บทที่ 152 ปล่อยสุนัข
จั๋วหรันนั่งอยู่หน้ากล้องวงจรปิด ทุกจอกำลังถ่ายทอดเบนท์ลีย์คันนั้นกำลังขยับเข้าใกล้เรื่อยๆ เพียงแค่มุมถ่ายไม่เหมือนกัน
กองกำลังติดอาวุธเล็ก แบ่งกันอยู่ในรถตู้ทั้งสองคัน แอบซุ่มอยู่รอบด้าน ก็ถูกกล้องวงจรของคฤหาสน์จื่อเวยถ่ายเอาไว้แล้ว
ชัดเจน คนเหล่านี้คอยคุ้มกันจักรพรรดิเจปู้
จั๋วหรันกลืนน้ำลาย ลุกขึ้นอย่างลำบากใจ เดินไปยังห้องโถงใหญ่
หลังจากอาหารเย็นมู่เทียนซิงรู้สึกเบื่อ จึงงอแงอยากเล่นไพ่ โดยมีโม่หลินยกมือเข้าร่วม ฉวีซือก็เอาด้วย
หญิงสาวทั้งสามนั่งเล่นกันอยู่บนโซฟา ไพ่กระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะ อากาศเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของชานม บรรยากาศงดงาม
หลิงเล่นั่งเงียบๆอยู่ด้านหลังมู่เทียนซิง มองหญิงสาวเล่นไปหลายครั้ง เขาไม่ต้องตั้งใจฝึก ก็เล่นเป็นแล้ว
มือหนึ่งยื่นไปโอบเอวมู่เทียนซิง อีกมือคอยหยิบขนมและชานมป้อมเข้าปากเธอ
หลิงเล่ชอบปรนนิบัติเธอแบบนี้ สำหรับเขาแล้ว นี่เป็นช่วงเวลาที่สบายที่สุดของเทียนซิง
มองดูบรรยากาศตรงหน้า จั๋วหรันชะงักไปชั่วครู่ ไม่รู้จะเอ่ยปากยังไง
โทรศัพท์ในกระเป๋าก็สั่นขึ้น
เขาหนุนตัวอย่างลังเลใจ หันหลังให้บรรยากาศงดงามนั้น หยิบโทรศัพท์ออกมา “ฮัลโหล”
“เปิดประตู ไม่ใช่บอกแกแล้วหรอ หนึ่งทุ่มครึ่งให้เตรียมเปิดประตู” เสียงร้อนรนของนั่วยีดังเข้ามา
จั๋วหรันได้ยินก็ขนลุกขัน
หากเขาเปิดประตูจริงๆ ถ้าซือซ่าวโกรธล่ะ ฝ่าบาทสะบัดตูดกลับไปแล้ว เขาที่อยู่ก็ซวยนะสิ
นั่วยีเอ่ย “รีบหน่อย นี่เป็นรับสั่งจากฝ่าบาท เป็นรับสั่ง”
“เอ่อ ผมทราบแล้ว”
จั๋วหรันเก็บโทรศัพท์ หมุนตัวกลับมา เดิมเข้าใกล้โซฟาไปสองก้าว แต่ว่า ยังลังเลว่าจะบอกยังไงดี
ตอนนั้นเองเสียงแผ่วเบาดังขึ้น
“ไปหลังคฤหาสน์จูงฮานจื่อมา ถ้านายจะเปิดประตู ให้ปล่อยฮานจื่อออกมาก่อน”
น้ำเสียงของหลิงเล่ไม่หนักไม่เบา ทว่าทำให้จั๋วหรันเหงื่อตกไปทั้งตัว
ฮานจื่อเป็นสุนัขพันธุ์แท้ที่พวกเขาเลี้ยงมาสี่ปี เมื่อดุขึ้นมาขนาดสิงโตยังต้องกลัว เมื่อก่อนซือซ่าวเลี้ยงมันไว้ด้านหน้า แต่เมื่อคุณหนูมู่มา กลัวฮานจื่อจะทำร้ายคุณหนูมู่ จึงย้ายมันไปไว้ที่ด้านหลัง
เมื่อก่อน หากให้จั๋วหรันบอก ฮานจื่อเป็นสุนัของครักษ์ที่อุทิศตนเลยนะ
“ซือซ่าว แบบนี้….คงไม่ดีเท่าไหร่ไหมครับ”
ปล่อยสุขัขต้อนรับฝ่าบาท ต่อให้ความกล้ากับจั๋วหรันมีมหาศาล เขาก็ไม่กล้า
หลิงเล่กลับส่ายหน้า เหลือบมองเขา “จะให้ฉันไปเองหรอ”
“ไม่ ไม่กล้าครับ”
จั๋วหรันลงลิฟต์มายังชั้นหนึ่ง ออกห่างจากสายตาผู้คน
ดวงตาของหลิงเล่ จ้องมองเยือกเย็นไปยังประตูบ้านของตัวเอง เผยออกมาไม่เพียงความดุร้าย ยังดูถูกเหยียดหยามอีกด้วย
กอดเอาหญิงสาวเข้ามาไว้ในอ้อมแขน เขาวางปลายคางไว้ที่ไหล่หอม
ชีวิตนี้ ถึงฟ้าดินสลาย หากเขายังเป็นชายคนหนึ่ง จะไม่ทำให้ผู้หญิงของเขาต้องทุกทรมานเหมือนแม่แน่นอน
จั๋วซียกถาดผลไม้ออกมาจากห้องครัวอย่างมีความสุข หัวเราะพร้อมบอก “วันนี้พวกเธอเล่นสนุกไหม ผมจะบริการพวกเธอเอง มีอะไรรีบบอกได้เลย”
เขาวางถาดผลไม้ลง ฉวีซือเตะเขาไปครั้งหนึ่ง
ใครไม่รู้จักฮานจื่อก็ช่าง ฉวีซือรู้ดี
ฉวีซือไม่รู้เรื่องราวความเป็นมา แต่ที่บ้านจะต้องเกิดเรื่องแน่ เธอส่งสายตาให้จั๋วซี บอก “พี่ชายนายไปจูงฮานจื่ออยู่ข้างล่าง ลงไปดูหน่อย”
เดิมอยากให้จั๋วซีไปช่วยห้าม ทว่าสุดท้าย เขากลับตบหน้าขาอย่างตื่นเต้น “ได้สิ”
ฉวีซือ “………….”
ทุกคนมองตามเขาไป จั๋วซีบอกกับมู่เทียนซิงและโม่หลิน “เธอสองคนยังไม่รู้ใช่ไหม เมื่อก่อนที่นี่เราเลี้ยง……”
จั๋วซีพูดจอแจไม่หยุด ฉวีซือใกล้จะระเบิดแล้ว
เธอยัดไพ่ในมือใส่มือจั๋วซีแล้วบอก “นายมาเล่น ฉันจะไปดูเอง พี่นายนี่ก็จริงๆ ไปจูงฮานจื่อก็ยังไปตั้งนาน”
“นั่งลง”
หลิงเล่เอ่ยเสียงเย็น
ฉวีซือตกใจหย่อนก้นลงไป
สายตาของหลิงเล่มองไปยังจั๋วซี “ไพ่ให้อาซือ ผู้หญิงเล่นไพ่ไป ผู้ชายไปดูรอบๆ”
ตอนนั้นเอง จั๋วซีค่อยรับรู้ได้ว่าสถานการณ์ไม่ปกติแล้ว
เขากำลังแปลกใจ เสียงก็ดังมาจากทางประตูใหญ่ เสียงออดดังขึ้น
มู่เทียนซิงถามด้วยใบหน้าใสซื่อ “มีแขกมาหรอ”
หลิงเล่กวาดตามองประตูใหญ่ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “ไม่ต้องสนหรอก เล่นไพ่ต่อเถอะ”
เสียงออดดังขึ้นอีกครั้ง
จากนั้นมีเสียงนั่วยีดังตามมา “โม่โม่ รีบเปิดประตูให้พ่อ”
โม่หลินกำไพ่แน่น ทั่วทั้งร่างแข็งค้าง ฟังออกว่านั่นเป็นเสียงของพ่อตนเอง ตกใจตื่นแล้ว “พ่อฉันหรอ”
สีหน้าของฉวีซือก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
ตอนนั้นเองจั๋วซีก็เข้าใจแล้ว
เขาถอยหลังอย่างหวาดกลัวไปหนึ่งก้าว ตะโกนเสียงดัง “คุณมาทำไม รีบกลับไป”
ที่แท้พี่ชายไปจูงฮานจื่อ ที่แท้ก็จูงแบบนี้เอง พระเจ้า พวกเขาใครจะกล้าปล่อยสุนัขใส่ฝ่าบาทกันล่ะ
“จั๋วซี จั๋วซีหรอ รีบเปิดประตู”
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก”
รีบเปิดประตู”
เสียงเคาะประตูเริ่มบรรเลงขึ้น โม่หลินมองประตูอย่างมึนงง “พ่อ รีบไปเถอะ อย่ามายุ่งกันเลย”
ทว่ามู่เทียนซิงยังคงใบหน้าไร้เดียงสา “พวกคุณทำอะไร พวกคุณพ่อลูกแยกกันมาตั้งยี่สิบปีแล้ว วันนี้กลางวันทานข้าวด้วยกัน พ่อของพวกคุณคิดถึงพวกคุณ มาเจอพวกคุณ ไม่เปิดประตูได้ยังไง”
เธอลุกขึ้นจะไปเปิดประตู พอดีกับจั๋วหรันจูงสุนัขตัวใหญ่ออกมาจากลิฟต์
มู่เทียนซิงตกใจอ้าปากกว้าง
นั่นมันสุนัขหรอ
นั่นมันสิงโตชัดๆ
ถ้าเจ้าสุนัขตัวนั้นยกสองขาหน้าขึ้น เธอยังสูงอยู่อีกหรอ
หลิงเล่คว้ามือของมู่เทียนซิงเอาไว้ จูบหลังมือเธอต่อหน้าฮานจื่อ พร้อมทั้งใช้สายตาแหลมคมเตือนไปยังฮานจื่อ
สายตาของฮานจื่อที่มองมู่เทียนซิง เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมาก
เสียงออดยังคงดังต่อเนื่อง มู่เทียนซิงตระหนก รีบเดินไปเปิดประตู เดินไปพลางเอ่ย “จั๋วหรัน คุณจูงสุนัขให้ดีนะ อย่าทำให้พ่อคุณตกใจล่ะ”
อยู่มาตั้งหลายปี เธอรู้แล้วต้องเปิดประตูยังไง
เมื่อประตูเปิด เธอยืนอยู่หน้าประตูด้วยใบหน้ายิ้มแย้มราวกับดอกไม้บาน เอ่ยกับคนตรงหน้าประตู “สวัสดีค่ะ คุณเป็นพ่อของจั๋วหรันใช่ไหมคะ ยินดีต้อนรับค่ะ”
รอยยิ้มงดงามขับให้ดอกจื่อเวยยิ่งโรแมนติก บวกกับดวงตากลมโต หวานลึกเข้าไปถึงหัวใจ
นั่วยีค้อมศีรษะให้เธออย่างนอบน้อม “สวัสดีครับ คุณหนูมู่”
และด้านข้างของนั่วยีมีโล่เจปู้ยืนอยู่ ดวงตามองหญิงสาวที่เป็นดั่งหยกตรงหน้า หัวใจเต้นระรัว
นี่เป็นภรรยาของลูกชายเขานะ
ภรรยาของลูกชายสวยมากจริงๆ
แต่เขายังไม่ทันได้เอ่ยปาก มู่เทียนซิงก็ตกใจไปแล้ว เพราะเธอมองเห็นใบหน้าของชายตรงหน้าชัดแล้ว
“ฝ่า ฝ่า ฝ่าบาท”
เอ่ยเรียกแล้ว มู่เทียนซิงก็แทบบ้า
เธอรู้ เธอเปิดประตูแล้ว ก่อเรื่องแล้ว