ตอนที่ 131 แสดงฤทธิ์เดช
หลังจากที่หลิงเล่ส่งไป ก็รอแบบเงียบๆไปสักพัก
ระหว่างท้องฟ้ากับแผ่นดินนี้ ทุกอย่างในสายตาเขาว่างเปล่าไปหมดแล้ว ในโลกของเขานั้นเหลือเพียงแค่โต๊ะอาหารที่อยู่ข้างหน้าเขา กับมือถือที่อยู่บนโต๊ะ
ฉวีซือมาคุยกับเขา เขาทำแค่ไม่สนใจ
กาแฟที่อยู่ด้านซ้ายมือนั้น เติมใหม่แล้วหนึ่งรอบ แล้วเย็นลงอีกรอบ
ก็เหมือนกับใจของเขา จากที่อุ่นขึ้นเนื่องจากความหวังกับจินตานการ เย็นลง แล้วอุ่นขึ้นใหม่ด้วยความกล้า แล้วเย็นลงอีกรอบ……
จั๋วซียืนอยู่ด้านหลังเขา แล้วเรียกด้วยเสียงเบาว่า:”ซือซ่าว สายๆยังจะมีประชุมเรื่องที่จะซื้อบริษัทหลิงหวินกรุ๊ปอยู่นะ”
บริษัทหลิงหวินกรุ๊ป คือรากฐานที่ตระกูลหลิงใช้ตั้งตัวตลอดร้อยปี
ภรรยาของหลิงหยวนแต่งคนแล้วคนเล่า ลูกชายก็คนแล้วคนเล่า ทำให้แม่ลูกหลิงเล่ไม่เคยได้มีชีวิตอยู่แบบสงบ ความเจ็บปวดของเมื่อก่อนกดใจของหลิงเล่ไว้อย่างหนักแน่น เขาอยากลงมือมาตั้งนานแล้ว
เมื่อวานตอนที่ผลของการตรวจDNAออกมา จั๋วซีก็รู้ว่า ซื้ซ่าวต้องแสดงฤทธิ์เดชแน่นนอน!
และในตอนนี้ หลิงเล่ไม่ได้ยินคำพูดของจั๋วซีทั้งนั้น
แค่นั่งแบบนี้จนแผ่นดินสลาย เขาไม่ขออย่างอื่น ขอแค่แม่แท้จะตอบเขาว่า”พบ”
ก็แค่คำคำเดียว ทำไมถึงพูดออกยากขนาดนี้ละ?
เวลาทั้งบ่ายนั้น ก็หายไปแบบนี้แล้ว ฉวีซือเข้ามา ก็ถามด้วยความเป็นห่วงว่า:”ซือซ่าว มื้อเย็นอยากกินอะไร?ไม่ได้กินหมี่ตั้งนานแล้วนะ สปาเกตตี หมี่แห้ง หมี่แห้งกระทะ หมี่น้ำหรือหมี่ทำมือ?ฉันจะไปทำให้คุณค่ะ!”
หลิงเล่ไม่พูด
เขากลายเป็นหินไปแล้ว
จั๋วซีมองดูเขา เขาเหมือนกับหุ่นขี้ผึ้งในพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งของเมดูซ่า มองดูมือถือนั้นเสมือนว่าไม่กระพริบตาเลย ดื้อรั้นจนทำให้คนที่เห็นทั้งอารมณ์เสียทั้งรู้สึกเจ็บใจ!
เวลาช่วงค่ำหนีหย่าจูนก็พาเด็กสาวกลับมาด้วยความดีใจ
พวกเขาเดินเข้าประตูด้วยความยิ้มแย้ม ก็เห็นหลิงเล่นั่งนิ่งอยู่บนรถเข็น สายตาจดจ่ออยู่กับมือถือ
บนใบหน้าสดใสของหนีหย่าจูนมีความตกใจนิดๆ มองจั๋วซีแวบหนึ่ง:”ไม่ใช่ว่าเขานั่งแบบนี้มาทั้งวันแล้วนะ?”
มู่เทียนซิงวิ่งเหยาะๆเข้าไปแล้ว
จั๋วซีพูด:”ก็นั่งมาทั้งวันแล้วนะ?”
ฉวีซือกรอบตาเริ่มแดงแล้วเสริมอีกประโยคว่า:”ทั้งวันแล้ว ไม่ดื่มน้ำสักหยด และไม่ได้กินอะไรด้วย จ้องมือถืออยู่เช่นนั้น เหมือนกับว่าจ้องมือถือแล้ว จะกินอิ่มดื่มอิ่มซะอีก”
จั๋วซีพูดอีกว่า:”ที่บริษัทยังมีเรื่องที่ให้จัดการอีกเยอะ ฉันรับไปแล้วหลายสาย แต่ว่าซือซ่าวก็ไม่มีปฏิกิริยาเลย”
หนีหย่าจูนไม่รู้ว่าต้องพูดยังไง มองดูสภาพน่าสงสารของหลิงเล่แล้ว เดินเข้าไป สังเกตได้ว่าขนาดเด็กสาวคุยกับเขา เขายังไม่สน!
“คุณลุงค่ะ คุณดูฉันสิ หิวมั้ย?พวกฉันกินข้าวด้วยกันนะ คุณอยากกินอะไร?”
หลิงเล่ไม่ตอบสนอง
แขนของเด็กสาวก็กอดคอเขาไว้ แล้วจุ๊บลงบนหน้าผากของเขา:”คุณลุงคนดีค่ะ พวกฉันกินไปรอไป ดีมั้ยค่ะ?”
มองดูเขาเช่นนี้ ในใจของมู่เทียนซิงรู้สึกไม่สบายใจ
เธอเริ่มรู้สึกผิดแล้ว
ถ้าเมื่อคืนเธอไม่พูด ลุงก็คงไม่ถามพี่หย่าจูนแล้ว เป็นเช่นนี้ ในใจของลุงไม่แน่ใจว่าใครเป็นแม่แท้ แล้วก็ไม่จิตนาการด้วย แล้วจะไม่มีความหวัง แล้วจะไม่เป็นเช่นนี้ด้วยแน่นอน
หลิงเล่ไม่ตอบสนอง
แสงไฟที่เจิดจ้าสดใสนั้น ส่องลงบนใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา แต่ว่าสายตาคู่นั้น มีแต่ความโศกเศร้า
คนที่สดใสดั่งดวงจันทร์นั้น แต่ก็ทำเป็นไม่มีเรี่ยวแรง
มองดูฉากนี้แล้ว มีความรู้สึกเหมือนกับว่าอยากทำอะไรแต่ก็ทำไม่ได้ยังไงอย่างนั้น
หนีหย่าจูนเดินเข้าไปแบบก้าวขาใหญ่ มีความหงุดหงิดหน่อย:”คุณถึงกับต้องหดหู่ขนาดนี้เลยหรอ?ถ้าเด็กกำพร้าทั้งโลกเหมือนกับคุณ งั้นก็คงโดนคนหยอกล้อเลยละสิ?ไม่ใช่ว่าบอกไซต์แหวนให้เธอแล้วหรอ?เธอไม่ตอบก็ไม่ตอบสิ!ถ้าคุณยังรอไปแบบนี้ เรื่องทั้งโลกนี้ก็ไม่ต้องสนแล้ว คนทั้งโลกคุณก็ไม่ต้องสนแล้ว คุณจะกระหายตายหิวตายเหนื่อยตายก็ชั่ง!ถึงตอนนั้นใครส่งข้อความมาถึงคุณ คุณก็มองไม่เห็นแล้ว!เจ้าโง่!”
“พี่หย่าจูน!ลุงก็ไม่สบายใจมากแล้วคุณไม่ต้องว่าเขาเช่นนี้แล้ว!”
มู่เทียนซิงลุกขึ้น จ้องเขาด้วยใบหน้าที่โกรธ:”คุณกล้าต่อว่าเขาอีก ฉันจะไม่ไยดีกับคุณแล้วนะ!”
เด็กหญิงที่อ่อนโยน แล้วเสียงก็ยังหวานเหมือนวีปครีมอีก เธอกลัวว่าตัวเองจะไม่มีความน่าเกรงขาม จึงทำท่าถกแขนเสื้อขึ้น ทีท่าจะมากเกินไป เลยดูไม่ค่อยสมจริง แล้วกำหมัดเล็กๆ มือหนึ่งเท้าเอว อีกมือหนึ่งก็ทำท่าจะต่อยเขา คางเล็กๆนั้นเงยขึ้น เหมือนกับว่าทำเช่นนี้แล้วจะดูใหญ่ขึ้น!
มองดูเด็กสาวปกป้องหลิงเล่ขนาดนี้ คนทั้งบ้านก็อดที่จะรู้สึกเอ็นดูขึ้นมาไม่ได้
หนีหย่าจูนก็หายโกรธลง แล้วยิ้มแห้งพลางสายหัวว่า:”เจ้าเด็กสาว คุณนี้อย่างกับของดีเลยนะ แต่ของดีแบบคุณ จะทำให้คุณลุงบ้านคุณปริปากพูด หรืออ้าปากรับประทานอาหารมั้ย?”
ดั่งที่ฉวีซือพูด ทั้งวันนี้หลิงเล่ไม่ดื่มน้ำสักหยดเลย
ใจของมู่เทียนซิงก็เริ่มวางลง ลดทีท่าที่คิดเองว่าเกรี้ยวกราดลงแล้วหันไปมองหลิงเล่ มองอยู่เช่นนั้น รู้สึกไม่สบายใจมาก
ทันได้นั้น เสียงกริ่งข้อความก็ดังขึ้น!
หน้าจอตรงบนโต๊ะอาหารสว่างแล้ว!
สายตาทั้งหมดก็กวาดไปพร้อมกัน บนใบหน้าของทุกคนล้วนรู้สึกตื่นเต้น!
ตาที่หม่มหม่องของหลิงเล่นั้น ก็รู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมา สายตาดูมีชีวิตขึ้น ทั้งคนก็รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้น แขนยาวยื่นออกไป ก็คว้ามือถือกลับ เขาจ้องดูตัวหนังสือบนนั้นแบบไม่ละสายตา!
ขณะเดียวกันมู่เทียนซิงกับหนีหย่าจูนก็เอาหัวเข้ามาใกล้
สามคนของตระกูลจั๋วไม่กล้ายื่นเข้าไป แต่ก็จ้องสีหน้าของหลิงเล่ไว้ กลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับหลิงเล่อีก!
จากนั้น ก็มีเสียงดังสนั่นขึ้น!
มู่เทียนซิงแค่รู้สึกว่าเจ็บใจจนเหมือนตะคริวจะขึ้น!
ในกลุ่มครอบครัวคุณหญิงเยว่หยาส่งมาแค่ไม่กี่คำ:”ทั้งชีวิตนี้ฉันจะไม่พบกับเขาอีก”
ทั้งชีวิตนี้……ไม่พบเจอ!
หนีหย่าจูนเพิ่งจะสังเกตว่า ที่แท้แล้วคือหลิงเล่สวมรอยตัวเองแล้วส่งข้อความให้คุณหญิงเยว่หยา!
เขาไม่คิดว่าหลิงเล่จะทำเช่นนี้ได้!
ถ้ารู้ก่อนนะ ไม่ว่ายังไงก็ไม่วางมือถือไว้หรอก!
พบกัน นี้เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว!
พอมู่เทียนซิงกับหนีหย่าจูนตั้งสติกลับมาได้ตอนที่กลัวว่าหลิงเล่จะได้รับผลกระทบ พวกเขายังไม่ทันได้เห็นสีหน้าของหลิงเล่ แต่ก็เห็นแขนยาวที่จับมือถือไว้ยกขึ้นมาแล้วปาไปทางอื่นอย่างแรง!
แคว้ง!
เสียงหนึ่งเป็นเสียงมือถือชนกับกำแพงอย่างจัง ส่วนอีกเสียงคือมือถือตกลงบนพื้น!
หนีหน่าจูนรู้สึกไม่ดีไปทั้งคน!
ตอนนี้เขาขาดเงินที่สุดแล้วนะ?มือถือนะ!นั้นคือมือถือที่ต้องเสียเงินซื้อนะ!
“คุณ……”
เขากำลังจะต่อว่าการกระทำของหลิงเล่ แต่พอแวบที่หันหลังมองหลิงเล่นั้น เขาก็ปิดปากทันที!
ตอนนี้ ชายหนุ่มที่อยู่บนรถข็นสองมือกอดหัวไว้ นิ้วมือจิกเข้าไปในผมสั่นอันดำคลับของเขานั้น แล้วจับหนังศีรษะแน่นๆ เขาก้มหัวลงต่ำ ทั้งใบหน้าจมอยู่ระหว่างขาของตนเอง งอหลัง ไหล่ทั้งสองข้างสั่นเบาๆ ไม่มีใครเห็นสีหน้าของเขาชัดได้
บรรยากาศเปลี่ยนเป็นเงียบสงบ เงียบมาก
พวกเขาก็คิดว่า เขาร้องไห้แล้วหรือเปล่า?
แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงสะอื้นเลย……