บทที่168ไม่อาย
หลิงเล่ไม่อาจยอมรับเหตุผลใดๆ ที่จะทำให้สูญเสียมู่เทียนหลิงได้
เขาหลับตาลง แล้วหันมาทางหนีซีโย่วอย่างสง่างาม จากนั้นก็ใกล้เธอเข้ามาเรื่อยๆ “เธอก็แค่โวยวายเอาแต่ใจแบบเด็กๆ ก็เท่านั้นเอง ถ้าเธออยากได้อะไร ผมก็จะหามาให้ ผมจะมอบทุกอย่างที่เธอต้องการ เดี๋ยวพอเธอใจเย็นลงแล้วเราก็จะกลับมารักกันเหมือนเดิมอีกครั้ง”
“แต่ตอนนี้สิ่งที่เธอต้องการก็คืออิสรภาพ เธอต้องการที่จะกลับบ้าน แล้วทำไมแกถึงไม่มอบมันให้เธอล่ะ?”
หนีซีโย่วจ้องมองเขา แล้วต้องรู้สึกปวดใจ “แกก็แค่กำลังหลอกตัวเองอยู่เท่านั้นแหละ!”
คฤหาสน์หลังสีน้ำเงิน เหมือนกับองค์หญิงตัวน้อยในเทพนิยายที่อาศัยอยู่ในปราสาท หนีซีโย่วมองไปรอบๆ มันเป็นบ้านที่ไม่เข้ากับการที่ชายหนุ่มคนหนึ่งจะอาศัยอยู่เลย ดูยังไง มันก็ถูกตกแต่งขึ้นเพื่อใครบางคนอย่างตั้งใจ
แต่ว่า ถ้าฟังจากที่จั๋วหรันรายงานมา หลิงเล่กับมู่เทียนซิงรู้จักกันได้แค่เดือนเดียวเอง
แล้วถ้าไตร่ตรองให้ดีกว่านั้น มันก็คงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครึ่งปีก่อนในเมืองชิงเฉิง
แต่พอหนีซีโย่วมองไปยังการตกแต่งรอบๆ คฤหาสน์หลังนี้ ถึงมันจะดูใหม่ แต่มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะจะจัดการทุกอย่างให้เสร็จด้วยเวลาอันสั้น
หรือจะให้พูดก็คือ คฤหาสน์จื่อเวยได้อยู่ในสภาพนี้มาโดยตลอด หลิงเล่ได้รอคอยการมาเยือนของใครบางคนมานานแล้วอย่างนั้นเหรอ?
หนีหย่าจูนไม่ได้เอะใจอะไร แต่หนีซีโย่วสามารถสังเกตถึงจุดนี้ได้
เธอเดินหน้าไปไม่กี่ก้าวแล้วก็รู้สึกถึงความไม่สบายใจ เธอจึงหยุดชะงักในทันที ไอ้ ในโลกนี้ พ่อแม่ที่ต่อต้านกับลูกตัวเอง สุดท้ายแล้วตัวเองก็จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อยู่ดี!
“มานี่ซิ!”
เธอเรียกด้วยเสียงที่อ่อนโยน
ถ้าให้เธอเข้าใกล้เขามันอาจทำให้เขากดดันได้ แต่ถ้าให้เขาเข้ามาหาเธอเอง มันคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง?
มือใหญ่ๆ ของหลิงเล่เหมือนกำลังต่อต้าน อยู่ๆ เขาก็โต้แย้งเหมือนเด็กๆ ขึ้นมา “แม่บอกว่าชีวิตนี้จะไม่พบหน้าผมอีกแล้วไม่ใช่เหรอครับ? แล้วจะให้ผมเข้าไปหาทำไม!”
นี่เขากำลังโกรธหรือกำลังงอแงกันแน่นะ?
คำพูดของเขานั้นอ่านไม่ออกจริงๆ!
หนีหย่าจูนมองมาที่หลิงเล่ด้วยสายตาที่ไม่ค่อยพอใจนัก “พี่อยากจะเจอหน้าแล้วพูดคุยกับแม่มาตลอดเลยไม่ใช่รึไงครับ ตอนนี้แม่ก็มาแล้ว พี่ยังจะมาเล่นตัวอีกทำไม? การที่สาวน้อยงอแงมันก็เป็นฝีมือของพี่ทั้งนั้น มาตอนนี้พี่ก็อยากจะทำตัวงอแงบ้างใช่ไหม?”
“หย่าจูน แกอย่าล้อพี่เขานะ!”
หนีซีโย่วพูดแทรก
สิ่งที่เธอเป็นห่วงมากที่สุดก็คือ หลิงเล่เป็นคนที่ขาดความอบอุ่นมาตั้งแต่เด็ก ไม่รู้จักการอยู่ร่วมกันกับคนอื่น ดังนั้นการที่ลูกของเธอจะมาทำตัวงอแงตอนนี้เธอเองก็สามารถเข้าใจได้ เธอถึงขั้นเข้าใจว่า การที่ตัดสินใจทำอย่างนั้นกับมู่เทียนซิงไปอาจเป็นเพราะเขากำลังร้อนรนอยู่แน่ๆ ยิ่งให้ความสำคัญก็ยิ่งไม่รู้จักวิธีที่ถูกต้องที่จะไปจัดการกับมัน เขาถึงได้ตัดสินใจทำอย่างนั้นไปทั้งๆ ที่ผลลัพธ์ที่ได้มันช่างห่างไกลกับสิ่งที่ตัวเองต้องการมาก!
แต่ว่า เด็กคนนี้กลับไม่รู้ตัวเลย คนเป็นแม่ยังสามารถเข้าใจและให้คำแนะนำเขาได้ แต่มันไม่ใช่สำหรับคนที่ถูกกระทำอย่างมู่เทียนซิง
เธอเพิ่งอายุสิบแปดเอง ในเมื่อหลิงเล่ตัดสินใจที่จะเลือกเธอแล้ว เขาก็ควรที่จะจัดเตรียมทุกอย่างที่เด็กสาวในวัยนี้ต้องการให้ครบถ้วน!
หนีหย่าจูนเดินไปนั่งลงที่โซฟาโดยที่ไม่อยากจะสนใจอะไรแล้ว
มือของเขายังเจ็บอยู่เลย บนหัวก็มีผ้าพันแผลพันอยู่ สงสัยตัวเองคงว่างจนไม่มีอะไรทำมั้ง ถึงได้ถ่อมาหาเรื่องใส่ตัวที่เมืองMนี่ เขาควรจะอยู่เสพสุขดั่งคุณชายที่เมืองHไม่ดีกว่าเหรอ?
หนีซีโย่วถอนหายใจเบาๆ มองไปที่หลิงเล่ “เสี่ยวเล่~ตอนนี้เรื่องอื่นเราอย่างเพิ่งไปสนใจ แต่เราจำเป็นต้องคุยเรื่องระหว่างแกกับคุณหนูมู่ก่อนเป็นอันดับแรก ครั้งแรกที่แกเจอเธอมันคือตอนไหนกันแน่?”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ทุกคนต่างก็พากันตกใจ สีหน้าแตกต่างไปคนละแบบ
จั๋วซีขมวดคิ้วอย่างแรงด้วยความสงสัยอย่างถึงที่สุด คราวก่อนที่เมืองH พี่ชายของเขาได้ไปขอให้คนที่ตระกูลหนีช่วยตามหาคุณหนูมู่ เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างซือซ่าวกับคุณหนูมู่พี่ชายก็ได้เล่าให้หนีจื่อหยางฟังไปหมดแล้ว
ถ้ามองจากความเป็นจริง หนีซีโย่วก็น่าจะรู้เรื่องนี้แล้วเหมือนกัน แล้วทำไมเธอถึงยังถามมาอย่างนั้นอีกล่ะ?
หรือว่ามันยังมีอะไรซ่อนอยู่อีกอย่างนั้นเหรอ?
ส่วนหลิงเล่นั้นก็ได้แต่ยืนแข็งทื่อ ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย เหมือนกำลังถูกคนอื่นจี้ใจดำอยู่
หนีซีโย่วยังพูดต่ออีกว่า “ให้ฉันทายนะ ฉันคิดว่าวันนี้แกคงใช้อุบายบางอย่างเพื่อหลอกให้คุณหนูมู่ตัดสินใจมาอยู่กับแก จากนั้นคุณหนูมู่ก็รู้เรื่องเข้า รวมถึงเรื่องขาทั้งของข้างของแกด้วย……ที่เธอไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน ใช่ไหม?”
“คุณหญิงเยว่หยาครับ” จั๋วซีที่เห็นซือซ่าวกับคุณหนูมู่ต้องเป็นอย่างนี้ เขาเองก็รู้สึกปวดใจอยู่เหมือนกัน และเขาก็รู้ดีว่าในโลกใบนี้มีเพียงแค่หนีซีโย่วคนเดียวเท่านั้นที่จะไม่มีทางทำร้ายซือซ่าวเด็ดขาด แถมยังรู้ดีว่าคุณหญิงเยว่หยามีใจที่จะช่วยเหลือซือซ่าวจริงๆ เขาจึงไปพูดขึ้นว่า “เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ…”
แล้วเขาก็ได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นตั้งแต่คืนนั้นจนถึงตอนนี้ให้เธอฟัง อย่างละเอียด
เมื่อหนีหย่าจูนที่นั่งอยู่ตรงโซฟาได้ฟังเรื่องทั้งหมดแล้ว เขาก็กำหมัดแล้วลุกพรวดขึ้นมา จากนั้นก็บอกกับหลิงเล่ไปว่า “สาวน้อยพูดไว้ไม่มีผิด พี่มันก็แค่ไอ้ชาติชั่ว! ทั้งที่เธอทุ่มเทเพื่อพี่ขนาดนั้น แต่พี่ก็ยังไปหลอกลวงเธออย่างนี้อีกเหรอ? พี่รู้จักคำว่าใส่ใจบ้างไหม? ความจริงแล้วพี่รักและเข้าใจเธอจริงๆ หรือเปล่า? พี่ดูไม่ออกรึไงว่าเธอเป็นเด็กที่มีความใฝ่ฝันมากแค่ไหน? เธอสามารถเสียสละเพื่อพี่ได้ทุกอย่าง เพื่อพี่แล้วต่อให้มันอันตรายแค่ไหน ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟเธอก็ยอม แต่เธอไม่สามารถยอมรับการบีบบังคับและการหลอกลวงที่พี่ทำได้! เด็กสาวทุกคนต่างก็ต้องมีความฝันเป็นของตัวเอง เธอพูดไว้ไม่มีผิด ว่าสิ่งที่พี่ทำลายไปไม่ใช่แค่เยื่อพรหมจรรย์ แต่มันคือความฝันทั้งชีวิตของเด็กสาวคนหนึ่งเลยนะ!”
“ความรักมันไม่ต้องอยู่ในความฝันตลอดไปสักหน่อย แต่เดิมทีความเป็นจริงมันก็เป็นเรื่องที่โหดร้ายอยู่แล้ว! ถ้าฉันไม่ใช่อุบายล่อลวง แล้วฉันจะได้เธอมาได้ยังไงล่ะ?”
หลิงเล่ขยับวีลแชร์เบาๆ แล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามองเขา “ตอนที่ฉันยังเด็ก ฉันเองก็เคยมีความฝัน เคยฝันว่าอยากจะให้แม่พื้นคืนกลับมา เคยฝันว่าฉันอยากจะเปิดปากพูดได้เหมือนคนอื่นเขา ต่อมายังเคยฝันอีกว่าฉันอยากจะลุกขึ้นมาก้าวเดินได้อย่างปกติ แต่ว่ามันเป็นไปได้ไหม? การที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้สำเร็จได้ ก็คือต้องเผชิญหน้ากับความจริงให้ได้ส่วนคนที่มีคนรักใคร่เอาใจมาตั้งแต่เด็กอย่างแก มีสิทธิ์อะไรมาพูดเรื่องความฝันกับคนพิการที่ถูกคนทั้งโลกหัวเราะเยาะมาตั้งแต่เด็กอย่างฉัน? หนีหย่าจูน แกคิดว่าแกกับฉันเราอยู่ในจุดยืนเดียวกันเหรอ? แกคิดว่าสามารถเอาฉันไปเปรียบเทียบกับแกไม่อย่างนั้นเหรอ?”
คำพูดของเขาทำให้หนีหย่าจูนถึงกับเถียงไม่ออก!
แต่เขาก็ยังขมวดคิ้วแล้วพูดออกไปว่า “แต่ไม่ว่ายังไง พี่ก็ควรที่จะอ่อนโยนและรักใคร่เธอมากกว่านี้หน่อย ควรทำให้เธอยอมมอบตัวเองให้พี่ตัวความสมัครใจ! แต่สิ่งที่พี่กำลังทำกับเธอในตอนนี้มันคืออะไร? เบ่งอำนาจ กักขัง ไร้เหตุผลพี่มันก็แค่………ไอ้บ้าที่เอาแต่ใจตัวเอง!”
“ใช่ ฉันมันเอาแต่ใจ แล้วมันจะทำไม?”
“……”
ในตอนที่หนีหย่าจูนกำลังหาคำมาเถียงไม่ได้อยู่นั่นเอง หลิงเล่ก็ได้กดเสียงให้ต่ำลง แล้วถามเชิงกดดันไปว่า “ตั้งแต่แกเกิดจนถึงตอนนี้ ก็ได้มีคนคอยสอนวิธีการเป็นคนให้แก มีคนคอยรักคอยประคบประหงม มีคนคอยชื่นชมแกอยู่ตลอด ถ้าแกเกิดไปพบกับผู้หญิงที่แกชอบเข้า มันก็คงเป็นเหมือนได้พบกับแสงที่สาดส่องเข้ามา มันอุ่นมาก แล้วแกก็จะไปปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเธออย่างสง่างาม แต่ว่านะ แกอย่ามาคาดหวังอะไรกับคนอย่างฉันเลย คนอย่างฉันหน่ะ ไม่มีทางที่จะสามารถปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าของผู้หญิงที่ฉันรักได้อย่างสง่างามแบบแกหรอกนะ ฉันพยายามอย่างเต็มที่แล้วถึงแม้วิธีที่ฉันใช้มันอาจจะทำให้แกรู้สึกว่าฉันมันไร้ยางอาย แต่ฉันก็กำลังรักเธออย่างเต็มที่แล้ว”