ตอนที่ 16 ขี่ช้างจับตั๊กแตน
ดอกไมร์เทิลเครปที่สวยงามพลิ้วไหวและลมก็พัดพรวดพราด
ผ้าม่านสีฟ้าอ่อนคลุมอาฟเตอร์โกลว์ของดวงอาทิตย์ในหน้าต่างตาข่ายสีเบจและเต้นรำด้วยกัน
หลิงเล่นั่งอยู่บนรถเข็นผู้ป่วย สายตาที่มองไปทางไกลอย่างจดจ่อ ได้มีดอกของดอกไมร์เทิลเครปปลิวเข้ามาทางหน้าต่าง หล่นลงบนขาของเขา เขาก็หยิบขึ้นมาหนึ่งใบ มองดูอย่างละเอียด
ดวงตาที่มีเสน่ห์ดึงดูดคน เสมือนกับที่ผ่านมาตลอดที่ลึกอย่างมองไม่เห็น
“พรุ่งนี้ก็เป็นวันที่หยุดพักร้อนของคุณหนูมู่เป็นอย่างทางการแล้ว วันนี้ตอนเย็นเป็นวิชาสอบสุดท้ายของเธอ คนขับรถของตระกูลมู่วันนี้หลังจากที่ได้ไปรับเธอก็ไม่ได้ส่งเธอกลับไปโดยตรง แต่กลับไปที่โรงแรมฉีซิง คุณหนูมู่อยู่ที่นั้น15นาทีแล้วจากไป พี่ชายฉันเคยเข้าไปสอบถาม แต่ว่าก็ไม่ได้ข่าวอะไรเลย”
จั๋วซียืนอยู่ด้านหลังรถเข็นผู้ป่วยสีเงิน รายงานข่าวทุกอย่าง
บนนิ้วมือของหลิงเล่ที่ถือใบของดอกไม้ไว้ก็ได้ปล่อยหล่นลงบนพื้น บนกระดาษที่ขาวก็ได้มีปากกาเขียนลงคำเดียว
สืบ
จั๋วซีขมวดคิ้ว รู้สึกลำบากใจนิดหน่อย:“แต่ว่า ผู้คนก็รับรู้กัน โรงแรมฉีซิงเก็บข้อมูลลูกค้าเป็นความลับที่มิดที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ และเขาก็มีตำแหน่งที่พิเศษไม่เหมือนทั่วไป เกรงว่า”
ยังไม่ทันได้พูดจบคำ หน้าเมื่อกี้ก็ได้ถูกพลิกไปอีกหน้า อีกคำหนึ่งที่อยู่บนกระดาษ
ให้ดี
หลิงเล่หมุนรถเข็นเอง มาตรงหน้าโต๊ะเก้าอี้
ค่อยๆดึงลิ้นชักอันใดอันหนึ่งตรงนั้นออกมา หยิบบัตรสีทองอันเล็กออกมาหนึ่งอันแล้วยื่นให้กับจั๋วซี บ่งบอกว่าให้เขาไปจัดการ
ในขณะที่จั๋วซีได้รับบัตรนั้นมา ดวงตาของเขาก็หดแน่นไปหนึ่งที!
“คุณชายสี่ ใช้อันนี้ มันจะไม่เป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตนหรอครับ?”
นี้เป็นบัตรทองที่คุณหญิงเยว่หยาให้หลิงเล่เองกับมือ ใช้ได้ภายในจักรพรรดิ แต่ก็มีคนส่วนน้อยที่จะได้ครอบครองบัตรทองนี้ไว้
ครั้งก่อนที่คุณชายสี่ได้ใช้งานบัตรนั้น เพราะเพื่อที่จะอัพตำแหน่งการเริ่มต้นของเขา
และครั้งนี้ เพื่อที่จะทราบว่ามู่เทียนซิงไปโรงแรม15นาทีเนี่ยไปทำอะไร?
จั๋วซีรู้สึกรับไม่ค่อยได้เท่าไหร่ ยืนงงอยู่กับที่รู้สึกไม่คุ้มค่าแทนบัตรทองนี้!
หลิงเล่เงยหน้าขึ้น สายตาที่คมบาดจนจั๋วซีเจ็บตาเลยทีเดียว
เขารีบกล่าว:“ผมจะไปจัดการตอนนี้เลยครับ”
หลังจากประมาณ15นาทีผ่านไป จั๋วซีได้โทรสายกลับมา:“คุณชายสี่ครับ คุณหนูมู่มาที่นี้เพื่อที่จะเปิดห้องครับ เธอได้จองห้องเดี่ยวที่พิเศษที่สุดครับ จ่ายมัดจำไว้ไม่น้อยนะครับ ไม่ได้บอกว่าจะอยู่กี่คืน อีกอย่างเวลาที่จะเข้าไปอาศัยอยู่เป็นเวลาประมาณตี2-3ครับผม”
รายงานเรียบร้อย เสมือนกับว่าจั๋วซีกำลังรอคำตอบจากหลิงเล่
แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับวางสายลง ไม่ได้สนใจเขา
ณ ตอนนี้ จั๋วซีจึงจะนึกได้ขึ้นมาทันที ตบลงที่หน้าผากของตนอย่างแรง!
คุณชายสี่เป็นใบ้!
ใบ้!
ใบ้จะพูดยังไงหล่ะวะ?
ย้อนนึกถึงน้ำเสียงที่คมชัดและผสมความอ่อนโยนของหลิงเล่ ครอบตาของจั๋วซีก็ได้แดงขึ้น:ตั้งแต่คุณชายสี่อายุ6ปีหลังจากที่ได้เสียมารดาไป จนตอนนี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถทำให้เขาเอ่ยปากพูดได้ ก็คงมีแค่คุณหนูมู่แล้วหล่ะ
*
น้ำพุทราเย็นวางบนโต๊ะ
มู่เทียนซิงก้าวขาออกก็มุ่งหน้าไป สองมือจับน้ำพุทราไว้ดูดไม่หยุด สายตาของเธอยังกระพริบมองไปบนโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหาร
“ดื่มน้อยๆหน่อย มันเย็นเกินไป เป็นผู้หญิงทานของเย็นเยอะไม่ดีต่อร่างกายนะ!”
มู่อี้เจ๋อมองเธอด้วยความห่วงใยเอ็นดูไปแวบหนึ่ง ก็ได้หยิบตะเกียบขึ้นคีบหูฉลามที่อยู่ตรงหน้าเธอ:“อาทิตย์นี้เอาแต่วุ่นเรื่องสอบอะดิ่ ลำบากแล้วนะ ทานเยอะๆหน่อย!”
มู่เทียนซิงพยักหน้า ใช้มือหยิบหูฉลามมาโดยตรง กัดทานที่ปากอย่างเอร็ดอร่อย
เจี่ยงซินดึงทิชชู่ยื่นให้เธอ บ่นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน:“โตขนาดไหนแล้วเนี่ย ทานอาหารก็ไม่มีมารยาทซะเลย ทำไมใช้มือหยิบไปทานอย่างงั้นหล่ะ?เดือนหน้าก็ต้องหมั้นกับคุณชายสี่แล้วนะ แกเนี่ย มารยาทที่มันควรมีก็ต้องมีบ้าง!”
มู่เทียนซิงหัวเราะแล้วนำทิชชู่มาเช็ดมือ พูดอย่างยิ้มแย้ม:“ทีงี้มากล่าวว่าฉันไม่มีมารยาท ก็ไม่ใช่พ่อกับแม่หรอที่ลำเอียงฉันมาตลอด ?อีกอย่าง งานหมั้นก็อีกตั้งหนึ่งเดือน งานแต่งอีกตั้งสามเดือน ฉันจะเร่งรีบไปทำไมล่าว!ฉันก็แค่ทานข้าวที่บ้านของฉันเอง คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าก็เป็นคุณพ่อคุณแม่สุดที่รักของฉัน ฉันจะแอ๊บไปทำไมหล่ะ!”
น้ำเสียงของยัยตัวแสบนี้เลี่ยนจริงๆ เหมือนกับข้าวเหนียวเลยเหนียวเลี่ยน หวานเข้าไปในหัวใจของสองสามีภรรยาคู่นี้เลยทีเดียว
ถึงจะเป็นอย่างนั้น เจี่ยงซินก็อดใจไม่ไหวที่จะยกมือขึ้น เคาะลงที่ศีรษะของลูกสาวเบาๆ:“อะไรแอ๊บไม่แอ๊บ วันหลังห้ามพูดนะ!แต่งงานไปตระกูลหลิง ระวังคนอื่นเขามาดึงหางม้าของแกหล่ะ!”
มู่เทียนซิงห่วงแต่ทานอาหาร ไม่สนใจใครเลยทั้งสิ้น
พอรับประทานจนเสร็จอิ่ม เธอจับท้องของเธอที่กลมแล้วนั่งพิงบนเก้าอี้อย่างพึงพอใจมาก เหลือบตาไปมองที่นาฬิกาแขวนบนกำแพง กล่าว:“คืนนี้ฉันจะออกไปทำธุระนิดหน่อย น่าจะกลับมาดึกนะคะ”
สายตาของมู่อี้เจ๋อลึกทันที ซักถามด้วยความเป็นห่วง:“ธุระอะไร?”
สีหน้าที่ซื่อสัตย์ของมู่เทียนซิง เธอในปัจจุบัน สำหรับพ่อกับแม่แล้วเธอไม่มีความลับต่อท่านเลย:“พี่เสี่ยวหลงหยุดพักร้อนกลับมาแล้ว ตั๋วรถไฟที่ซื้อกลับมาเป็นเวลาตี1ครึ่ง ช่วงวันหยุดทีไรลูกค้าเยอะมาก เขาซื้อได้แต่ที่นั่งแข็ง!ที่เมืองMเขาไม่มีเพื่อน จึงให้ฉันเปิดห้องให้เขาอะ”
ได้ยินเช่นนี้ มู่อี้เจ๋อสองสามีภรรยาก็ได้ยิ้ม
ตอนที่อยู่เมืองชิงเฉิง บ้านของพวกเขา กับบ้านตระกูลเมิ่งอยู่ตรงข้ามกัน
ทั้งสองตระกูลไม่เพียงแต่เป็นเพื่อนบ้านกัน มู่อี้เจ๋อกับพ่อของเมิ่งเสี่ยวหลง เมิ่งอี้หลั่งยังเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยเด็กๆ
เด็กเมิ่งเสี่ยวหลงนั้น ตอนที่ยังใส่ผ้าอ้อมอยู่ วันๆก็วิ่งมาแต่บ้านของเขา;และยิ่งกว่านั้นคือมู่เทียนซิงตั้งแต่เด็กก็เกาะติดกับสองพี่น้องตระกูลเมิ่งนั้นตลอด เด็กสามคนนี้วันๆก็เอาแต่กระโดดร้นเต้นกันเสียงดังทุกวัน ตอนสมัยอนุบาลยังให้พวกเขาสามคนอาบน้ำด้วยกันที่อ่างใหญ่อย่างโป๊ๆเลย ความสัมพันธ์ที่เหมือนกับพี่น้องที่แท้จริง!
นึกถึงสองพี่น้องนั้นของตระกูลเมิ่ง เจี่ยงซินยิ้มแล้วยิ้มอีก แต่ก็เอ่ยปากพูดด้วยความเอ็นดู:“เสี่ยวหลงเรียนที่สถาบันทหารเมืองB ห่างจากที่นี้ก็หลายหมื่นกิโล แล้วยังได้นั่งเบาะแข็งอีก ต้องทนทั้งวันทั้งคืนถึงจะมาถึงที่นี้ปะ?เด็กนี้ใสซื่อจริงๆ ทำไมไม่โทรมาหาพวกเราหล่ะ เขาสามารถมาพักที่บ้านของเราก็ได้!โรงแรมจะดีเท่าบ้านได้ไงหล่ะ!”
มู่เทียนซิงหัวเราะแล้ว เธอกล่าว:“ฉันก็บอกไปแบบนี้แหละ แต่ว่าเขากลัวว่ามาถึงตอนดึกๆแล้วจะรบกวนเรา เขายังบอกให้ฉันเปิดห้องให้เขา บอกเลขที่ห้องให้เขา เขานั่งแท็กซี่ไปเองก็ได้ เขายังไม่ยอมให้ฉันไปรับที่สถานีรถไฟเลย บอกว่าให้ฉันนอนอยู่ที่บ้านดีๆ ฉันไม่ยอม เขายังบอกว่าเป็นผู้หญิงออกบ้านดึกๆมันอันตราย แล้วก็ยังบ่นฉันอีกเยอะแยะมากมายเลย พูดมากเหมือนป้าข้างบ้านเลย!”
มู่อี้เจ๋อทนไม่ไหว:“ฮ่าฮ่าฮ่า ดึกๆให้คนขับรถส่งแกไปสิ่ นั่งรถไปมากลางค่ำกลางคืนก็เหนื่อยมากพอแล้ว แกไปเนี่ยอย่าไปเซ้าซี้เสี่ยวหลงให้มากหล่ะ รีบให้เขานอนพักผ่อนก่อน”
“รู้แล้วค่า!”มู่เทียนซิงยืนขึ้นแล้วบิดตัวไปมา กลับหลังก็เดินขึ้นไปชั้นบนเลย:“ฉันขอไปนอนทดแทนก่อนนะ!ให้คนขับรถรอฉันที่ลานจอดรถตอนเที่ยงคืนตรงนะคะ!”
“ไปเถอะ!”
หลังจากที่มองลูกสาวเดินขึ้นไปชั้นบน เจี่ยงซินจึงจะมองสามีแล้วกล่าว:“เสี่ยวหลงโตมากับภายใต้สายตาของเรา ไม่ว่าจะนิสัยหรือหน้าตาก็ดีจนไม่มีที่ติ ฉันเห็นเขาเป็นลูกชายแท้ๆมาตลอด เสียดายที่เทียนซิงของเราจะต้องแต่งงานกับคนอื่นแล้ว”
มู่อี้เจ๋อส่ายหัวแล้วกล่าว:“กลัวอะไร ตอนนี้พวกเขาก็ยังเด็กกันอยู่ ผ่านไปสัก3-4ปีเทียนซิงหย่าร้าง แล้วถ้าเธอกับเสี่ยวหลงมีพรมลิขิตต่อกัน สักวันพวกเขาก็จะวนกลับมาอยู่ด้วยกันเอง”