บทที่ 151 หาเรื่อง
โล่เจปู้นิ่งอยู่ที่เดิม ได้ยินนั่วยีกล่าวอย่างกระวนกระวาย ในใจก็กังวลขึ้นมา
ชีวิตนี้คาดหวังทายาทไม่ได้แล้วจริงๆ
ทั้งๆที่ผู้หญิงที่เขารักเพียงหนึ่งเดียวได้ให้กำเนิดลูกคนนี้ให้เขาแล้ว
ปลายลิ้นสั่นระริก ดั่งเช่นหัวใจของเขา “เขา โกรธผม”
โล่เจปู้จ้องมองไปยังนั่วยีนิ่ง อยากมองหาคำตอบจากใบหน้าของนั่วยี
ทว่า….
นั่วยีไม่กล้าเอ่ย
เธอเพียงจ้องมองฝ่าบาทตรงหน้าเงียบๆ ความลำบากและสงสารทะลุผ่านดวงตา
โล่เจปู้เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะเขียนหนังสือ นั่งลง ข้อศอกทั้งสองข้างตั้งลงบนโต๊ะ ก้มหัวลง นิ้วมือเรียวงามสอดเข้าไปในเส้นผมดำขลับ คล้ายกำลังดึงทึ้งหนังศีรษะ
ไม่มีใครรู้ การกระทำแบบนี้ของเขา คล้ายลูกชายที่อยู่คฤหาสน์จื่อเวยคนนั้นของเขา
หลิงเล่ตั้งแต่เล็กจนโต เมื่อเจออุปสรรคที่ไม่คิดว่าจะผ่านไปได้ เขาจะทำท่าทางแบบนี้
นั่วยีเห็นโล่เจปู้เป็นแบบนั้น อดไม่ได้ คิดปลอบเขา “ฝ่าบาทก็รู้ ซือซ่าวผ่านความลำบากมามาก เขาไม่ได้ง่ายเลยจริงๆ ความลำบากเหล่านั้น อาจจะเป็นสิ่งที่เราไม่ถึงเลยก็ได้ ฝ่าบาท…….”
โล่เจปู้ไม่เอ่ยอะไร
เนิ่นนาน เขาเยาะเย้ยตัวเองเสียงเบา “เด็กคนนี้ควรโกรธผม พ่อเป็นถึงคนที่ดีรับความรักจากคนทั่วหล้า เขากลับกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ที่โดนคนทั่วหล้าเย้ยหยัน เขาจะไม่โกรธผมได้ยังไง”
เอ่ยประโยคนั้นจบ ไหล่ของโล่เจปู้ก็สั่นระริก ร้องไห้ออกมาเบาๆ
หยาดแสงหยาดหยดลงไป แหลมคมดั่งคมมีด ค่อยๆกรีดลึกเข้าไปในใจคน
วันที่มีความสุขที่สุดในชีวิตนี้ คงเป็นเมื่ออายุสิบสองนั้น เมื่อเธอให้สร้อยคอพระจันทร์เสี้ยวแก่เขา และปีนต้นไม้สูงต้นนั้นกับเขา ตอนไปขุดไข่เต่า และตอนที่เธอไปท่องเที่ยวทั่วหล้ากับพ่อแม่ เมื่อไปถึงที่ต่างๆ ก็จะซื้อของที่ระลึกส่งกลับมาให้เขา
ตอนยังหนุ่มมีความใฝ่ฝันมากมาย อยากจะพาเยว่หยาที่รักท่องไปทั่วหล้า มีลูก ผู้ชายหรือผู้หญิงล้วนดีหมด รอจนเด็กๆค่อยๆเติบโต พวกเขาจะหาที่สักที่ หรือกลับมาที่เก่า หรือฟังเธอทั้งหมด ครอบครัวใหญ่ๆมีความสุขด้วยกัน เหมือนเขาคลอเคลียอยู่ในอ้อมกอดคุณย่า
เมื่อความจริงบอกกับเขา เป็นไปไม่ได้แล้ว
เขาพยายามต่อสู้ดิ้นรนจนถึงที่สุด
เขาคิดว่าทั้งหมดนี้จะได้รับความเข้าใจจากพ่อ ทั้งหมดนี้จะอยู่ในการควบคุมของพ่อ
เวลานี้ เขาไม่เข้าใจ
เป็นใครที่อนุญาตให้โลกใบนี้ปิดบังเขา หลอกลวงเขา ทำให้เขาต้องสูญเปล่าเวลาที่จะได้ใช้ร่วมกันกับเยว่หยา
มันเป็นเรื่องของเขา เขามีสิทธิ์รับรู้ หรือว่าไม่ใช่
โล่เจปู้เสียใจมากให้เขาตายซะยังจะดีกว่า
ความรู้สึกของเขาในตอนนี้ ราวกับนักขุดทองยืนอยู่บนเกาะเล็ก โยนก้อนหินลงในทะเลในทุกๆวัน เก็บมาครึ่งชีวิต พึ่งนึกได้ว่าก้อนที่โยนออกไปเมื่อสักครู่ไม่ใช่ก้อนหินแต่เป็นทอง
ให้โดดลงไปในทะเลก็หาทองก้อนนั้นที่สูญเสียไปไม่เจอแล้ว
ต่อให้เขาจมน้ำตายลงไปก็คว้าทองคำก้อนนั้นที่ได้สูญเสียไปแล้วไม่ได้
เวลานี้ เขาคำนับฟ้าดิน ตีโพยตีพาย เขาขยับเคลื่อนก้อนหินไปกระแทกฟ้า ใครสามารถคืนสิ่งที่เสียไปนี้คืนให้เขาได้
“ฮือฮือ ฮือฮือ”
“ฝ่าบาท”
“ผม ผมคิดถึงคุณย่าแล้ว…..”
“ฝ่าบาท”
นั่วยีอยู่เคียงข้างเขาอย่างระมัดระวัง โล่เจปู้กลับร้องไห้ไม่มีทีท่าจะหยุด
บ่ายสี่โมง
เมื่อนั่วยีกลับมาที่ห้องนอน มองเห็นหายหนุ่มที่นั่งเหม่อลอยอยู่ตรงหน้าโต๊ะหนังสือ จึงเอ่ย “ฝ่าบาท รูปจะมาถึงแล้วครับ”
เธอเดินค่อยๆเดินไปข้างหน้า ยื่นรูปหลิงเล่ส่งให้เขาอย่างนอบน้อม
เวลาเดียวกัน ก็ยื่นข้อมูลรายละเอียด บันทึกการเจริญเติบโตของหลิงเล่
ตอนโล่เจปู้ยื่นมือไปรับรูปมา มือใหญ่นั้นสั่นสะท้าน
ลูกชายของเขา ขาพิการแล้ว
แม้ว่าจะพิการ ก็ยังเป็นลูกชายของเขาเหมือนเดิม
เปิดหน้าต่อไป ใบหน้าของเด็กคนนั้นคล้ายปู่ของเขาโล่เทียนหลิงมากจริงๆ ยามใบหน้าไร้ความรู้สึกของเขาเยอะเป็นพิเศษ รอยยิ้มเดียวที่มี เมื่อมีหญิงสาวสวยคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆ
ดวงตาของหญิงสาวคนนั้นใสราวกับหิมะ มองเห็นถึงจิตใจที่งดงามบริสุทธิ์
“เธอเป็นแสงสว่างของลูกชายผม”
โล่เจปู้เอ่ยประโยคนั้นออกมาเบาๆ แต่นั่วยีกลับได้ยิน “ใช่ครับ คุณหญิงเยว่หยาได้มอบต่างหูไข่มุกทองคำที่ฝ่าบาทได้มอบให้ในตอนนั้น ให้แต่คุณหนูมู่ท่านนี้ คุณหญิงเยว่หยาบอกว่า ขอบคุณคุณหนูมู่ที่นำความสุขมาให้แก่ซือซ่าว”
ม่านตาของโล่เจปู้ขยับลึก ยิ้มออกมา “เยว่หยาต้องชอบมากแน่ๆ ไม่งั้นจะยอมยกไข่มุกทองคำคู่นั้นให้ยังไง”
“ฮ่าๆ ใช่เพคะ นั่นเป็นของที่ฝ่าบาทมอบให้เธอสมัยที่ฝ่าบาทยังหนุ่ม รวบรวมความกล้าไปสารภาพรักกับคุณหญิงเยว่หยาในคืนนั้น”
นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา นั่วยีก็ยกยิ้ม
โล่เจปู้ดูข้อมูลของหลิงเล่ทีละหน้าละหน้า
ความหนานั้น โล่เจปู้ใช้เวลาดูไปเป็นชั่วโมง
เมื่อดูเสร็จแล้ว จึงวางลง หันไปมองนั่วยี พลันเอ่ย “เขาเหมือนผม เหมือนปู่ของเขา เหมือนลูกๆของตระกูลโล่ของเรา ฉลาด ใช่ไหม”
นั่วยียิ้ม พยักหน้าติดต่อกัน “ใช่ครับ ซือซ่าวฉลาดจริงๆ เมื่อตอนอาหารกลางวัน จั๋วซีบอกว่า ซือซ่าวเป็นคนที่เขาศรัทธาเลื่อมใสที่สุด”
โล่เจปู้พอใจ หยิบรูปของหลิงเล่ขึ้นมาอย่างพอใจในตนเอง “แน่นอน นี่ลูกชายผมนี่นา ลูกชายของผม จะเป็นของไร้ค่าได้ยังไง”
“ใช่แล้วครับ” นั่วยีดูเวลา กังวลเล็กน้อย “ฝ่าบาท ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว อยากเสวยอะไรครับ”
โล่เจปู้ไม่ตอบ ราวกับว่าแค่มองรูปของลูกแค่นั้นก็อิ่มแล้ว
นั่วยีเอ่ยอีกครั้ง “คุณหญิงเยว่หยาบอกว่า คืนนี้ท่านจะเสวยที่โรงพยาบาลกับคุณชายหนี ให้คนขับรถไปรอรับที่ประตูโรงพยาบาลด้านหลังตอนสามทุ่มเพื่อกลับมาพักผ่อน ตารางงานพรุ่งนี้ ยังไม่ออกมา เธอบอกฝ่าบาทมีงานมากมาย หากยุ่งก็ไม่ต้องรอเธอ กลับไปก่อนได้เลยครับ”
“ไม่กลับ”
ดวงตาคู่นั้น เผยออกมาคล้ายย้อนกลับไปเมื่อยังหนุ่ม จ้องมองรูปลูกชาย ยิ้มราวกับเป็นบ้า “เมียกับลูกอยู่นี่กันหมด จะให้ผมกลับไปไหน ผมไม่กลับ”
นั่วยีชะงัก “แต่ว่า..กษัตริย์ของประเทศฮัวฉีจะมาเยือนประเทศหนิงของเราในวันมะรืน ยังต้องหารือเรื่องกองทัพ พ่อลูกนายพลเฉียวบอกว่า พรุ่งนี้ตอนบ่ายจะมาพบฝ่าบาทก่อน มาคุยเรื่องเตรียมงานสักหน่อยนะครับ”
โล่เจปู้นึกขึ้นมาได้
ดวงตาปิดลง ตัดสินใจอย่างดื้อดึง “คืนนี้ ผมต้องได้เจอเด็กคนนั้น”
นั่วยีนิ่งค้างไปพักหนึ่ง กล่าว “ฝ่าบาท มองแผนระยะยาวหน่อยดีไหม ตอนนี้ซือซ่าวไม่ได้ต้อนรับฝ่าบาทเท่าไหร่ ถ้าฝ่าบาทยังรุกล้ำไปแบบนี้ เอ่อ คงจะไม่หาเรื่องเกินไปหรือครับ”
โล่เจปู้ตบโต๊ะแล้วลุกขึ้น เอ่ย “หาเรื่องผมพอใจ ผมพอใจให้ลูกชายของผมโหดร้ายต้อนรับผม”
นั่วยี “……………..”
เวลาหนึ่งทุ่มครึ่ง
หลังพายุฝนฟ้าคะนอง เมืองm อาการสดชื่น ท้องฟ้างดงาม เบนท์ลีย์สีดำ ค่อยๆขยับเข้ามาใต้ต้นจื่อเวย ตรงไปที่ประตูใหญ่คฤหาสน์จื่อเวย
จั๋วหรันตอนนี้ไม่แน่ใจ เพราะเขาได้รับข้อความจากพ่อ ให้เขามาเปิดประตูคฤหาสน์จื่อเวยตอนหนึ่งทุ่มครึ่ง