บทที่ 109 บีบบังคับ
เก้าโมงกว่าๆ แสงแดดอันร้อนแรงได้ส่องทะลุผ่านผ้าม่านเข้ามาในห้อง มู่เทียนขยี้ตาด้วยความขี้เกียจแล้วก็ลุกขึ้น
เมื่อมองไปยังห้องที่เคว้งคว้าง เธอก็ขึ้นได้นึกถึงเรื่องเมื่อคืน ทันใดนั้นก็รู้สึกอับอายและรำคาญขึ้นมาอีก เธอรีบไปอาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย แล้วก็หยิบชุดกระโปรงสีขาวที่มีสีฟ้าแวววาวออกมา คอเสื้อเป็นคอวี โชว์หลังเล็กน้อย ส่วนกระโปรงข้างหน้าสั้นข้างหลังยาว ท่อนบนเป็นผ้าไหมแท้ ส่วนท่อนล่างเป็นผ้าสีขาวแบบเจ้าหญิง ส่วนทรงผมเธอผูกผมแล้วปล่อยผมข้างหูออกมาเล็กน้อย
บนใบหน้านอกจากครีมบำรุงผิว บนหน้าของเธอก็ไม่ได้แต่งอะไรเพิ่ม ผิวหน้าขาวแบบธรรมชาติ มองยังไงก็น่าหลงใหล
ตอนที่เปิดประตูใหญ่ออกมา เมื่อเธอมองไปข้างหน้าก็เห็นฉวีซือยืนอยู่ที่ตรงหน้าประตู เหมือนกับกำลังรอเธออยู่
“คุณหนูมู่ ตื่นแล้วเหรอคะ”
“อืม”
“วันนี้คุณซือซ่าวมีธุระ กว่าจะกลับมาก็คงดึก ฉันทำซุปไว้ให้คุณแล้ว คุณจะลงไปทาน หรือให้เอาขึ้นมาคะ”
“ฉันลงไปทานดีกว่า”
“ค่ะ!”
มู่เทียนซิงไม่ได้ถามว่าเธอทำซุปอะไรให้เธอทาน เพราะเธอชื่นชอบฝีมือการทำอาหารของเธอเป็นอย่างมาก อีกอย่างอาหารของคฤหาสน์จื่อเวย ก็เป็นอาหารที่เธอชอบทานอีกด้วย ถึงเธอไม่เอ่ยปาก ก็รู้ดีว่าทุกคนคนจงจะช่วยทำอย่างเต็มที่เพื่อเธอ ก่อนลงไปข้างล่าง เธอวิ่งไปหาเจินเจินที่ห้องโถง เจินเจินกำลังขดตัวนอนอยู่ที่ในมือของสาวคนใช้ มันกำลังดูดนมจากขวดอยู่ พอเห็นมู่เทียนซิน มา มันก็เรอออกมาอย่างสบายใจ มันหรี่ตาลง เหมือนกำลังยิ้มให้เธอ แล้วก็ดูดนมต่อ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นคนแปลกหน้าในคฤหาสน์จื่อเวย
แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับรู้ดีว่าเธอคือใคร แถมยังก้มหน้าเคารพเธออีกด้วย “สวัสดีค่ะคุณหนูมู่” มู่เทียนซิงพยักหน้า แล้วมองไปที่กระป๋องอาหารแมว เธอนั่งยองลงแล้วหยิบมาดู ข้างบนเขียนว่า: ลูกแมว
“มันกินอาหารกระป๋องได้แล้วเหรอ”
“ใช่แล้วค่ะ คุณหนูมู่ เมื่อวานตอนที่พาเจินเจินไปฉีดวัคซีน สัตวแพทย์บอกว่า เจินเจินสามารถกินอาหารกระป๋องที่เป็นซอสเนื้อสำหรับลูกแมวได้แล้ว
“อืม”
“คุณมู่อยากเล่นกับเจินเจินเหรอคะ อีกสักครู่ถ้ามันกินอิ่มแล้ว ฉันจะแปรงขนตัดเล็บให้มัน แล้วค่อยเอาไปส่งให้คุณ”
“ได้ ฉันอยู่ชั้นล่างนะ รบกวนคุณหน่อยนะ”
“ไม่ต้องเกรงใจค่ะคุณหนูมู่”
หลังจากที่มู่เทียนซิงเดินลงไปชั้นล่าง ฉวีซือก็เดินมาพร้อมถาดอาหาร ข้างในมีหม้อตุ๋นขนาดเล็ก แล้วก็ถ้วยกระเบื้องสีขาวขนาดเล็กกับจวักตักซุป มู่เทียนซิงรีบคว้าเก้าอี้และนั่งลงอย่างรวดเร็ว พูดแบบรอไม่ไหวว่า “หอมจังเลย!”
ฉวีซือยิ้มแล้วพูดว่า “ยังไม่ได้เปิดฝาหม้อตุ๋นเลย คุณก็ได้กลิ่นหอมซะแล้ว คุณก็ชมฉันมากเกินไป ”
ระหว่างพูด เธอเอาผ้าสีแดงห่อฝาหม้อไว้ แล้วหันหลังไปแง้มฝาหม้อ ไล่ความร้อนออกจากซุป ก่อนที่จะเปิดฝาออก
ฉวีซือดูแลเอาใจใส่เธอเป็นอย่างดี เพราะกลัวว่าเธอจะร้อนเอา และก็เพราะว่าอยากทำให้มู่เทียนซิงรู้สึกอบอุ่น เขาหยิบชามใบเล็กมาตักซุปให้กับมู่เทียนซิงแล้ววางไว้ตรงหน้าเธอ “คุณหนูมู่ ค่อยๆทานนะคะ ถ้าอยากทานอะไรอีกก็บอกได้นะคะ” นี่คือซุปแม่ไก่แก่ตุ๋นเก๋ากี้และเอียะบ้อเช่า
ฮอร์โมนเอสโตรเจนในแม่ไก่สามารถเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ของผู้หญิงได้และการรวมกันระหว่างเอียะบ้อเช่ากับเก๋ากี้สามารถช่วยเรื่องของการปรับประจำเดือนได้ ดังนั้นซุปนี้ จึงเหมาะที่สุดสำหรับหญิงที่เตรียมจะมีครรภ์
ฉวีซือนึกถึงเรื่องที่มู่เทียนซิงเจ็บป่วย เธอคิดว่าร่างกายของมู่เทียนซิงอ่อนแอเกินไปดังนั้นเธอจึงเพิ่มเห็ดที่หายากลงไป เพื่อช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้เธอ
ในความเป็นจริงแล้ว ฉวีซือไม่รู้สาเหตุที่มู่เทียนซิงป่วย ที่แท้จริงเป็นเพราะหลิงเล่ออกมาจากห้องกลางดึกและไม่ได้สนใจเธอ ส่วนตอนนอนเธอก็เตะผ้าห่มออกโดยไม่รู้ตัว เลยถูกลมหนาวพัดทั้งคืน ผู้ชายที่ถูกลมเย็นพัดกลางดึกก็ยังเป็นหวัดเลย นับประสาอะไรกับเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างมู่เทียนซิง
เมื่อเห็นมู่เทียนซิงกำลังทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ฉวีซือก็ยิ้มและเริ่มคิดในใจว่าเธอควรสั่งชุดคลุมท้องแบบสบายๆ มาให้คุณหนูมู่ดีหรือไม่ หรือถึงเวลาแล้วที่จะต้องเชิญนักออกแบบให้ออกแบบห้องเด็กก่อน ตกแต่งห้องล่วงหน้า รอให้ร่องรอยของกลิ่นและก๊าซที่ไม่ดีต่อร่างกายออกไปจากห้องให้หมด ถึงเวลานั้นนายน้อยก็คงจะเกิดพอดี
เธอคิดไปเรื่อยเปื่อย ได้ไม่สนใจสิ่งที่มู่เทียนซิงพูด จนกระทั่งมู่เทียนซิงพูดออกมาว่า
“พี่อาซือ!”
“อะแฮ่ม ฟังอยู่ค่ะ คุณหนูมู่มีอะไรให้รับใช้ค่ะ.
มู่เทียนซิงยิ้ม “คุณกำลังคิดอะไรอยู่เหรอ เห็นคุณแอบยิ้ม เหมือนคนโรคจิตเลย!”
อาซือยิ้ม “ไม่ค่ะ ไม่ได้คิดอะไร”
มู่เทียนซิงชอบดื่มซุป แต่ตั้งแต่ยังเด็กจนโตเขามักจะทานซุปไก่ตุ๋นเห็ด ซุปฟักทอง ซุปเนื้อวัวมันฝรั่งและอื่น ๆ ส่วนซุปจีนแบบนี้ ไม่ค่อยมีโอกาสได้ทาน เพียงแค่ชิมรสชาติของซุปที่อร่อยและมีกลิ่นหอม เธอก็ไม่สามารถทนได้ ในไม่ช้าเธอก็ทานซุปในหม้อตุ๋นจนหมด เหลือแต่เพียงกระดูกไก่ที่ทิ้งไว้อยู่บนจาน ซึ่งนั่นก็คือเศษอาหาร
ฉวีซือมีความสุขมากเมื่อได้เห็นเธอลูปไปที่พุงป่องๆนั้น ราวกับว่าในนั้นมีสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ น้อย ๆอยู่
มู่เทียนซิงเลียริมฝีปากอย่างพึงพอใจ และชมว่า“ ซุปนี้อร่อยมาก ไก่ก็รสชาติดี!”
“ถ้าคุณมู่ชอบ วันหลังฉันจะทำสูตรอื่นๆให้ ให้คุณหนูและนายน้อยทานจนอวบอ้วน
“ทำให้คุณเหนื่อยแล้ว“
“ไม่เป็นไร มันคือหน้าที่ของฉัน”
มู่เทียนซิงลุกขึ้น และพบว่าสาวใช้คนก่อนอุ้มเจินเจินลงมายืนรอเธออยู่ที่หน้าประตูห้องอาหารแล้ว เธอหรี่ตาลง อุ้มเจินเจินมา แล้วพูดว่า“ เธอไปทำงานเถอะ ฉันเล่นกับเขาสักพัก แล้วเดี๋ยวจะส่งกลับไป”
“ได้ค่ะ”
ฉวีซือกลับไปที่ห้องครัว คนรับใช้ผู้หญิงก็ลงไปแล้ว
มู่เทียนซิงอุ้มเจินเจินเข้าไปในห้องโถง เงาของเธอเคลื่อนไหวไปมาภายในบ้านที่แสนจะโล่งและว่างเปล่า ทันใดนั้นเธอก็คิดถึงหลิงเล่ แต่เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืนเธอก็รู้สึกอายไม่กล้าที่จะเจอหน้าเขา ทั้งคนทั้งแมวเล่นอย่างมีความสุข เธอนึกสนุก อยากรู้ว่าเจินเจิน แมวตัวเล็กนี้จะกลัวลิฟต์ไหม ดังนั้นเธอจึงอุ้มเจินเจินเข้าไปในลิฟต์และวางมันไว้ที่พื้น เธอกำลังจะกดที่ชั้นสอง แต่พบว่ามีในลิฟต์ยังมีปุ่มกดชั้น-1
นี่มันอะไรกัน
คฤหาสน์นี่ก็อยู่ติดพื้นแล้ว แถมพื้นดินด้านนอกก็ยังเรียบเตียนอีก มีสนามหญ้า มีต้นยี่เข่ง และยังมีคฤหาสน์หลังอื่น ๆอีก
จะมีชั้น -1ได้ไง
หรือว่าจะเป็นห้องใต้ดิน
เพราะความอยากรู้อยากเห็นมันบีบบังคับ เธอเลยขึ้นลิฟต์ไป มู่เทียนซิงคิดในใจ ลองกดชั้น-1 เล่นๆ ลงไปดูว่ามีอะไร ถ้าไม่มีอะไรน่าสนุก ก็ค่อยขึ้นลิฟต์กลับมาก็ได้
นิ้วมือขาวๆของเธอกดไปยังปุ่มชั้น-1
เธอใจจดใจจ่อมองลงไปยังเจินเจินที่ขี้อ้อนที่อยู่ตรงเท้าของเธอ มันรออย่างนิ่ง ๆ