ตอนที่ 150 ลูกชาย
โล่เจ้ปู้เป็นคนฉลาดช่างสังเกตอยู่แล้ว
ผนวกกับการที่เขาอยู่กับนั่วยีมานานนับหลายปี จึงต่างคนต่างรู้จักอีกฝ่ายกันดียิ่งกว่าใคร
ตั้งแต่ที่นั่วยีเข้ามา เขาก็เอาแต่หลบสายตาโลเจปู้อยู่ตลอด ดูก็รู้แล้วว่าต้องมีอะไรผิดแผกไปแน่ๆ
โล่เจปู้เกลียดความรู้สึกที่คนทั้งโลกรู้ แต่มีเขาเพียงคนเดียวที่ไม่รู้ที่สุดเลย
และตอนนี้ เขาก็กำลังรู้สึกแบบนั้น!
“นั่วยี!” เขาตะคอกดังลั่นด้วยอารมณ์โทสะ
“หลายปีที่ผ่านมาฉันกับนายเราต่างก็ฝ่าฟันกันมาหลายต่อหลายนัก ผ่านมาทุกวิกฤติและความยากลำบาก แต่ตอนนี้พอแผ่นดินเป็นสุขและสงบร่มเย็น นายกลับห่างเหินและเริ่มปิดบังฉัน! นายนี่มัน…..บ้าเอ้ย! นายทำฉันเสียใจมากจริงๆ!”
โล่เจปู้จ้องเขาเขม็งด้วยแววตาโกรธเคืองถึงขีดสุด ดวงตาลุ่มลึกคู่นั้นซ่อนแววบางอย่างที่ไม่อาจคาดเดาได้
ทีแรกนั่วยีตัดสินใจแล้วว่าจะปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ เพราะกลัวว่าเบื้องลึกเบื้องหลังอาจจะมีเงื่อนงำบางอย่างที่เขาไม่กล้าคิดและคิดไม่ถึง
ทว่าตอนนี้พอเห็นสีหน้าโกรธกริ้วและเสียใจของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ตรงหน้าเขาแล้ว นั่วยีก็ไม่อาจฝืนทนต่อไปได้อีก
ความรักของฝ่าบาทและคุณหญิงเยว่หยา ถูกกีดขวางและยืดเยื้อปีแล้วปีเล่า
เขากัดฟัน พลางคุกเข่าลงกับพื้นอย่างจนใจ
“ฝ่าบาท! กระหม่อมเองก็เพิ่งรู้เมื่อกี้นี้เหมือนกัน! กระหม่อมไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังฝ่าบาทจริงๆ เพียงแต่เรื่องนี้……มันเป็นเรื่องใหญ่มากเหลือเกิน!”
นั่วยียันฝ่ามือติดกับพื้น พร้อมหยดน้ำใสที่ไหลลงมาแหมะๆ
โล่เจปู้ที่เห็นภาพตรงหน้ากลายเป็นฝ่ายทำตัวไม่ถูกทันที
เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรถามต่อดีหรือไม่
“ราชเลขา ยศชั้นหนึ่ง ยังถึงกับต้องคุกเข่าร้องไห้ต่อหน้าฉัน นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?”
เขาเหมือนกำลังพึมพำกับตัวเอง ทว่าก็เหมือนกำลังกล่าวให้นั่วยีฟัง
ผ้าม่านภายในห้องถูกดึงปิดไว้แน่น ไม่มีแม้เพียงแสงอาทิตย์เสี้ยวหนึ่งที่เล็ดรอดเข้ามาได้
ทว่าหัวไหล่ที่สั่นเทาของนั่วยีภายใต้แสงไฟสว่างจ้ากลับให้ความรู้สึกห่างเหินและโดดเดี่ยว
นั่วยีเอ่ยเสียงสะอื้นกับโล่เจปู้ว่า:”ฝ่าบาท! วันนี้กระหม่อมเองก็คิดเพียงอยากเจอหน้าลูกเท่านั้น พลางถามไถ่พวกเขาไปด้วย คิดว่าถ้ากลับมาแล้วค่อยขอให้ฝ่าบาทเมตตากระหม่อมให้พาลูกไปจากที่นี่! แต่ว่า……”
นั่วยีเงยหน้าขึ้น สบมองแววตามืดหม่นของโล่เจปู้ พลันเอ่ยว่า:”แต่ว่า กระหม่อมกลับได้รู้ความจริงบางอย่างที่น่าตกใจจากปากของพวกเขา!”
“ความจริงอะไร?”
“คุณชายสี่บ้านตระกูลหลิง มีใบหน้าเหมือนกับกษัตริย์เทียนหลิงทุกกระเบียดนิ้วเลยขอรับ!”
“…..”
“ไม่เพียงแค่นั้น ไม่กี่วันก่อน เด็กคนนั้นยังดึงผมหลิงหยวนต่อหน้าจั๋วซี เพื่อเอาไปเป็นตัวอย่างทดสอบดีเอ็นเอ ผลที่ออกมาคือ พวกเขามีความสัมพันธ์เป็นเพียงเครือญาติห่างๆเท่านั้น!”
“…….”
โล่เจปู้ฟังแล้วถึงกับก้าวขาถอยหลังไปสองก้าวจนเกือบเซ
นั่วยีขยับเข้าไปกอดขาโล่เจปู้ พลางเอ่ยทั้งน้ำตาว่า:”ฝ่าบาท! คุณหญิงเยว่หยาเป็นผู้บริสุทธิ์! ท่านเป็นผู้บริสุทธิ์มาโดยตลอด! เด็กคนนั้นเป็นเชื้อไขของท่าน! มีเพียงเราเท่านั้นที่ถูกปิดหูปิดตาไม่รับรู้อะไรมานานนับหลายปี! ฮือๆๆๆ~”
นั่วยีกอดขาโล่เจปู้ร้องไห้ทั้งอย่างนั้น
ความรู้สึกคับคั่งที่อยู่ภายในใจของโล่เจปู้พรั่งพรูออกมา จนกลายเป็นหยดน้ำตาและเสียงสะอื้นที่ไม่อาจฝืนทนไว้ได้อีก
“เยว่หยา~เยว่หยา~”
โล่เจปู้รู้สึกเหมือนสมองกำลังจะระเบิด
เขายืนนิ่งอยู่กับที่เหมือนคนสติล่องลอย ก่อนจะก้มหน้าลงสบมองนั่วยีด้วยแววตาเหลือเชื่อ:”นายกำลังจะบอกว่า เยว่หยาเธอ คลอดลูกของฉัน…..งั้นสินะ?”
“ฮือๆๆ~ใช่ขอรับฝ่าบาท มันเป็นความจริง เป็นความจริงขอรับ! ผมได้เห็นรูปของเด็กคนนั้นแล้ว ฮือๆๆๆ~เหมือนกษัตริย์เทียนหลิงพ่อของฝ่าบาทไม่มีผิดเลยขอรับ!”
“……..” โล่เจปู้ยังคงไม่อาจทำใจยอมรับได้:”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ฉันให้เขาใช้ชีวิตตกระกำลำบากอยู่ข้างนอกมาโดยตลอด แต่เขากลับเป็นลูกชายของฉัน? ลูกชายที่เยว่หยาได้ให้กำเนิด?”
“ใช่ขอรับ! เขาเป็นลูกแท้ๆของฝ่าบาทจริงๆขอรับ! เป็นองค์ชายเพียงหนึ่งเดียวของประเทศหนิง!”
นั่วยีร้องไห้จนแทบขาดหายใจสลบ
นึกย้อนไปเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่คุณหญิงเยว่หยารู้ว่าเด็กคนนั้นเกือบจมน้ำตาย เธอก็ร้องห่มร้องไห้ใจแทบขาดสลาย คุกเข่าอยู่ตรงหน้าตำหนักของฝ่าบาททั้งคืน ขอร้องให้ฝ่าบาทส่งคนไปดูแลเด็กคนนั้น
ทว่าฝ่าบาทไม่ยอม
กระทั่งจนเกือบรุ่งสาง ในขณะที่ฝ่าบาทกำลังจะกัดฟันปริปากบอกให้ตระกูลหนีส่งคนไปดูแลเอง ห้วนเทียนเก๋อ กลับมีรับสั่งมาเสียซะก่อน บอกว่าพ่อของนั่วยีออกมาแล้ว และจะพาจั๋วหรันกับจั๋วซีไป
ตอนนั้นมีหรือที่นั่วยีจะไม่อาลัยอาวรณ์ สองพี่น้องยังเด็กกันอยู่เลย จะไปรู้ได้อย่างไรว่าต้องดูแลใครยังไง
จนสุดท้ายก็ยังไม่พ้นถูกคุณหญิงเยว่หยาพาออกไปอีก ผ่านไปอีกทีก็เป็นเวลานานนับหลายปีแล้ว
โล่เจปู้ร้องไห้ปล่อยเสียงสะอื้นออกมาอย่างหมดสภาพ
“พระเจ้า ฉันปล่อยให้เลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองอยู่ข้างนอกโดยไม่สนใจไยดีมาตลอด ซ้ำยังปล่อยให้เขาเสี่ยงชีวิตจนเกือบตายในการแก่งแย่งชิงดีภายในตระกูลหลิงอีกหลายครั้งหลายครา”
“ไม่พอฉันยังคิดจะให้หย่าจูนมาสืบทอดบัลลังก์! ดูจากท่าทางปฏิเสธหัวชนฝาของเจ้าเด็กนั่นในวันนั้นแล้ว แสดงว่าเขาต้องรู้เรื่องนี้แล้วสินะ!”
“ทุกคนรู้ คนทั่วใต้หล้ารู้ มีแต่ฉันเท่านั้นที่ไม่รู้อะไรเลย! นี่ฉันโง่เขลามากขนาดนั้นเลยงั้นเหรอ?”
“ทุกคนหลอกฉัน ปิดบังฉัน โกหกฉันกันหมดทั้งเพ เวลาผ่านไปเนิ่นนานแล้วถึงจะมาบอกว่าฉันมีลูกชายอยู่คนหนึ่ง! ทำไมถึงได้โหดร้ายกับฉันได้ถึงขนาดนี้!”
โลเจปู้แทบคลั่ง!
เขาถีบนั่วยีออก พลางเอ่ยพึมพำกับตัวเองเสียงสะอื้นไห้ และเดินวนไปมาภายในห้องนอน
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ จู่ๆเขาก็พุ่งถลาไปที่โต๊ะหนังสือ พลันหยิบเอามือถือของตัวเองโทรหาใครบางคน ก่อนจะมีเสียงปลายสายดังขึ้นว่า:”ฝ่าบาทเหรอ ตอนนี้เสด็จพ่อของท่านกำลังหลับพักผ่อนอยู่ขอรับ”
“ฉันจะคุยกับโล่เทียนหลิง! ให้โล่เทียนหลิงรับสายเดี๋ยวนี้!”
โล่เจปู้แทบใช้เสียงตะคอก
ทว่าอีกฝ่ายกลับตอบกลับมาว่า:”เสด็จพ่อของท่านกำลังหลับพักผ่อน ท่านตะโกนเสียงดังซ้ำยังจะบังคับให้ท่านลุกขึ้นมารับสาย แบบนี้ถือเป็นความอกตัญญู ฝ่าบาท มีกฎข้อหนึ่งในประเทศหนิงที่กล่าวไว้ว่า หากผู้ใดทารุณหรือทรมานผู้อาวุโส ผู้นั้นก็จำต้องถูกยิงจนสิ้นชีวิต นี่เป็นกฎที่ท่านตั้งเองด้วย กระหม่อมขอกล่าวเพียงเท่านี้ ลาก่อนขอรับ”
และแล้วอีกฝ่ายก็วางสายไปโดยที่เขายังไม่ทันได้พูดอะไร
โล่เจปู้ยืนเหม่ออยู่กับที่อย่างหมดคำพูด ก่อนจะยกมือขว้างมือถือใส่กำแพงอย่างไม่ออมแรง!
เขาเอ่ยเสียงลอดไรฟันว่า:”โล่เทียนหลิง! แล้วเราจะได้เห็นดีกัน!”
“ฝ่าบาท!” นั่วยีก้มเก็บเศษซากมือถือของโล่เจปู้ พลันล้วงเอามือถือตัวเองออกมาเปลี่ยนเป็นซิมการ์ดของอีกฝ่าย ก่อนจะวางลงบนโต๊ะหนังสือ
แผงอกของโล่เจปู้ขยับขึ้นลงอย่างรุนแรง นึกถึงหลายปีนี้ที่หนีซีโย่วด่าว่าเขาโง่หรือโมโหใส่เขาอย่างไร้เหตุผล จู่ๆเขาก็พลันรู้สึกว่าเธอเกรงใจเขามากไปแล้ว!
“เตรียมรถ! ฉันจะไปหาเด็กคนนั้น!”
เขาหลับตาลงออกคำสั่งกับนั่วยี
นั่วยีไม่กล้าขยับ เขายืนนิ่งอยู่กับที่เอ่ยว่า:”ฝ่าบาท เกรงว่าคงจะไม่ง่ายขนาดนั้น ผมฟังพวกเด็กๆบอกว่า……บอกว่าคุณชายสี่เขา…….อาจจะไม่ได้อยากเจอท่านนัก ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องมาจนถึงตอนนี้ เขาก็ไม่เคยกล่าวหรือถามถึงเรื่องของพ่อเลย นอกจากแม่ตัวเอง”