ตอนที่ 52 โลกทั้งโลกกำลังรักแกเขา
หลิงหยวนพูดจบ ไม่รอให้หลิงเล่เปิดปากพูด ก็วางสายเลย!
เพราะว่า หลิงเล่ไม่ต้องการจะพูดอะไร
เขาเป็นใบ้!
เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องเดา ใช้แค่นิ้วเท้าก็รู้ได้เลย ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเมิ่งเสี่ยวหลงที่ตามหาพ่อของเขา และระหว่างพ่อของเขากับหลิงหยวนได้ทำข้อตกลงอะไรบางอย่างกัน ไม่ว่าตระกูลมู่จะได้หรือไม่ได้รับผ้าไหมสีขาวก็แล้วแต่ เพราะตระกูลมู่มองเห็นความสำคัญของความสุขมู่เทียนซิงในอนาคตมากกว่า
โลกทั้โลกกำลังรังแกเขา!
รังแกเขาคือพิการพูดไม่ได้ เดินไม่ได้!
เมื่อคิดถึงมู่เทียนซิง เขาก็ฝันถึงใบหน้าเล็กๆนั้น และคิดเรื่องความรู้สึกระหว่างเธอกับเมิ่งเสี่ยวหลง ซึ่งหลิงเล่ไม่สามารถจะฝืนยิ้มได้ “คุณรู้แค่ว่า คุณเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ต่อสู้กับพวกเราสี่คนไม่ได้ แต่คุณคาดไม่ถึงว่าโลกทั้งโลกกำลังรังแกฉันอยู่ รวมถึงคุณด้วย!”
เมื่อคืน มู่เทียนซิงใช้โทรศัพท์ตั้งนาฬิกาปลุก
เธอรู้ว่าวันนี้เป็นวันครบรอบการถึงแก่กรรมของแม่หลิงเล่ โดยปกติแล้ว เรื่องการทำความสะอาดสุสานนี้ ต้องไปตอนเช้า ดังนั้นเธอไม่กล้ามาสาย
ตื่นเช้ามาก็เริ่มหวีผล ล้างหน้า แต่งตัว
ชุดเดรสกระโปรงสีขาวราวหิมะ ผมยาวดำและตรง บนใบหน้าก็ทามอยส์เจอไรเซอร์เล็กน้อย ดูวัยรุ่นและสวยงาม สีผิวขาวบริสุทธิ์ และจริงๆแล้ว เครื่องสำอางอะไรก็ไม่จำเป็นต้องใช้ก็ได้
เธอเปิดประตูห้องออกมา ก็เจอคู่สามีภรรยาของจั๋วซีกับจั๋วหรันที่เตรียมตัวเสร็จแล้ว
นอกจากนี้ยังมีการจัดเตรียมแชมเปญขวดสีทองหนึ่งขวด น่าจะเอาไปที่สุสาน
“คุณหนูมู่ อรุณสวัสดิ์”
“คุณหนูมู่ อรุณสวัสดิ์”
ทุกคนกล่าวทักทายกับเธอ เธอพยักหน้าเล็กน้อย แล้วมองไปทางห้องหนังสือ และพูดออกไปด้วยเสียงเบาๆว่า “อายังไม่ออกมาเหรอ?”
ฉวีซือเหวินยิ้มเล็กน้อย พร้อมพูดว่า“ซื่อซ่าวอยู่ที่ห้องหนังสือ”
เทียนซิงพยักหน้า แล้วตัวเองก็เดินไป เพื่อประหยัดเวลาในการเคาะประตู จึงเปิดประตูเข้าไปเลย
ภายใต้สายตาที่กำลังประหลาดใจ ในสิ่งที่เธอทำเมื่อกี้นี้ ซึ่งจริงๆแล้วเธอสามารถทำตัวไม่เกรงใจต่อหน้าหลิงเล่ได้ขนาดนี้เลยเหรอ?
นึกขึ้นได้ว่าเขาชอบตัวเอง ดังนั้นจึงสามารถยอมรับได้ที่ตัวเองไม่เกรงใจ และใบหน้าของมู่เทียนซิงแดงเล็กน้อย ซึ่งไม่เพียงแต่ไม่เก็บอาการแต่กลับอยากจะทำตัวไม่เกรงใจเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย โดยเขาจะทำให้เธอเห็นชัดเป็นพิเศษ
“อา”
เธอเห็นเขานั่งอยู่บนรถเข็น และมองไปที่หน้าต่างอย่างใจลอย
ในห้องหนังสือไม่ได้เปิดไฟ มีแค่แสงแดดยามเช้าที่สอดส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา และกระจัดกระจายไปด้วยสีทองเต็มพื้นที่ในห้องนั้น
เธอเดินเข้ามา แล้วในอากาศมีกลิ่นหอมของกาแฟ จึงยิ้มเล็กน้อย“เป็นกลิ่นของลาเต้!”
เขาไม่ขยับ ไม่พูดอะไร และหายใจเอากลิ่นที่กระจัดกระจายไปทั่วตัวและเป็นอันตรายเข้าไป
แต่เธอก็ไม่กลัวอะไรจริงๆ
เมื่อเดินเข้ามา แล้วไม่สนใจว่าเขาจะยอมหรือไม่ยอม และเข็นรถเข็นของเขาออกไปข้างนอก“อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วพวกเราก็ควรจะออกเดินทางกันได้แล้ว!”
หลิงเล่มองอย่างไม่เข้าใจเธอเล็กน้อย
เธอพูดต่อ “สุสานห่างจากที่นี่ไกลไหม? ถ้าหากไกล พวกเราก็ออกเดินทางก่อน อาหารเช้าค่อยซื้อกินระหว่างทาง ไม่ต้องเสียเวลา ตอนฉันเด็กๆอยู่ที่เมืองชิงเฉิง ซึ่งทุกครั้งที่ครอบครัวมีการทำพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษและทำความสะอาดสุสานจะรีบทำให้เสร็จก่อนเที่ยง”
เขาเงียบไม่พูดไม่จา และหลังจากที่ปล่อยให้เธอเข็นมาถึงห้องนั่งเล่น จึงจับมือเธอขึ้นทันที
เธอหยุดทันที “อา?”
หลิงเล่มองจั๋วซี ด้วยสายตาที่ตำหนิ
จั๋วซีรีบเดินเข้าไป แล้วเอารถเข็นจากมือของมู่เทียนซิงมา“คุณหนูมู่ ผมเข็นเอง!”
มู่เทียนซิงกังวลเล็กน้อย แล้วเดินไปรอบๆด้านหน้าของหลิงเล่ และมองเขา“เป็นอะไรไป?”
ในที่สุดเขาก็เงยหน้าขึ้นแล้วมอง โดยใช้สายตาราวกับว่าสงสารเธอ แล้วเอียงตัวกับรถเอ็นไปหยิบกระดาษกับปากกาออกมา เขียนคำคำหนึ่งลงไป แล้วยื่นไปให้จั๋วหรัน
จั๋วหรันเดินเข้าไปรับมา และเห็นคำนี้
แยก
ทุกคนตกใจ!
แม้แต่มู่เทียนซิง ก็ยังตกอยู่ในความหวาดกลัวนี้!
จั๋วหรันมองหลิงเล่อย่างงงวย“ซื่อซ่าว?”
หลิงเล่ชายตามองไปอย่างรวดเร็วและดุดัน จั๋วหรันรู้สึกไม่สบายอกสบายใจในทันที
มองมู่เทียนซิงอย่างรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย แล้วเขาก็หยิบเอกสารรับรองของเธอจากกระเป๋า และยื่นให้เธอ“คุณหนูมู่ ฉันจองตั๋วเครื่องบินนี้ให้ท่าน ให้อาซือไปส่งท่านกลับบ้านตระกูลมู่นะ”
มู่เทียนซิงไม่เข้าใจ
เธอมองจั๋วหรัน และหันไปมองหลิงเล่ แล้วใช้มือหนึ่งเข็นหลิงเล่อย่างร้อนรนและกระวนกระวายใจ“อา เป็นอะไรไป?”
เมื่อก่อนเก็บกระเป๋าเดินทางให้เธออย่างดี ไม่ใช่เพราะว่าคุณอยากจะพาเธอมาทำความสะอาดสุสานด้วยกันหรอกเหรอ?
ทำไมเธอต้องกลับไปก่อน?
หลิงเล่เก็บมือของตัวเอง แล้วไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ และมีลมหายใจที่ดูเย็นชาเล็กน้อย
ฉวีซือเหวินเดินเข้าไปดึงมู่เทียนซิงมา พร้อมพูดว่า “คุณหนูมู่ พวกเราฟังซื่อซ่าวแล้วกลับไปเมือง M ก่อน แล้วค่อยว่ากัน ไม่ใช่ว่าคุณอยากจะกลับบ้านและคิดถึงแม่มากๆ มาโดยตลอดหรอกเหรอ?”
มู่เทียนซิงไม่สนใจ และเดินอ้อมฉวีซือเหวินไปเล็กน้อย แล้ววิ่งไปนั่งยองๆตรงหน้าหลิงเล่ และมองเขาอย่างจริงจัง “คุณอา ทำไมอยากให้ฉันกลับไปก่อน? ทำไมส่งฉันกลับบ้านตระกูลมู่?”
ผู้ชายคนนี้ ไม่ใช่ว่าพยายามคิดหาทุกวิถีทางเท่าที่จะคิดได้ เพื่อให้มาผูกมัดกับตัวเองและอยู่ข้างๆเขาหรอกเหรอ?
หลิงเล่มองเธอด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า“มู่เทียนซิง สนุกมากใช่ไหม?”
เธอสับสนเล็กน้อย“หมายความว่ายังไง?”
“เมื่อคืนคุณคุยโทรศัพท์กับเมิ่งเสี่ยวหลง เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เขาจะไม่บอกคุณเหรอ? พวกคุณ คุยด้วยกันเป็นสิบนาที แล้วโดยปกติแล้วเรื่องที่ได้เจอมา ก็ควรจะพูด ซึ่งเขาก็บอกคุณไปหมดแล้ว”
หลิงเล่จ้องเธอ แล้วพูดต่อว่า“ดังนั้น ในเมื่อคุณก็รู้แล้วว่าตระกูลของพวกเราสองคนได้ยกเลิกงานหมั้นแล้ว และยังอยากจะไปทำความสะอาดสุสานเป็นเพื่อนผม ทำเพื่ออะไร? สนุกมากไหม?”
ทุกคนตกใจอีกครั้ง!
มู่เทียนซิงมองเขาด้วยใบหน้าที่สับสน และไม่รู้ตัวว่ามือเล็กๆกำลังจับมือใหญ่ๆเอาไว้แน่นมากๆ
งานหมั้น ยกเลิกแล้ว?
ตัวเองที่เฝ้ารอการยกเลิกงานหมั้นมาตลอด และตอนนี้ก็ยกเลิกแล้วจริงๆเหรอ?
“ฉัน ฉันไม่รู้จริงๆ เมื่อคืนตอนคุยโทรศัพท์กับพี่เสี่ยวหลง คุยกันแค่เรื่องน้องสาวเขาจะกลับมาแล้ว และคุยกันเรื่องจะไปเที่ยวประเทศอินเดียด้วยกัน เรื่องการถอนหมั้นฉันไม่รู้จริงๆ! ฉันไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่าง!”
“ยังเสแสร้ง?”
“จริงๆ! อา จริงๆ คุณเชื่อฉันนะ ฉันไม่รู้เรื่องจริงๆ!”
“ไม่ว่าจริงหรือไม่ เรื่องพวกนี้ไม่ได้สำคัญอะไรแล้ว”
สายตาของหลิงเล่ เหมือนกันตอนที่เจอเธอครั้งแรกเลย น่ากลัวมาก“สิ่งสำคัญคือ ตอนนี้พ่อของฉันได้บอกให้ฉันรู้แล้ว ไม่ต้องขอคุณแต่งงานแล้ว เพราะว่าตระกูลเมิ่งกับเขาได้พูดกันตกลงกันแล้ว แล้วคุณก็เป็นสะใภ้ของลูกชายตระกูลเมิ่งน่าจะรู้ก่อนหน้านี้แล้ว และพ่อของฉันกับพ่อของเมิ่งเสี่ยวหลงได้ตกลงกันและมีความเห็นตรงกัน ซึ่งตอนนี้ คุณสามารถออกไปได้แล้ว”
มู่เทียนซิง“.”
รอบๆดวงตาแดงเล็กน้อย เหมือนจะร้องไห้
เธอยังคงนั่งยองๆอยู่บนพื้น และกุมมือของเขาไว้ นิ่งไม่ขยับเหมือนกันรูปปั้นประติมากรรม
หลิงเล่มองเธอ ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป
เวลาผ่านไปนาทีต่อนาทีและวินาทีต่อวินาที ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ลำบากมากๆ
ทันใดนั้น เธอก็พูดว่า“คุณ แต่ว่าอาชอบฉันไม่ใช่เหรอ?”
หลิงเล่จ้องเธอ แล้วพูดว่า“พวกนี้ไม่สำคัญอะไร ตอนนี้ คือเมิ่งเสี่ยวหลงไม่ให้ฉันชอบคุณ”
มู่เทียนซิงอ้าปากค้าง แต่ไม่รู้จะพูดอะไร
มือใหญ่ๆที่จับไว้แน่นโดยตลอดจู่ๆก็ใช้แรงดึกมือออกไปจากตัวเอง และเธอก็กำไว้แน่น แต่ไม่ทัน!
มองมือทั้งสองของตัวเองที่วางตัวไม่ถูกในบรรยากาศนี้ ซึ่งเธอก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง แล้วน้ำตาก็ค่อยๆไหลออกมา