เมื่อได้ยินดังนั้น ยอดฝีมือทุกคนในนั้นต่างชะงักงัน!
ยอดฝีมือจากหอสัตว์บรรพกาลคนนั้น เอ่ยตะกุกตะกักคาดเดาว่า “ความจริงแล้วเมื่อครู่นี้ข้า ข้า เหมือนว่าได้กลิ่น กลิ่นยาพยัคฆ์โชยออกมาจากในรถม้าด้วยขอรับ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เหล่ายอดฝีมือต่างก็ร้องเสียงหลง “ว่าอย่างไรนะ!”
“ยาพยัคฆ์ร้ายที่ไม่มีสัตว์บรรพกาลใดๆ ต้านทานได้น่ะหรือ!”
“เจ้าได้กลิ่นผิดไปหรือเปล่า!”
…
เมื่อสิ้นเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัย ประมุขแห่งหอสัตว์บรรพกาลก็เหาะเหินเข้ามา ตะโกนลั่นว่า “ยาพยัคฆ์! ใช่ยาพยัคฆ์แน่ๆ! ข้าได้กลิ่นแล้ว! มันอยู่ไหนกัน”
เยี่ยนอู้ “…”
เขามีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีนัก
สาวใช้ชุดดำจึงเอ่ยตอบ “อยู่ในมือของคุณหนูใหญ่ของข้าเอง”
“พูดเป็นเล่น!?” ประมุขแห่งหอสัตว์บรรพกาลต้องปะทะกับสัตว์บรรพกาลมาตลอด จึงมีนิสัยตรงไปตรงมา เขาถามขึ้นทันทีว่า “มิทราบว่าคุณหนูใหญ่ของเจ้ามีชื่อแซ่ว่าอะไรหรือ”
“คุณหนูใหญ่เยี่ยน” สาวใช้ชุดดำตอบ
ประมุขแห่งหอสัตว์บรรพกาลชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามเพื่อยืนยันอีกครั้งว่า “บุตรสาวหนึ่งเดียวของเจ้าสำนักชางอู๋ของพวกเรา…เยี่ยนจื่ออวี๋น่ะหรือ”
“ใช่แล้ว” รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏบนใบหน้าของสาวใช้ “เยี่ยนจื่ออวี๋ เศษขยะที่พวกเจ้าทอดทิ้ง เยี่ยนจื่ออวี๋ ผู้ที่กำลังจะทรยศสำนักไงล่ะ”
“ไม่ ไม่ใช่!” ประมุขแห่งหอสัตว์บรรพกาลไม่เข้าใจ “แม่นางท่านนี้ อย่าพูดสุ่มสี่สุ่มห้า นี่ นี่อาจเป็นเรื่องเข้าใจผิด! ใช่ เป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆ!” ตลกแล้ว มิต้องพูดถึงเรื่องอื่นใด เพียงแค่เยี่ยนจื่ออวี๋มียาพยัคฆ์ ต้องห้ามตั้งข้อหาทรยศสำนักกับนางเด็ดขาด มิเช่นนั้นสำนักชางอู๋ของพวกเขาต้องเกิดเรื่องอับอายเป็นแน่
สัตว์หลายพันตัวในหอสัตว์บรรพกาลของเขาคืออาวุธสำคัญของสำนักชางอู๋ พวกมันต่างพากันออกมาเหิมเกริมกันเช่นนี้แล้ว! หากทุกตัวเกิดทรยศขึ้นมาล่ะก็…
ประมุขแห่งหอสัตว์บรรพกาลเพียงแค่คิดก็รู้สึกแน่นหน้าอกจนแทบหายใจไม่ออก “ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะเกิดเรื่องอันใดขึ้น ต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดอย่างแน่นอน!” มิใช่ก็ต้องใช่!
“ท่านประมุข เกรงว่าจะไม่เหมาะสมนะ” เยี่ยนอู้พูดคัดค้านด้วยสีหน้าดูไม่ดีนัก “จื่ออวี๋นำคนมาสบประมาทถึงที่ การกระทำเช่นนี้มิควรเพิกเฉย”
“เช่นนั้นหรือ” ประมุขแห่งหอสัตว์บรรพกาลรู้สึกปวดตับขึ้นมาทันที เขาอยากจะจับเยี่ยนอู้ใส่กระสอบแล้วกระทืบจนกว่าเขาจะคิดได้ จากนั้นค่อยปล่อยเขาออกมาคุยกันให้รู้เรื่อง
เขาจึงไม่ปล่อยโอกาสให้ตัวซวยคนนี้ได้ปริปากพูดอีก เขาทำตาปริบมองเข้าไปข้างในรถม้า แล้วพูดขึ้นว่า “เอ่อ หลาน…”
ยอดฝีมือไม่น้อยคอยขัดขวางเยี่ยนอู้ไว้ตามสัญชาตญาณ ไม่ปล่อยให้เขามีโอกาสแทรกแซง!
เยี่ยนอวี๋จึงเดินอุ้มทารกที่ถูกห่อไว้ออกมาจากรถม้า “ท่านประมุขจ่าน”
และเมื่อนางก้าวออกมาจากรถม้า ความงามของนางก็เปล่งประกายจนสายตาทุกคู่แทบบอด ราวกับว่าได้เห็นดอกไม้ผลิบานในช่วงวสันตฤดูอย่างไรอย่างนั้น งามมากจริงๆ!
“นี่คือหลานชายของข้าหรือ” ประมุขแห่งหอสัตว์บรรพกาลจ้องเจ้าก้อนน้อยที่ถูกห่อด้วยผ้าห่อตัว แล้วพูดชมว่า “น่าชังเสียจริงๆ ตัวขาวดุจหิมะเลย”
“เจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี๋พยักหน้าขานตอบอย่างจริงจัง “เสี่ยวเป่าน่ารักที่สุดแล้ว”
ประมุขแห่งหอสัตว์บรรพกาลถือโอกาสพูดขึ้นว่า “เช่นนั้นให้สัตว์บรรพกาลเหล่านี้กลับไปก่อนดีหรือไม่ เกรงว่าจะทำให้เสี่ยวเป่าตกใจได้นา”
“จริงด้วย” เยี่ยนอวี๋เผยยาเม็ดกลมสีแดงเม็ดหนึ่งออกมาอย่างเห็นด้วยแล้วสั่งว่า “กลับไปเถิด วันข้างหน้าข้าจะปรุงยานี้เดือนละเม็ด พวกเจ้าผลัดกันออกมากินเสียนะ”
โฮกกก!
เหล่าสัตว์บรรพกาลต่างกู่ร้องคำรามอย่างดีใจ จากนั้นก็กลับไปด้วยความอาลัยอาวรณ์
พวก พวกมันเชื่องมาก!
แต่ทว่า…
เดี๋ยวก่อน!
ประมุขแห่งหอสัตว์บรรพกาลที่เพิ่งตั้งสติได้ รู้สึกทึ่งมาก “ยาพยัคฆ์นี้ เจ้า…เจ้าเป็นคนปรุงหรือ”
“เจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี๋พยักหน้า
ประมุขแห่งหอสัตว์บรรพกาลเบิกตากว้าง พูดตะกุกตะกักว่า “หละ หลาน หลานรัก ยาอะไรนั่นน่ะ เจ้าสามารถปรุงยาได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน”
ผู้อาวุโสท่านอื่นต่างชะงัก ไม่มีผู้ใดพบว่าเยี่ยนอู้แอบพาเยี่ยนชิงถังย่องหนีไปแล้ว…
เยี่ยนอวี๋ที่ดูเหมือนไม่เห็นเช่นกัน ตอบว่า “ลืมไปแล้วเจ้าค่ะ”
นี่คือความจริง ชื่อจริงของนางคือเยี่ยนอวี๋ บัดนี้เป็นเพียงวิญญาณที่มาเกิดใหม่ในร่างของ ‘เยี่ยนจื่ออวี๋’ เท่านั้น แต่ความสามารถมิได้เกิดใหม่พร้อมกันด้วย ทว่านางมาจุติจวบหนึ่งปีแล้ว ซึ่งเพียงพอให้นางได้ฝึกฝนวิชาขั้นพื้นฐานอย่างวิชาปรุงยาได้แล้ว
ทว่าคำตอบของนางกลับทำให้ประมุขแห่งหอสัตว์บรรพกาลจินตนาการไปต่างๆ นานา เขากำลังคิด หรือว่าที่ท่านเจ้าสำนักคอยดูแลเอาใจใส่นังหนูนี่ ก็เพราะแท้จริงแล้วนางมีความสามารถในการปรุงยา มิใช่คนไร้พลังแต่อย่างใด!
ให้ตายเถอะ!
ประมุขแห่งหอสัตว์บรรพกาลคิดไปเองว่าตนนั้นคิดถูก!
จากนั้นเขาจึงรีบพูดขึ้นว่า “แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่บอกตั้งแต่แรกเล่า ดูสิ ทำเอาทุกคนต่างเข้าใจผิดกันไปหมด และกล่าวหาว่าท่านเจ้าสำนักนั้นเห็นแก่ตัว”
“ข้าฝึกฝนสำเร็จหลังจากคลอดเสี่ยวเป่าแล้วเจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี๋พูดตามความจริง
“เช่นนี้เองหรือ” ประมุขแห่งหอสัตว์บรรพกาลคิดต่อไปว่า ก็จริง การฝึกตนเป็นนักปรุงยานั้นไม่ง่ายเลย แม้นจะมีพรสวรรค์ก็ใช่ว่าจะสำเร็จได้ ลำบากท่านเจ้าสำนักแล้วที่ต้องคอยปกปิดพวกเรา แต่ก็เป็นอันเข้าใจได้
ในเมื่อยังไม่สามารถฝึกฝนลูกให้เป็นนักปรุงยาได้ จะป่าวประกาศก็คงไม่เหมาะสม แต่ก็โชคดีที่ท่านเจ้าสำนักยืนหยัดไม่ลดละ และไม่เคยยอมแพ้ มิเช่นนั้นคงได้มีการสูญเสียอันใหญ่หลวงแน่!
ประมุขแห่งหอสัตว์บรรพกาลเพียงแค่คิดถึงความสูญเสียที่ ‘อาจ’ เกิดขึ้น ก็อดมิได้ที่จะเสียใจแล้ว เหตุใดตนจึงไม่ออกมาพูดปกป้องท่านเจ้าสำนัก เมื่อครั้นท่านถูกผู้คนกล่าวหา ช่างไม่สมควรเลยจริงๆ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ประมุขแห่งหอสัตว์บรรพกาลก็ส่งกลุ่มคนของเยี่ยนอวี๋ที่มีผู้ใหญ่สามคน และเด็กน้อยอีกหนึ่งคนไปยังหอเจ้าสำนักอย่างไม่เกี่ยงงอนทันที ทั้งยังพูดอีกว่า “ประเดี๋ยวข้าจะส่งสาส์นไปให้บิดาและพี่ชายทั้งสองของเจ้า และจะเรียกประชุมสำนัก เพื่อลบล้างคำครหาของบิดาเจ้า คืนความเป็นธรรมให้กับพวกเจ้า!”