนตอบรับเอง เธอจึงคิดว่าการแต่งงานนี้คงจะใช้เวลาไม่นาน มันจะต้องมีทางที่เราสองคนจะเข้าใจกันและกัน
แต่ทั้งสองคนยังไม่ได้คุยกันอย่างตรงไปตรงมา
หรือว่าเขาจะไม่ได้คิดถึงตัวเองเลย?
“หลังทานข้าว เราหาที่สงบ ๆ คุยกันได้ไหม?” ตอนนี้เธอค่อนข้างจริงจังมาก เหมือนลูกกวางขี้ขลาดที่กำลังมองเขาอยู่