บทส่งท้าย 1 พระสุเมรุ
รัชศกเทียนหยวนปีที่เก้าสิบล้าน ราชาแห่งความไร้ระเบียบได้เริ่มต้นสงครามทำลายล้างโลกซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ‘สงครามราชาแห่งความไร้ระเบียบ’ ตามประวัติศาสตร์ ปฐมราชินีหยวนชูเป็นผู้นำเหล่าขุนเขาและท้องทะเลเข้าร่วมกับกองกำลังเทพแห่งความมืดที่นำโดยแอนนาเพื่อปกป้องศัตรูที่ทะเลสาบสือซ่าไห่ แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้
อย่างไรก็ตาม จวินโฮ่วพยายามอย่างหนักเพื่อกอบกู้วิกฤตที่สิ้นหวัง ทำลายราชาแห่งความไร้ระเบียบที่ทะเลสาบสือซ่าไห่ ทำให้ใต้หล้านี้กลับมาสงบสุขอีกครั้ง
ในเวลานั้น ประวัติศาสตร์อย่างไม่เป็นทางการยังกล่าวไว้ด้วยว่า ราชาแห่งความไร้ระเบียบถูกจวินโฮ่วหรงอี้และปฐมราชินีใช้ความจริงใจเข้าหว่านล้อมจนในที่สุดเขาก็หลุดพ้นจากเส้นทางสายมารและสิ่งที่แลกมาได้ก็คือความสงบสุขของสวรรค์เก้าชั้นฟ้า
……
จากบันทึกประวัติศาสตร์เทพทั้งสองฉบับ ประวัติศาสตร์ที่บันทึกอย่างเป็นทางการนั้นย่อมแม่นยำกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ประวัติศาสตร์ที่ไม่เป็นทางการนั้นก็ไม่ได้ ‘มั่ว’ ไปเสียทั้งหมด เพราะในขณะที่สวรรค์เก้าชั้นฟ้ากำลังจะพังทลายลงอย่างสมบูรณ์และดวงวิญญาณทั้งหมดในสวรรค์เก้าชั้นฟ้าได้สลายไปอย่างรวดเร็ว หรงต้าซือมิ่งผู้นั้นก็ฝ่าด่านเคราะห์สำเร็จเพราะปฐมราชินีจริงๆ
หนึ่งความคิดทลายทุกสิ่ง
ดวงวิญญาณของทุกสรรพสิ่งหวนกลับสู่ความเงียบงัน
ขณะที่เขาเพิ่งหลอมรวมกับร่างพลังสุดท้าย แม้ว่าหรงอี้จะไม่ถูกพลังของตัวเองทำลาย แต่เขาก็ยังเป็นแหล่งของพลังทำลายล้าง เขาเกือบจะทำลายภรรยาที่เขารักที่สุดด้วยซ้ำ
หนึ่งความคิดบุปผาผลิบาน
ความเงียบทั้งหมดนำไปสู่การให้กำเนิดชีวิตใหม่
เมื่อสวรรค์เก้าชั้นฟ้ากำลังจะถูกทำลายล้างอย่างสมบูรณ์ ความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองทำให้หรงอี้เปลี่ยนต้นกำเนิดของกายศักดิ์สิทธิ์และพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขา ให้เขาเปลี่ยนจากการทำลายล้างไปสู่การสรรค์สร้างโดยตรง
เพราะแต่เดิมเขาก็ไม่ใช่…เกิดมาเพื่อทำลายล้าง
เขาไม่ใช่
เขาเพียง ‘ถูก’ ผลักดันให้เดินไปสู่การทำลายล้างทีละก้าว
ดังนั้น…เขาไม่ได้เกิดมาเพื่อทำลายล้าง
ดังนั้น…เขาจึง ‘เดิน’ ออกมาได้ในวินาทีท้ายสุด
‘เดิน’ ออกมาจากการทำลายล้างโดยสมบูรณ์
เขาเพียง ‘ถูก’ ผลักดันให้เดินไปสู่การทำลายล้างทีละก้าว
ดังนั้น…เขาจึงเป็นทั้งบ่อเกิดแห่งความพังพินาศและก็เป็นจุดกำเนิดของชีวิตที่ถูกสรรค์สร้างขึ้นมาด้วย
……
ในอดีต เขาไม่สามารถเปลี่ยนต้นกำเนิดของพลังทำลายให้กลายเป็นต้นกำเนิดของพลังสรรค์สร้างได้ กระทั่งไม่สามารถควบคุมต้นตอของการทำลายล้างที่เกิดจากตัวเขาเองได้
ดังนั้นในการกลับชาติมาเกิดครั้งแรกแต่ละครั้ง เขาจึงตายลงด้วยการทำลายตัวเองจนกระทั่งต้นตอของการทำลายล้างส่วนใหญ่กลายเป็นร่างพลังงานและแยกออกจากร่างหลักของเขา สภาพเขาถึงค่อยๆ มั่นคงขึ้น
เป็นเวลานับหลายล้านปีที่เขาบังคับให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นและเส้นทางที่เขาเลือกเดินคือเส้นทางของการพิชิตที่ต้อง ‘เผชิญซึ่งหน้า’ และ ‘กำจัดอย่างเด็ดขาด’ สิ่งนี้ทำให้เขาสามารถหลอมร่างพลังกลับเข้าสู่ร่างหลักได้ทั้งหมดโดยที่ยังไม่สูญเสียการควบคุมไป
แต่การควบคุมได้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเชี่ยวชาญมัน
จนกระทั่งตอนนี้…วินาทีนี้
เมื่อสวรรค์เก้าชั้นฟ้าพังทลาย
วิญญาณที่ถูกเขาทำลายได้รับการฟื้นคืนกลับมาใหม่
หรงอี้
ตอนนี้เขาถึงเพิ่งเชี่ยวชาญมันอย่างสมบูรณ์
เขาครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์แห่งโชคชะตาและต้นกำเนิดของพลังสรรค์สร้างมาตั้งแต่กำเนิด
สวรรค์เก้าชั้นฟ้าทั้งหมดไม่เพียงแต่ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วเท่านั้น มิติเวลายังมีเสถียรภาพมากขึ้นด้วย
มิติของดินแดนปีศาจนี้ที่มีความแปรผันอย่างมากเองก็หายไปโดยตรง
ทะเลสาบสือซ่าไห่ ดินแดนอันอุดมสมบูรณ์แห่งใหม่สำหรับเผ่ามารก็ได้พัฒนาไปเป็นมหาทวีปอย่างสมบูรณ์
เมืองทั้งหมดที่ถูกทำลายในสวรรค์เก้าชั้นฟ้าและสามโลกก็ถูกฟื้นฟูกลับมาดังเดิม
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้…
ทำให้จิ่วอิงซึ่งในที่สุดก็ย่อยสลาย ‘ร่างกาย’ ของราชาแห่งความไร้ระเบียบน้ำตาไหลพราก
“ดีจริงๆ”
“เหมียว”
ในฐานะตัวตนที่ติดตามอยู่ข้างกายหรงอี้ ผ่านเคราะห์ผ่านอันตรายกับอีกฝ่ายมาเนิ่นนาน จิ่วอิงและแมวขาวตัวน้อยรู้ดีว่าอี้เอ๋อร์ที่พวกมันเฝ้าดูแลมาโดยตลอด เสี่ยวอี้เอ๋อร์ฝ่าด่านเคราะห์สำเร็จแล้ว
เขาไม่เพียงแต่ควบคุมต้นกำเนิดของพลังทำลายล้างของตัวเองได้ แต่ยังเปลี่ยนมันไปเป็นต้นกำเนิดของพลังสรรค์สร้าง และสิ่งนี้ ก็คือตัวแปรที่ดีที่สุดที่ทำให้การฝ่าด่านเคราะห์ประสบความสำเร็จ
เดิมที จิ่วอิงคิดว่าแค่นายน้อยสามารถควบคุมสัญชาตญาณการทำลายล้างของเขาได้เพียงเล็กน้อย แค่นั้นก็ไม่เลวแล้ว
ตอนนี้มันไม่คาดคิดจริงๆ ว่าในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด ทุกอย่างจะออกมาดีในท้ายที่สุด
สวรรค์เก้าชั้นฟ้าไม่ถูกทำลาย
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์เองก็ปลอดภัยดี
อี้เอ๋อร์ประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์
“อุแว้”
จิ่วอิงอยากกินคนเพื่อเลี้ยงฉลองสักหน่อย
แต่เหล่ามนุษย์ที่รายล้อมมันมีแต่คนดี ไม่มีคนเลว มันไม่สามารถกินได้
“เหมียว”
แมวขาวตัวน้อยกระโจนขึ้นไปหาต้าซือมิ่งเป็นตัวแรก กอดเขาเอาไว้แน่น
ในฐานะแมวที่มองดู ‘เด็กคนนี้’ ตั้งแต่ก่อตัวจนกำเนิด มันเองก็เห็นกับตาแล้วว่า ‘ตุ๊กตา’ ตัวนี้เติบโตจากเด็กน้อยสุดดุร้ายไปเป็นเด็กหนุ่มที่สามารถทำลายทุกสิ่งแม้แต่ตัวเองได้อย่างไร
ยากมากจริงๆ…
ทั้งครอบครัวกังวลเพราะเรื่องของเขามาก
ตอนนี้ ในที่สุดทุกอย่างก็จบลงแล้วเหมียว
แมวขาวตัวน้อยมีความสุขมาก มันร้องเรียก ‘เหมียวเหมียว’ ต่อไปไม่หยุด
“พ่อ”
เจ้าตัวเล็กที่ตามหลังแมวขาวตัวน้อยมา กระโจนเข้าใส่บิดาผู้ให้กำเนิด
เขากอดบิดาไว้แน่น เตะน่องเล็กๆ นั้นด้วยความตื่นเต้นและมีความสุขอย่างอธิบายไม่ถูก เขามีความสุขมากจริงๆ~
ส่วนเยี่ยนอวี๋
นางลอยตัวอยู่ในอากาศไม่ขยับ
ไม่ใช่ว่านางไม่อยากขยับ
ไม่ใช่ว่านางไม่อยากกระโจนเข้าไปหาเขา
ไม่ใช่ว่านางไม่อยากกอดสามีของนางเอาไว้แน่นๆ
แต่เป็นเพราะ…
นางกำลังหวาดกลัว ความหวาดกลัวที่ล้นทะลักเข้ามาในภายหลังทำให้แขนขาของนางไร้กำลังโดยสิ้นเชิง
กลัว
นางกลัวมากจริงๆ
นี่คือนับตั้งแต่ที่เยี่ยนอวี๋มีสติปัญญา
เป็นหนึ่ีงครั้งที่นางรู้สึกหวาดกลัวมากที่สุด
แต่ก่อน…ไม่ว่านางจะเผชิญหน้ากับใคร เกิดอะไรขึ้น หรือเผชิญกับความยากลำบากมากแค่ไหน นางก็ไม่เคยกลัวมากขนาดนี้
คราวนี้นางรู้สึกหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน กระทั่งถึงตอนนี้ นางก็ยังแขนขาอ่อนแรงอยู่
ส่วนหรงอี้
เขายังไม่ลืมตาขึ้นมา
แสงที่คิ้วของเขายังไม่สลายไปจนหมด
สวรรค์เก้าชั้นฟ้าทั้งหมดยังคงถูกพลังของเขาโอบอุ้มเอาไว้อย่างมั่นคง
ส่วนเขาในระหว่างนี้
ตั้งแต่อาภรณ์ไปจนถึงเส้นผมสีน้ำหมึก เปลี่ยนเป็นอาภรณ์สีขาวที่ปลิวไสวไปตามแรงลม
เพียงแค่นี้…ก็ทำให้อินหลิวเฟิงที่เพิ่งขึ้นมาจากโลกมนุษย์ จู่ๆ ก็ตระหนักรู้ “ในที่สุดข้าก็รู้แล้วว่าทำไมต้าซือมิ่งถึงไม่ชอบเสี่ยวเฮ่าเฮ่า”
เพราะอย่างไรเซ่าเฮ่าก็เป็นที่รู้จักในนามของจักรพรรดิขาว เป็นเพราะเขามักจะสวมชุดสีขาวเดินไปทั่ว
ส่วนต้าซือมิ่งบางคน ในอดีต เขาเองก็เป็นชายหนุ่มรูปงามที่ชอบสวมชุดสีขาวเช่นกัน
จุดนี้……แมวขาวตัวน้อยรู้ดีกว่าใครที่สุด
มันรู้ว่าต้าซือมิ่งบางคน นับตั้งแต่วินาทีที่เขาเกิดมาเขาก็หมกมุ่นกับชุดสีขาวเป็นพิเศษ ชุดตัวเล็กมากมายที่มารดาของเขาจัดเตรียมไว้ให้อย่างยากลำบากล้วนถูกเขา ‘โยนทิ้ง’ ไป มีเพียงชุดสีขาวของของบิดาเท่านั้นที่ถูกใจเขา เขาจึงสวมมัน
เดิมทีคิดว่าเมื่อเขาโตขึ้น รสนิยมของเขาจะเปลี่ยนไปแล้วเหมียว~
คิดไม่ถึง ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นเช่นนั้นนะเหมียว
หลังจากแมวขาวตัวน้อยใช้สายตาพิจารณาต้าซือมิ่งบางคนขึ้นลงหลายตลบ มันก็ฟุบกลับลงไปที่คอของต้าซือมิ่งอีกครั้ง กอดเขาไว้แน่นต่อไป
ส่วนเยี่ยนอวี๋
ในที่สุดนางก็ขยับตัว
แต่ก่อนที่นางจะโผเข้าสู่อ้อมอกของผู้เป็นสามี…
ต้าซือมิ่งก็ชิงตัดหน้า เป็นฝ่ายดึงนางเข้าไปในอ้อมแขนของเขาก่อน
เขาที่ยังไม่ได้ลืมตาขึ้นมา ดึงตัวภรรยาตัดผ่านช่องว่างของอากาศให้นางเข้ามาซบอยู่ในอ้อมแขนของเขา
เยี่ยนอวี๋รู้สึกเพียงว่ารอบตัวนางถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควันและในชั่วพริบตา ร่างของนางก็มาอยู่ในอ้อมแขนแกร่งของสามี
สำหรับเจ้าตัวเล็กบางคน ถูกบิดาของเขา ‘โยน’ ไปด้านหนึ่งโดยปริยาย
ส่วนเยี่ยนอวี๋
ในที่สุดนางก็ได้กอดสามีไว้แน่นสมใจ
แต่แค่กอดยังไม่พอ มันไม่พอ…
ขาเรียวยกขึ้นไปพาดกับเอวแกร่ง นางในเวลานั้น ประหนึ่งจำแลงร่างเป็นปลาหมึกยักษ์ที่งอกหนวดขึ้นมา ทั้งแขนขาและลำตัว ‘แนบติด’ ไปกับลำตัวของสามีนางทั้งหมด
ส่วนหรงอี้ที่สัมผัสได้ถึงการเกาะหนึบของภรรยา เวลานี้ถึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้น นัยน์ตาสีม่วงที่ประดุจดั่งอัญมณีล้ำค่าที่ทั้งคมปลาบและล้ำลึก ในครรลองสายตาของเขา มีแต่สตรีที่อยู่ตรงหน้าเขา สตรีที่ซุกอยู่ในอ้อมแขนของเขาเท่านั้น
สองสามีภรรยา……ไม่มีใครพูดอะไร
แต่ทุกสรรพชีวิตในที่นั้นล้วนสัมผัสได้ถึงความรักที่ไร้เสียง ความเสน่หาอันลึกซึ้ง และความหลงใหลจากตัวพวกเขาได้
ความรักนี้มากเสียจนทำให้สรรพชีวิตทั้งมวลพร้อมใจกันเงียบเสียง พวกเขาทำเพียงมอง มองสองสามีภรรยาที่กอดกันแน่น
สำหรับเจ้าตัวเล็กบางคน…
ขออภัย
ในสายตาของทุกคนไม่มีเขาอยู่
หลักๆ คือการปรากฏตัวของบิดาและมารดาของเขาดึงดูดสายตามากเกินไปจึง ‘กลบ’ การมีอยู่ของเจ้าตัวเล็กที่ทั้งน่ารักและน่าเอ็นดูอย่างเขาไปจนหมด
อย่างไรก็ตาม…
นายน้อยเสี่ยวเป่าอย่างไรก็ยังเป็นนายน้อย
หลังจากถูกคนเมินให้อยู่ด้านข้างพักหนึ่ง เขาก็ไม่เต็มใจที่จะถูก ‘ละเลย’ อีกต่อไป แขนขาป้อมสั้นดันตัวเองให้เข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของบิดามารดา “อ้า เป่า ยังมีเป่าอยู่นะ อุ้มเป่าหน่อย”
“พรืด~” อินหลิวเฟิงหลุดหัวเราะ
“ฮ่า” ซีหวังหมู่เองก็หัวเราะเช่นกัน
สรรพชีวิตทั้งมวลล้วนหัวเราะอย่างครึกครื้น ในที่สุดพวกเขาก็รับรู้ถึงความรู้สึกยินดีที่รอดชีวิตจากภัยพิบัติครั้งนี้มาได้
แต่ซีหวังหมู่ยังคงหวาดผวาอยู่ “จะว่าไป ราชาแห่งความไร้ระเบียบคราวนี้คงตายสนิทแล้วกระมัง”
“น่าจะตายสนิทแล้วนะ?” เทียนตี้ที่เพิ่งหัวเราะอย่างโล่งใจ จู่ๆ ก็เริ่มไม่แน่ใจเล็กน้อย “วิธีการในครั้งนี้ของอาจารย์พ่อคงทำให้เขาไม่อาจฟื้นคืนกลับมาได้อีกแล้ว”
“ข้าเดาว่าเขามีร่างแยกอยู่สามร่าง กล่าวตามหลักและเหตุผล ในปรภพน่าจะเหลือร่างแยกของเขาอยู่อีกร่างหนึ่ง อย่างไรก็ตามข้าเองก็รู้สึกว่าวิธีการของต้าซือมิ่งในคราวนี้ ได้กำจัดเขาไปแล้วอย่างสมบูรณ์” อินหลิวเฟิงกล่าวความคิดของเขา
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเจ้านี่มีร่างแยก” ซีหวังหมู่ถามอย่างไม่เข้าใจ
คนที่ตอบคำถามกลับเป็นอิงเจาที่เพิ่งได้สติกลับมา “เป็นเพราะพวกเราบังเอิญฆ่าร่างแยกของเขาร่างหนึ่งในโลกมนุษย์ จากนั้นเจ้าวิหคทมิฬตัวใหญ่นี่ก็รู้สึกว่าในเมื่อมีหนึ่งก็น่าจะมีร่างแยกร่างที่สองอยู่อีก”
“น่าเสียดายที่ทุกอย่างสายเกินไป จิ๊บจิ๊บ…” อินหลิวเฟิงมาทันจังหวะพอที่จะเห็นจิ๊บจิ๊บหายไปกับตา มันถูกราชาแห่งความไร้ระเบียบกลืนกินไป
เทียนตี้เงียบกริบ…
ซีหวังหมู่น้ำตา ‘ร่วงเผาะ’ ลงมาจากดวงตา “ไม่เพียงแต่จิ๊บจิ๊บที่ตายไปเท่านั้น แต่เสี่ยวเฮ่าเฮ่าเองก็ตายเหมือนกัน”
อิงเจาอุทานด้วยความไม่เชื่อ “ตายไปแล้ว? เกิดอะไรขึ้น”
“เสี่ยวเฮ่าเฮ่า” จิ่วเฟิ่งนึกย้อนกลับไปอย่างเศร้าใจ
“หมายความว่าอย่างไรที่ว่าตายไปแล้ว” อันที่จริงอิงเจารู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร เพราะขณะที่เซ่าเฮ่าร่วงหล่น ตัวมันเองก็รับรู้ได้เหมือนกัน เพียงแต่มันไม่อยากจะเชื่อ
อินหลิวเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วถาม “ไม่มีวิธีการใดพาเขากลับมาได้เลยหรือ”
เทียนตี้หยิบจี้หยกที่เซ่าเฮ่าทิ้งไว้ออกมา ไม่พูดอะไรสักคำ
อิงเจาเริ่มร้อนรนแล้ว “หมายความว่าอย่างไร อ้านี่ พวกเจ้าอธิบายให้ชัดเจนได้หรือไม่”
“ทำได้” ม้าเฉิงหวงที่ลงมาจากท้องฟ้ากล่าว “ข้าได้รวบรวมเศษเสี้ยววิญญาณที่เหลืออยู่ของเสี่ยวเฮ่าเฮ่าเอาไว้แล้วและด้วยจี้หยกชิ้นนี้ นายท่านน่าจะสามารถชุบชีวิตเสี่ยวเฮ่าเฮ่าได้ แต่จิ๊บจิ๊บ…”
หลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง ม้าเฉิงหวงก็ส่ายหัวด้วยความเสียใจ “ข้าไม่ได้รวบรวมดวงวิญญาณของมันไว้”
“ท้ายที่สุดมันถูกราชาแห่งความไร้ระเบียบกลืนกินไป” จิ่วเฟิ่งไม่แปลกใจ
เทียนตี้กำจี้หยกในมือของเขาแน่นอีกครั้ง “ข้าควรจะปกป้องจิ๊บจิ๊บ เสี่ยวเฮ่าเฮ่าเตือนข้าแล้วว่าราชาแห่งความไร้ระเบียบมีเจตนาชั่วร้ายต่อจิ๊บจิ๊บ เกรงว่าจะมีแผนการอะไรอยู่”
“เรื่องนี้ไม่อาจตำหนิเจ้า ราชาแห่งความไร้ระเบียบเพิ่งจะตายไป กฎระเบียบในสวรรค์เก้าชั้นฟ้าทั้งหมดกำลังอยู่ระหว่างฟื้นตัว” จิ่วเฟิ่งส่ายหัวแล้วเอ่ยปลอบใจ “คงพูดได้เพียงว่าราชาแห่งความไร้ระเบียบมากกลอุบายเกินไป”
“โชคดีที่จวินโฮ่วเชื่อถือได้” ซีหวังหมู่ปาดน้ำตา
เทพอัสนีกลับกล่าวด้วยความหวาดผวา “จวินโฮ่วเองก็น่ากลัวไม่แพ้กัน อีกเพียงนิดเดียว นายท่านก็…”
แม้ว่าเทพอัสนีจะพูดไม่จบ แต่ทุกคนก็เข้าใจความหมายที่เหลืออยู่ของประโยคต่อจากนั้น
พูดได้แค่ว่า…
โชคดีมากจริงๆ
โชคดีอย่างถึงที่สุด
อย่างไรก็ตาม…
ตอนนี้เองแอนนาก็มาปรากฏตัวข้างๆ เม่ยเอ๋อร์ ยื่นมือไปตบหลังเม่ยเอ๋อร์เบาๆ
ร่างกายของเม่ยเอ๋อร์แข็งทื่อ
แอนนากล่าวว่า “มีสาวใช้ข้างกายอย่างเจ้าอยู่ นับเป็นหนึ่งในกำไรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเยี่ยนอวี๋หลังจากที่กลับชาติมาเกิดใหม่ แต่ข้าสงสัยมาโดยตลอดว่าเจ้าเกิดมาได้อย่างไรกัน”
เมื่อสักครู่นี้เอง ขณะที่เยี่ยนอวี๋เกือบจะถูกสามีแท้ๆ ‘สังหาร’ ในขณะที่ผู้ชมทั้งหมดที่ยืนตกตะลึง มีเพียงเม่ยเอ๋อร์เท่านั้นที่เผาผลาญดวงวิญญาณของนาง เห็นได้ชัดว่านางมีความคิดที่จะฆ่าต้าซือมิ่งบางคน
แอนนาเชื่อเหลือเกินว่าตราบเท่าที่ต้าซือมิ่งขยับอีกแม้เพียงเล็กน้อย เม่ยเอ๋อร์จะลงมือทันที
สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ…เม่ยเอ๋อร์ในสภาพพร้อมโจมตีนั้น น่ากลัวมาก
แอนนารู้สึกว่านางหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
แอนนากระทั่งสงสัยว่า ในการต่อสู้ครั้งนี้ เม่ยเอ๋อร์ที่ไม่ได้ลงมือ อันที่จริงนางกำลังรอ ‘จังหวะ’ นั้นอยู่ จังหวะที่เยี่ยนอวี๋เผชิญกับอันตรายมากที่สุด
ดังนั้นแอนนาจึงคิดจริงๆ ว่าการมีสาวใช้อย่างเม่ยเอ๋อร์ เป็นกำไรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเยี่ยนอวี๋หลังจากที่นางกลับมาเกิดใหม่ เพราะไม่ว่าจะในเวลาใด ทั้งใจและความคิดของเม่ยเอ๋อร์ก็มีเพียง ‘การปกป้องคุณหนูใหญ่’ เท่านั้น
แอนนาเลยอยากรู้มากว่าเม่ยเอ๋อร์คนนี้มาจากไหน นางเองก็อยากได้ ‘เม่ยเอ๋อร์’ แบบเดียวกัน
น่าเสียดายที่เม่ยเอ๋อร์ส่ายหัวแล้วตอบว่า “ข้าไม่รู้เจ้าค่ะ เมื่อข้ามีสติ ข้าก็อยู่ตรงหน้าคุณหนูใหญ่แล้ว”
“เช่นนั้นการบ่มเพาะของเจ้าเล่า เจ้ามีมันได้อย่างไร”
“คุณหนูใหญ่สอนข้าเจ้าค่ะ”
“…”
แอนนายังคงตบหลังเม่ยเอ๋อร์ ไม่พูดอะไรแล้วตั้งใจว่าค่อยไปถามเยี่ยนอวี๋เองทีหลัง
……
ในเวลาเดียวกัน เจ้าตัวเล็กบางคนที่ใช้ความพยายามอย่างหนัก ในที่สุดก็ซุกตัวเข้าไปในอ้อมแขนของบิดามารดาได้สำเร็จ ใบหน้าเล็กๆ ของเขาแดงก่ำเพราะออกแรงมากเกินไป หน้าอกเล็กๆ กระเพื่อมขึ้นลงถี่ๆ
เยี่ยนอวี๋จุมพิตเด็กน้อยที่แทรกตัวเข้ามา จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองสามี แน่นอนว่าย่อมสบกับดวงตาของสามีซึ่งจ้องมองนางอยู่พอดี
ดวงตาทั้งสองคู่สบตากัน สายตาถูกหยุดไว้อยู่อย่างนั้นราวกับว่ารอบด้านเงียบงันไร้ซึ่งเสียงใดๆ
สองสามีภรรยาเพิ่งประสบกับช่วงเวลาที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด แม้ว่าพวกเขาจะมีคำพูดนับล้านคำอยู่ในใจ แต่กลับไม่อาจพูดออกมาได้แม้แต่คำเดียว…
หลังจากนั้นไม่นาน
จุมพิตของหรงอี้ก็ประทับลงบนหว่างคิ้ว เปลือกตา จมูก และริมฝีปากของภรรยาของเขาอย่างแผ่วเบา…
เขายกมือขึ้นกระชับท้ายทอยของภรรยา คิดเพียงแค่อยากจุมพิตเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ของเขา กลืนกินริมฝีปากของนาง สอดประสานสองลมหายใจ ให้นางหลอมรวมเข้ากับร่างของเขา
ความหวาดกลัวในภายหลัง ได้ทำให้เขาอยากจะกักขังเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ไว้ในร่างของเขาอย่างบ้าคลั่ง ปกป้องนางจากอันตรายทั้งมวลชั่วนิจนิรันดร์ ซ่อนนาง ไม่ให้นางได้พบกับภัยอันตรายใดๆ
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์…
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์
หรงอี้ร้องเรียกชื่อนี้ในใจนับครั้งไม่ถ้วน ครั้งนี้เขาถูกทำให้ตกใจไม่เบาจริงๆ
ถ้าหากว่ามันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกครั้ง เขาจะลังเลที่จะหลอมรวมร่างพลังสุดท้ายของเขา แม้ว่าผลลัพธ์ที่ออกมาคือเขาจะสังหารภรรยาของเขาด้วยมือของเขาเองอยู่อีกหรือไม่
ไม่ เขาไม่ทำ
เขาจะไม่มีวันทำซึ่งข้อเท็จจริงก็ได้พิสูจน์แล้วว่าเขาไม่ได้ทำ
ยังดี
เขาไม่ได้ทำจริงๆ ไม่ได้ทำจริงๆ
ความหวาดผวาและความหวาดกลัวในภายหลังประเดประดังเข้ามา…
จุมพิตของหรงอี้เริ่มรุกหนักและลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ
เยี่ยนอวี๋ที่หวาดกลัวเหมือนกัน นางที่ยังคงหวาดผวากอดสามีของนางแน่นขึ้น ผลคือเจ้าตัวน้อยน่ารักบางคนทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว “อ้า เป่า แบน~”
เจ้าตัวเล็กซึ่งถูกบิดาและมารดาหนีบไว้ตรงกลางก็ไม่ได้ ‘ซี้ซั้วมอง’ เขาลูบแมวขาวตัวน้อยเล่นอยู่ในอ้อมแขนของบิดามารดา รู้ความมากๆ
อนิจจาที่บิดาและมารดาของเขาดูเหมือนจะลืมเขาไปจนหมด เขาแทบจะถูกหนีบจนแบน แน่นอนว่าเจ้าตัวเล็กจะไม่ทน เขาจึงร้องงอแงออกมา
นี่ทำให้ต้าซือมิ่งบางคนแทบจะจับเด็กคนนี้โยนทิ้งไป…
โชคดีที่ม้าเฉิงหวงขัดขึ้นมา เขาเอ่ยตรงเข้าประเด็น “นายท่าน ท่านรีบมาดูดวงวิญญาณที่เหลืออยู่ของเสี่ยวเฮ่าเฮ่าก่อนเถิด”
หากไม่ใช่เพราะไม่มีทางเลือกอื่น ม้าเฉิงหวงเองก็ไม่อยากรบกวนทั้งคู่เหมือนกัน ปัญหาคือวิญญาณที่เหลืออยู่ของเซ่าเฮ่ามีแนวโน้มที่จะสลายไป
ดังนั้นต้าซือมิ่งจึงได้แต่ถอนริมฝีปากของเขาออกจากริมฝีปากของภรรยาอย่างไม่เต็มใจ โอบประคองภรรยาและลูกน้อยไปปรากฏตัวต่อหน้าม้าเฉิงหวง
“นายท่าน ดูสิ” ม้าเฉิงหวงดึงวิญญาณที่เหลืออยู่ของเซ่าเฮ่าออกมา
และเศษเสี้ยวดวงวิญญาณของเซ่าเฮ่าซึ่งกำลังจะหายไปอย่างสมบูรณ์ก็ทำให้หัวใจของเทพหลายองค์ที่เพิ่งจะวางลงกลับมาเคร่งขรึมอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามก่อนที่เยี่ยนอวี๋จะเคลื่อนไหว เยี่ยนเสี่ยวเป่าก็ชิงลงมือก่อน “ฮวาฮวา~”
ฟริ้ง
ดอกไม้ที่แสนเผ็ดร้อนเบ่งบานและขานรับ ขณะนั้นวิญญาณที่เหลืออยู่ของเซ่าเฮ่าก็ถูกห่อหุ้มไว้
ด้วยเหตุนี้ม้าเฉิงหวงจึงสัมผัสได้ว่าดวงวิญญาณของเซ่าเฮ่าที่กำลังสลายไปกลับมาคงที่แล้ว
ในเวลาเดียวกัน
“เกิด”
เยี่ยนอวี๋เองก็ใช้ทักษะคืนชีพของนางเพื่อหล่อเลี้ยงดวงวิญญาณของเซ่าเฮ่าเช่นกัน
เทียนตี้รีบส่งจี้หยกในมือของเขาออกไป จี้หยกในมือก็ละลายเข้าไปผสานกับเซ่าเฮ่า ทำให้ดวงวิญญาณที่เหลืออยู่ของเซ่าเฮ่าแข็งแกร่งขึ้นในระดับหนึ่ง
“เราจะช่วยเขาได้หรือไม่” ซีหวังหมู่กังวลมาก นางเดินวนไปมา
จิ่วอิงกลอกตา “แน่นอนสิ แม้ว่าเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์จะทำไม่ได้ แต่ก็ยังมีอี้เอ๋อร์อยู่ คิดถึงเมื่อปีนั้น เสี่ยวเหลยมีสภาพอนาถถึงเพียงนั้นไม่ใช่ว่าก็ยังช่วยกลับมาได้หรือ”
“ใช่ เจ้าอย่าเพิ่งกระวนกระวายไป” เทพอัสนีจ้องมองด้วยความมั่นใจ “เรายังมีจวินโฮ่วอยู่อีกคน”
อย่างไรก็ตาม คราวนี้ไม่จำเป็นต้องให้ต้าซือมิ่งใช้ศาสตร์ต้องห้าม
เพียงพลังของเยี่ยนอวี๋ก็เพียงพอที่จะค่อยๆ ฟื้นฟูดวงวิญญาณที่เหลืออยู่ของเซ่าเฮ่าจนกว่าวิญญาณหลักจะถูกหลอมรวมอีกครั้ง
“ยอดเยี่ยมมาก” ซีหวังหมู่คว้าตัวจิ่วอิงไว้ด้วยความตื่นเต้น ทำเอาศีรษะของจิ่วอิงแทบจะระเบิด อย่างไรเสียจิ่วอิงไม่ได้ป้องกันนางเอาไว้ก่อน
บัดซบ…
จิ่วอิงที่ได้รับบาดเจ็บสบถในใจ
แต่มันก็ไม่ได้ผลักซีหวังหมู่ออกไป ปล่อยให้อีกฝ่ายบีบต่อสักพักถึงเริ่มตะโกนออกไป “พอได้แล้วกระมัง ขืนเจ้ายังบีบข้าเช่นนี้ต่อไป เจ้าคงไม่สามารถชดใช้ศีรษะให้ข้าได้”
“ให้นายท่านช่วยเจ้าแทนก็หมดเรื่องแล้ว” ซีหวังหมู่กล่าว
จิ่วอิง “…”
ศีรษะนี้ของมันมีคุณค่ามากรู้หรือไม่
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ไม่มีทางทำให้มันงอกขึ้นมาอีกครั้งอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ในที่สุดซีหวังหมู่ก็หยุดกรงเล็บที่ร้ายกาจของนางลง
ดวงวิญญาณหลักของเซ่าเฮ่าถูกส่งไปอยู่ตรงหน้าเทียนตี้ “ส่งเขาไปที่บ่อหกวิถี”
“ได้” เทียนตี้รีบไปทันที
จิ่วเฟิ่งและคนอื่นๆ อีกหลายคน ทยอยตามหลังเขาไปอย่างไม่วางใจนัก
เยี่ยนอวี๋ไม่ได้ไปกับพวกเขาด้วย แต่ยื่นมือออกไปคว้าข้อมือของต้าซือมิ่งบางคน
แอนนาที่เห็นสิ่งนี้จึงก้าวไปข้างหน้าแล้วกล่าวว่า “ทำไม” นกยวนยางคู่นี้ยังมีปัญหาอะไรอีก…
อันที่จริง ต้าซือมิ่งสบายดี แต่เยี่ยนอวี๋ก็ยังอดไม่ได้เรียกหาบุตรชายของนาง “เสี่ยวเป่า เจ้าเองก็มาดูท่านพ่อของเจ้าหน่อยว่าเขาไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
“อ้อ~” เยี่ยนเสี่ยวเป่าจับข้อมือของบิดาเขาอย่างเชื่อฟัง ไม่รู้ว่ากำลังจับชีพจรอยู่หรือเปล่า แต่ดอกไม้น้อยก็เบ่งบานอีกครั้งและเลื่อนขึ้นไปพันตัวต้าซือมิ่ง
แอนนาจ้องไปที่เจ้าตัวเล็กโดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นว่าเขาจริงจังมากขนาดไหน นางก็รู้สึกตลกจนหลุดหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น
เจ้าตัวเล็กบางคนหลังจากได้ยินเสียงหัวเราะก็มองไปที่แอนนา จากนั้น…
เจ้าตัวเล็กบางคนก็ตกตะลึง (⊙_⊙)?
ตกตะลึงจริงๆ
ดูเหวอมาก
……
ท่าทางโง่งมเล็กๆ น้อยๆ นี้ทำให้แอนนาอดใจไม่ไหวหยิกแก้มเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยไขมันนุ่มๆ ถามด้วยรอยยิ้มหยอกเย้า “อะไรกัน พี่เป่าจำข้าไม่ได้แล้วหรือ”
“แอน…นา?” นายน้อยเสี่ยวเป่าเรียก เขาจำเขาไม่ได้จริงๆ แอนนาไม่ใช่ว่าต้องตัวเล็กกว่าเสี่ยวไป๋หรอกหรือ ทำไมถึงได้ตัวใหญ่ขนาดนี้
สิ่งสำคัญคือ นายน้อยเสี่ยวเป่าเกาหัวเล็กๆ ที่ล้านของเขา คิดว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่…
คำถามนี้ไม่สำคัญอีกต่อไปเมื่อเจ้าตัวเล็กบางคนแตะโดนศีรษะที่ล้านโล่งของเขา
แอนนาเห็นกับตาตัวเองแล้วว่าการแสดงออกบนใบหน้าเล็กๆ นั้นเปลี่ยนจากน่ารักไปเป็นตกใจ จากนั้นก็ดูไม่เชื่อและสุดท้ายกลายเป็นโศกเศร้าสุดขีดอย่างไร
ส่วนเยี่ยนเสี่ยวเป่าที่ลูบหัวตัวเองหลายครั้ง เขาเสียใจมากจนร้อง “แง” ออกมา จากนั้นก็พูดว่า “แง ท่านพ่อ เป่า ผมผมเป่าหายไปอีกแล้ว แง…”
หรงอี้ “…”
เขาสัมผัสศีรษะล้านเล็กๆ ของเจ้าตัวเล็กอย่างเงียบๆ
เยี่ยนอวี๋เองเวลานี้ถึงเพิ่งสังเกตเห็น ลูกชายตัวน้อยของนางตัวหดลงกว่าเดิมอีกแล้ว? นี่…
“มีอะไรผิดปกติกับเสี่ยวเป่าหรือไม่” เยี่ยนอวี๋มองสามีของนางอย่างพูดไม่ออก นางคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าสุดท้ายคนที่มี ‘ปัญหา’ จะไม่ใช่สามีแต่เป็นเจ้าตัวเล็ก
“ไม่มีอะไร แค่พัฒนาการย้อนกลับไป” หรงอี้อธิบายพร้อมอุ้มเจ้าตัวเล็กไว้ในอ้อมแขน ปลอบประโลมเขา “อีกไม่กี่เดือนเจ้าก็จะโตอีกครั้ง อย่าร้อง”
“แง–” เมื่อเขาได้ยินว่าต้องใช้เวลาอีกหลายเดือนกว่าที่ตัวเองจะเติบโต เจ้าตัวเล็กบางคนก็ร้องไห้หนักขึ้น เป็นเพราะตอนนี้เขาอายุยังไม่ถึงหนึ่งขวบ…ดังนั้นสำหรับเขาแล้ว สองสามเดือนนี้ช่างยาวนานมากจริงๆ นานมากๆ
แอนนาหัวเราะใส่เขาอย่างไร้ความปรานี “หัวโล้นก็น่ารักออกไม่ใช่หรือ มีอะไรให้ต้องร้องไห้กัน”
“หุบ…ปาก” เจ้าตัวเล็กโกรธมาก เขาพูดว่า “ไม่…โล้น”
แอนนายิ้มแต่ไม่พูดอะไร…
นางที่ดูเหมือนกำลังรับชมเรื่องสนุกอยู่ ทำให้เจ้าตัวเล็กบางคนโกรธมากขึ้นไปอีก “ท่านแม่ ตี แอนนา”
“อย่า ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ แบบนี้ได้แล้วใช่หรือไม่” แอนนาคิดในใจว่ายั่วยุไม่ได้ แต่นางหนีไปซ่อนตัวได้ จึงหลบหนีไปในทันที
แน่นอนว่าเยี่ยนอวี๋่ไม่ได้ไล่ตามนางไป แต่กลับหันไปสัมผัสศีรษะล้านเล็กๆ ของเจ้าตัวเล็ก รู้สึกกลัดกลุ้มเหลือจะกล่าว “ทำไมเจ้าถึงเลี้ยงไม่โตเสียที”
“อย่ากังวลไปเลย พวกเราค่อยๆ เลี้ยงดูเขาไปก็พอแล้ว” หรงอี้ที่กำลังลูบหลังอันอ่อนนุ่มของทารกนั้นไม่รีบร้อน ท้ายที่สุดในตอนที่เขายังเด็กก็เป็นแบบนี้ เผลอๆ สถานการณ์อาจจะหนักกว่าด้วยซ้ำ
เสียงท้องที่ดัง “จ๊อกๆ” ของเจ้าตัวเล็กที่กำลังถูกปลอบ เตือนให้ต้าซือมิ่งบางคนรู้ว่าถึงเวลาต้องป้อนอาหารเจ้าตัวเล็กแล้ว
เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมองบิดาด้วยสีหน้าน่าสงสาร “หิว~”
“ถ้าอย่างนั้นเรากลับบ้านไปกินข้าวเย็นกันเถิด” หรงอี้กอดลูกชายและภรรยา จากนั้นก็พาพวกเขากลับไปที่จักรวาลดั้งเดิม
แต่คำว่า ‘กลับบ้าน’ ในประโยคนี้ ทำให้เยี่ยนอวี๋่ซาบซึ้งใจมากและกอดเขาเอาไว้แน่น “สามี…”
“อย่าคิดมาก” หรงอี้จุมพิตใบหูภรรยารักเพื่อปลอบโยนนาง “ตอนนี้ข้าเชี่ยวชาญการใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองแล้ว สามารถกลับไปได้ทุกเมื่อและก็สามารถกลับมาอยู่ข้างกายเจ้าอย่างราบรื่นได้เช่นกัน ข้ายังพาท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านปู่ท่านย่าทั้งหมดมาที่นี่ได้ด้วย”
เยี่ยนอวี๋ไม่ได้พูดอะไร…
แค่กอดสามีของนางเอาไว้แน่น
ในเวลาเดียวกัน
ในสถานที่ที่ ‘ไกลแสนไกล’ จากสวรรค์เก้าชั้นฟ้า…เขาพระสุเมรุ
“อี้เอ๋อร์”
เสียงภาษาสันสกฤตที่เลือนรางแต่สง่างามค่อยๆ หายไป
**************************