บทที่ 21 มีความสุขจนตาย
“แม่!”
เจี่ยงซินยังไม่ทันได้พูดจบ ก็ได้มีเสียงแทรกเข้ามาแล้ว
สายตาทุกสายตามองไปทางนู้นพร้อมกัน เห็นมู่เทียนซิงตาโตอยู่ตรงนั้น ยืนขึ้นโดยที่ไม่มีความง่วงหลงเหลือเลย เดินเข้าไปใกล้พวกเขา
บนกายของเธอก็ยังคงสวมใส่เสื้อผ้าของเมื่อคืน ผมหางม้าที่ยาวของเธอก็หลวมลง หน้าผากและแก้มก็มีรอยที่นอนหลับเป็นเส้นๆ ดูรวมๆแล้วเหมือนไม่ค่อยมีชีวิตชีวาเท่าไหร่ แต่กลับมีความงดงาม
แต่คำว่างดงามถ้าใช้กับเธอที่อายุ18ปีก็อาจจะดูไม่ค่อยเหมาะกับเธอที่ขี้เล่นคนนี้สักเท่าไหร่
แต่ว่า ใบหน้านั้น หุ่นนั้น ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเทวดาคิดยังไง ถึงได้เอาหุ่นและหน้าตาที่ผู้หญิงหลายๆคนวาดฝันไว้มาให้กับมู่เทียนซิง
เธอมือนึงจับเจี่ยงซิน มือนึงจับเมิ่งเสี่ยวหลง สีหน้าที่มีความเขินอายแล้วพูดว่า:“แม่ เมื่อคืนพี่เสี่ยวหลงสารภาพรักกับฉันแล้ว”
เจี่ยงซินอ้าปากค้าง ในใจดีใจมากๆ
เมิ่งเสี่ยวหลงสัมพันธ์ได้ถึงสายตาที่ชอบใจของเจี่ยงซิน หูแดงขึ้นเรื่อยๆ
เขาคิดไม่ถึงเลยว่ายัยตัวแสบนี้จะพูดออกมาตรงขนาดนี้ เมื่อกี้ฟังคำของเจี่ยงซิน เขาเองยังคิดอยู่เลยว่าจะอธิบายเรื่องระหว่างเขากับเทียนซิงให้เจี่ยงซินฟังยังไง
มู่เทียนซิงควงแขนของเมิ่งเสี่ยวหลงแล้วแกว่งไปแกว่งมา กล่าว:“แม่ เมื่อคืนฉันกับพี่เสี่ยวหลงอยู่ที่โรงแรม ลูกน้องของคุณชายสี่มาเห็นพอดี คุณชายสี่บอกให้จั๋วหรันส่งฉันกลับมา แต่ว่าพวกเราได้ปฏิเสธไป แล้วเรียกรถกลับมา”
“แก!”เจี่ยงซินรู้สึกกังวลใจ
ไปโรงแรมกับผู้ชายที่โตมาด้วยกัน แล้วยังโดนอนาคตว่าที่สามีจับได้อีก นี้มันใช่เรื่องมั้ย?
เดี๋ยวก่อนนะ หลิงเล่ไม่ออกจากบ้านไม่ใช่หรอ แล้วไปบังเอิญเจอพวกเขาที่โรงแรมได้อย่างไร?
ตื่นเช้ามา เสมือนว่าหัวใจทั้งดวงของเธอกำลังนั่งอยู่บนรถแล้วขับผ่านภูเขา เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง เธอจะเวียนหัวเพราะเรื่องของลูกสาวนี้แหละ
ชั้นบน มู่อี๋เจ๋อผูกเนคไทแล้วเดินลงมา
แค่เห็นหน้าของเขา ก็รู้เลยว่ามู่เทียนซิงหน้าตาเหมือนพ่อ
หน้าตาดีเหมือนกัน
เขาเป็นคนตรงๆ อีกอย่างนิสัยของมู่เทียนซิงที่ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน หลักๆแล้วก็คือมู่อี๋เจ๋อเป็นคนเลี้ยงดูมาให้เป็นแบบนี้!
เห็นเมิ่งเสี่ยวหลง มู่อี้เจ๋อหัวเราะฮ่าฮ่า:“แล้วเป็นอะไร เจอก็เจอสิ่!เทียนซิงกับเสี่ยวหลงเป็นเด็กที่จิตใจบริสุทธิ์และโตมาด้วยกัน ใครอยู่บนโลกนี้แล้วไม่มีเพื่อนบ้างหล่ะ?”
“คุณลุงมู่!”เมิ่งเสี่ยวหลงยิ้มแล้วกล่าวทักทายมู่อี้เจ๋อ แต่ว่า คำว่า “เพื่อน”มันทำให้เขาฟังดูแล้วไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไหร่:“คุณลุงมู่ครับ เมื่อคืนเทียนซิงเล่าเรื่องเธอกับคุณชายสี่ให้ผมฟังหมดแล้วครับ ผมคิดว่าการแต่งงานมันเป็นเรื่องใหญ่โตนะครับ ไม่ควรประมาทแบบนี้อะครับ อีกอย่างคุณลุงมู่ครับ ผมจะรักและดูแลเทียนซิงจริงๆนะครับ!”
เขาเห็นตอนที่มู่อี้เจ๋อลงมา เทียนซิงก็ได้บอกไปแล้วว่าเขาได้สารภาพกับเธอไปแล้ว
เพราะฉะนั้นเรื่องทั้งหมด ก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมากมายอีก
อีกอย่าง เมิ่งเสี่ยวหลงก็เป็นเด็กที่ซื่อสัตย์ ยิ่งไปฝึกทหารมาสองปี ก็ยิ่งทำให้เขามีความมั่นคงและโตกว่าเดิมหลายเท่า
เขามองมู่อี้เจ๋อเดินมาข้างๆของเขา เขาก็พูดต่อว่า:“แต่งงานมันก็ง่ายแหละครับ แต่ว่าถ้าสมมุติผ่านไปหลายปีแล้วคุณชายสี่นั้นไม่ยอมหย่าหล่ะครับ?จะให้เทียนซิงไปฟ้องศาลหรอครับ?ต่อหน้าสังคม ประกาศให้ทุกคนรู้ว่าเธอไม่อยากจะเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลหลิงแล้ว ไม่อยากได้ลูกชายของตระกูลหลิงแล้ว เรื่องแบบนี้ที่มันน่าอับอาย ตระกูลหลิงจะปล่อยให้มันผ่านไปง่ายดายแบบนี้หรอครับ?”
ทุกคนได้ฟังต่างก็ตะลึงไปหมด
สิ่งที่เมิ่งเสี่ยวหลงพูดมันก็มีเหตุผลจริงๆ อีกอย่างพวกเขาเองก็ไม่เคยคิดมาก่อน
พวกเขารู้สึกแค่ว่า คุณปู่หลิงน่าจะเข้าใจพวกเขา
แต่ว่าถ้าอีกมุมมองหนึ่ง คุณชายสี่ไม่เหมือนกับคุณชายคนอื่นๆ เขาสองขาพิการ ชีวิตนี้จะหาภรรยาได้มั้ยนั้นก็เป็นปัญหาเหมือนกัน มู่เทียนซิงที่สวยงามเสมือนกับหยกและฐานะตำแหน่งก็ไม่ได้แย่ ดีในระดับหนึ่งเลยแหละ แล้วถ้าแต่งงานไป คุณชายสี่ก็ได้ใช้ชีวิตกับหญิงสาวที่สวยและนิสัยร่าเริงแบบนี้สักไม่กี่ปี พอเวลาผ่านไปหลายปี เขาจะยอมปล่อยเธอไปจากเขาหรอ?
มู่อี้เจ๋อมองเมิ่งเสี่ยวหลงซ้ำๆ แล้วก็มองไปที่มือของลูกสาวที่ควงแขนของเมิ่งเสี่ยวหลงไว้ แววตาของเขาก็ลึกลงไปเรื่อยๆ
เจี่ยงซินก็มีความกลัว:“เสี่ยวหลงพูดได้มีเหตุผลมากเลยนะ ตอนนี้ยังไม่ได้หมั้นเลย ทุกอย่างยังทัน แต่ถ้าอนาคตแต่งงานแล้วหย่ากัน ถ้าเป็นการหย่ากันที่ราบรื่นก็ดี คุณชายสี่กับเทียนซิงก็ต่างคนต่างใช้ชีวิตใหม่ แต่ว่าถ้าคุณชายสี่ไม่ยอมหย่าขึ้นมาละก็ จะให้เทียนซิงไปฟ้องศาลหรือไง?ให้บอกคนทั้งแผ่นดินว่าลูกสาวของตระกูลมู่ไม่ชอบลูกชายของตระกูลหลิงงั้นหรอ?”
มู่เทียนซิงพูดต่อ:“ถึงเวลานั้น ชื่อเสียงหน้าตาหน้าที่การงานของตระกูลเราทั้งหมดก็จะโดนตระกูลหลิงเอาไป เราก็จะหมดผลประโยชน์กับพวกเขา ถึงตอนนั้น คุณปู่หลิงก็ไม่จำเป็นต้องกังวลหรือลังเลอะไรอีกต่อไป พวกเรากล้าทำตระกูลหลิงอับอาย เขาก็กล้าทำตระกูลเราอย่างไม่ไว้หน้าเช่นกัน ทำให้เรารู้ว่าอะไรคือผลที่ได้!”
หลิงหยวนคนนี้นะ แก่แต่เก่ง เรื่องผลกำไรการได้เปรียบเขาถนัดจนโด่งดัง เรื่องของการถีบหัวส่งยิ่งเป็นละครที่เขาถนัดเลย
ช่วงแรกที่มู่อี้เจ๋อมาเมืองMจากเมืองชิงเฉิงแม้ว่าตำแหน่งที่บ้านไม่ได้ต่ำ การพัฒนาก็เป็นไปด้วยดีราบรื่นทุกอย่าง แต่ว่าถ้ามีตระกูลหลิงเป็นครอบครัวเดียวกันอีก อยู่ในสังคม ตำแหน่งก็จะมั่นคงกว่าเดิม
แน่นอนว่าเขาต้องการตระกูลหลิงที่ตำแหน่งใหญ่โตขนาดนี้มาเป็นครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว
แต่ว่าเขาเองก็จะไม่หวังผลประโยชน์นี้แล้วมาให้ลูกสาวเสียสละความสุขทั้งชีวิตของเธอ
พยักหน้า เขายกมือขึ้นลูบผมของลูกสาว ยิ้มแล้วกล่าว:“ไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนนะ ทานอาหารเช้ากันก่อน เรื่องนี้เดี๋ยวค่อยคุยกัน!”
เวลาที่มาก ก็จะสามารถคิดเรื่องให้มันแน่ชัดมากขึ้น
เจี่ยงซินถอนหายใจเบาๆ มองที่เมิ่งเสี่ยวหลง กล่าว:“คุณลุงมู่แกก็พูดแบบนี้แล้ว งั้นแกก็ขึ้นไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนละกัน มีเรื่องอะไร รอทานข้าวเสร็จแล้วเราค่อยมาปรึกษากัน!”
เมิ่งเสี่ยวหลงพยักหน้า ตั้งแต่เด็กเขาก็สนิทกับสองสามีภรรยาคู่นี้แล้ว ดังนั้นจึงรู้จักมู่อี้เจ๋อกับเจี่ยงซินเป็นอย่างดี เขาเชื่อว่าพวกเขาสองคนจะไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ของตนเองแล้วมาทำลายความสุขของลูกสาวแน่นอน
คนดูแลบ้านก็ได้หยิบกระเป๋าเดินทางของเมิ่งเสี่ยวหลงเข้าไปไว้ในห้องนอนแขก มู่เทียนซิงก็ได้กลับเข้าไปในห้องนอนของตน
ผ่านไป——
ในขณะที่มู่เทียนซิงได้เปิดประตูห้องออก ก็เห็นเมิ่งเสี่ยวหลงยืนรออยู่ตรงหน้าประตูห้องเธอ ยิ้มด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่นมาก:“ลงไปกันเถอะ”
แก้มของเธอนั้นแดง
ปลายจมูกได้กลิ่นสบู่อาบน้ำที่หอม เธอมองผู้ชายที่สูงหล่อตรงหน้าเธอ ในใจรู้สึกแค่ว่ามันดีมากหวานไปหมดทั้งใจ
ยัยตัวแสบนี้ไม่ได้เป็นคนที่ขี้อ้อนมาตลอด เมื่อก่อนไม่เคยรู้ว่าในใจของเมิ่งเสี่ยวหลงได้มีตนตั้งนานแล้ว ตอนนี้รู้แล้ว เธอก็ควงแขนของเขาโดยที่ไม่อายเลย แล้วอ้อนเขา:“เมื่อก่อนดูนิยายความรักของผู้หญิงกับผู้ชาย ได้ยินคนอื่นพูดมาตลอดว่าทุกอย่างมันก็ดีแค่ช่วงแรกๆโปรโมชั้นเท่านั้น และสิ่งที่น่าเสียใจก็คือสุดท้ายแล้วคนที่จบกันไปด้วยดีมันก็น้อยมากๆ”
“นั้นมันก็เป็นแค่นิยาย ไม่ใช่ผมกับแกสักหน่อย”
เมิ่งเสี่ยวหลงได้กลิ่นหอมของเส้นผมเธอ ไม่เคยมีความรู้สึกที่พึงพอใจเขาขนาดนี้มาก่อน อยากจะเอนตัวไปจูบที่ผมของเธอ หรือหน้าผากของเธอ แต่กลับกลัวว่าทำแบบนี้บ่อยๆเธอจะตกใจเอา
“พี่เสี่ยวหลง ถ้าเราสามารถอยู่ด้วยกันไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ ชอบกันและกันไปเรื่อยๆเรื่อยๆ ฉันต้องมีความสุขจนตายห่าแน่ๆเลย!”
เธอเอ่ยปากพูดด้วยรอยยิ้มที่น่ารักและสีหน้าแววตาที่ซื่อบื้อมากผสมผสานกับความคาดหวัง
คำพูดที่เพิ่งจบไป เธอก็ได้เห็นผู้ชายคนนั้นที่นั่งอยู่บนรถเข็นแล้วจ้องมองมาที่เธอโดยตรง ทำเธอตกใจจนสะดุ้งไปทีนึง สีหน้าที่มีความสุขก็แข็งอยู่ตรงใบหน้า!