บทส่งท้าย 5 กลับสู่เขาพระสุเมรุ
ลองดูให้ละเอียดยิ่งขึ้น…
ในแสงขนาดยักษ์สี่ดวงนี้ ดูเหมือนจะมีเงาของสัตว์ร้ายลอยอยู่
ฉากดังกล่าว…แน่นอนว่าทำให้คิเมียราที่ดูแลทะเลสาบสือซ่าไห่รู้สึกไม่สบายใจเป็นพิเศษ “ไม่มีอะไรผิดปกติจริงๆ หรือ”
“ข้าเกรงว่าจะเป็นแบบนั้น” ดวงตาของพิกซีฉายแววจริงจัง
ความกังวลของพิกซีในตอนนี้ อันที่จริงเหล่าทวยเทพบนสวรรค์ก็กังวลใจเหมือนกัน
ท้ายที่สุดแล้ว ในสายตาของเทพเจ้า จักรวาลดั้งเดิมนั้นได้หายไปแล้วเลยไม่มีใครมองเห็น…ในความเป็นจริงจักรวาลดั้งเดิมไม่ได้หายไปจริงๆ แต่เข้าไปหลอมหลวมกับขุนเขาและท้องทะเลโบราณที่เพิ่งปรากฏบนท้องฟ้าเหนือทะเลสาบสือซ่าไห่
ใช่แล้ว ในสายตาของเทพเจ้าและเผ่ามาร แสงขนาดยักษ์สี่ดวงที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมา เห็นได้ชัดว่ากำลังฝืน ‘บีบ’ ตัวเองเข้าไปในขุนเขาและท้องทะเลโบราณราวกับว่าจะฉีกขุนเขาและท้องทะเลโบราณที่ค่อยๆ ชัดเจนนี้ให้เป็นชิ้นๆ
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ…
ก่อนหน้านั้น ยังมีปรากฏการณ์ท้องฟ้าที่เป็นลางไม่ดีเกิดขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น”
“เป็นไปได้หรือไม่ที่สวรรค์เก้าชั้นฟ้าสุดท้ายก็ยากที่จะหลีกหนีหายนะพ้น?”
“ไม่กระมัง…”
เทพบางองค์ที่ตื่นตระหนกสีหน้าดูเคร่งขรึมอย่างยิ่ง
หากพวกเขาไม่เพิ่งประสบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เหล่าเทพคงไม่อาจตั้งสติได้…
อย่างไรก็ตาม ความจริงที่ว่าเทียนตี้ หยวนสื่อเทียนจุน และแม้แต่เทียนอ๋องทุกฝ่ายไม่มีใครปรากฏตัวออกมาเลย ทำให้เหล่าเทพที่ฝืนประคองสติไว้เริ่มใจสั่น
แต่ในเวลานี้เทียนตี้และคนอื่นๆ ไม่สามารถออกมาปลอบประโลมเหล่าเทพได้จริงๆ ท้ายที่สุดพวกเขาเองก็ตกใจไม่ได้น้อยไปกว่าเหล่าเทพ
โดยเฉพาะเหล่าขุนเขาและท้องทะเล
เพราะพวกมันทั้งหมดต่างก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันอย่างท่วมท้นที่มาจากแสงขนาดยักษ์ทั้งสี่ดวง
สิ่งนี้ทำให้พวกมันบังเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีต่างก็รู้สึกว่าแสงเหล่านี้อาจมาจากแหล่งกำเนิดที่ชั่วร้าย
อย่างไรก็ตาม
ในขณะที่สัตว์ร้ายตื่นตัวและเทพเจ้ากำลังหวาดหวั่นอย่างถึงที่สุด
“ครืน”
แสงขนาดยักษ์ทั้งสี่ดวงก็สลายแรงกดดันมหาศาลและลอยไปทางเยี่ยนอวี๋อย่างนุ่มนวลราวกับแสงในฤดูใบไม้ผลิ
“อ๋า?”
เยี่ยนเสี่ยวเป่าซึ่งถูกล้อมด้วยแสงทั้งสี่สี สัมผัสแสงที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างอยากรู้อยากเห็น
ผลลัพธ์คือ…
แสงหลากสีกลายร่างเป็นแสงนุ่มนวลสี่ดวง กระจายกันไปพันรอบมืออวบของเจ้าตัวเล็ก รวมถึงร่างกายเล็กๆ ใบหน้าที่นุ่มนิ่มและศีรษะล้านของเขาตามลำดับ ทุกสัมผัสนุ่มนวลเหมือนกับขนนกบางเบาที่ลูบไล้
เยี่ยนเสี่ยวเป่าจักจี้มากจนหัวเราะออกมาดังๆ “คิกคิก จั๊กจี้จังเลย ท่านแม่ อ๊า ไม่ลูบนะ~”
เยี่ยนอวี๋ก็อยากจะ ‘กรีดร้อง’ อยู่เหมือนกัน ปัญหาคือนางเองก็กำลังประสบกับสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน เป็นเพียงว่าแสงทั้งสี่บนร่างกายของนางแค่เข้ามาพันรอบข้อมือของนาง แต่นี่ก็เพียงพอทำให้นางรู้สึกคล้ายถูกบางสิ่งจั๊กจี้เบาๆ…
ส่วนเยี่ยนเสี่ยวเป่าที่จู่ๆ ก็ถูกแสงทั้งสี่อุ้มขึ้นมา เขาอดไม่ได้ระเบิดหัวเราะ “ฮ่าๆๆ” ออกมาดังลั่น แต่เขาก็ยังไม่ลืมถามมารดาของเขา “นี่อะไร”
“แม่ไม่รู้ลูก” เยี่ยนอวี๋รู้ว่าเจ้าตัวเล็กกำลังถามนางว่าแสงเหล่านี้คืออะไรและมันอุ้มเขาได้อย่างไร แต่นางก็ไม่รู้เหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม เยี่ยนอวี๋สรุปโดยสัญชาตญาณว่าแสงเหล่านี้น่าจะเกี่ยวข้องกับสามีของนาง
ความจริงเป็นอย่างที่นางคิด ถึงแม้ว่าต้าซือมิ่งบางคนจะยังหลับใหลอยู่ แต่เขาก็ได้ ‘ติดต่อ’ กับฝั่งเขาพระสุเมรุแล้ว
แสงหลากสีซึ่งปรากฏออกมาในตอนนี้ อันที่จริงถูกเขา ‘ล่อลวง’ มา ต้นกำเนิดของมันมาจากแสงศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่จากบิดาเขา
ถูกต้อง การปรากฏของแสงศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่เห็นได้ชัดว่ามาเพื่อนำทางเขาและครอบครัวของเขากลับบ้าน
แมวขาวตัวน้อยรอดพ้นจากอ้อมแขนของเจ้าตัวเล็กบางคนมาได้เพราะเหตุนี้ มันขยี้ดวงตาสีฟ้าที่ง่วงงุนของมัน “เหมียว?”
แม้แต่จิ่วอิงเองก็ออกมาจากเหล่าขุนเขาและท้องทะเล “นายน้อย?”
“เหมียว” แมวขาวตัวน้อยได้สติทันทีและเบิกตากว้าง “เหมียว เหมียว เหมียว…” เสี่ยวมั่วมั่ว มันคือกลิ่นอายของเสี่ยวมั่วมั่ว~ในที่สุดเสี่ยวมั่วมั่วก็มารับเสี่ยวอี้เอ๋อร์ทั้งสามคนกลับบ้านแล้ว?
เอ๋าเอ๋า~
แมวขาวตัวน้อยรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที มันอดไม่ได้ยกอุ้งเท้าเล็กๆ ขึ้นเกาหน้าตัวเอง “เหมียว เหมียว” ยอดเยี่ยมมาก ดีจริงๆ จะได้กลับไปแล้ว อีกไม่นานคนสี่รุ่นก็จะได้อาศัยอยู่ใต้หลังคาเดียวกันแล้วเอ๋า~
จิ่วอิงเองก็มีความสุขมากเช่นกัน มันมั่นใจมากว่านี่คือลมหายใจศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่จริงๆ มาจากนายน้อยของมัน…หรงมั่ว นี่หมายความว่าพวกมันจะได้กลับไปแล้วจริงๆ
ปฏิกิริยาของทั้งสองทำให้เทียนตี้และเทพองค์อื่นๆ ที่แต่เดิมกังวลผ่อนคลายลงเล็กน้อยและตัดสินได้ว่า ‘ผู้มา’ ไม่ได้มีเจตนาร้าย
ซีหวังหมู่ยังถามออกไปตรงๆ “ปู่จิ่ว รีบบอกพวกเราเร็วเข้า เกิดอะไรขึ้น”
จิ่วอิงเองก็ไม่ได้ยึกยัก “แสงเหล่านี้เป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ของบิดาของอี้เอ๋อร์ ไม่ใช่ศัตรูที่แข็งแกร่งอะไร พวกเจ้าวางใจ ถ้าหากข้าเดาไม่ผิด นายน้อยน่าจะมาที่นี่เพื่อรับครอบครัวของอี้เอ๋อร์กลับไป”
“นายน้อย?” เทียนตี้ขมวดคิ้ว “หมายความว่ายังมีนายใหญ่อยู่อีก?”
“ใช่” เมื่อจิ่วอิงนึกถึงนายท่านที่สมควรถูกฟันเป็นชิ้นๆ ด้วยมีดนับพันเล่ม มันก็รู้สึกขี้ขลาดขึ้นมา “ก็คือท่านย่าของอี้เอ๋อร์ ทั้งดุ ทั้งใจร้าย ทั้งโหดเหี้ยม”
“อะไรนะ” อินหลิวเฟิงบีบตัวเองขึ้นมาข้างหน้า “ทั้งดุ ทั้งใจร้าย ทั้งโหดเหี้ยม” เช่นนั้นนางจะทำดีกับนายท่านหรือไม่ จะเป็นย่าสามีที่ใจร้ายและรับมือได้ยากหรือไม่
นี่…
จู่ๆ อินหลิวเฟิงก็อยากจะเกลี้ยกล่อมให้นายท่านอยู่ต่อ อย่าไปเลย จะได้หลีกเลี่ยงปัญหาถูกครอบครัวสามีปฏิบัติอย่างโหดร้าย
ไม่ใช่แค่เขาที่มีความคิดแบบนี้ เทียนตี้ถึงกับโพล่งออกมาตรงๆ “อาจารย์ ข้าว่าท่านอย่าไปจะดีกว่านะ” เขาไม่อาจจินตนาการได้ว่าอาจารย์ที่ตบะสูญสลายไปจนหมด กลับไปที่บ้านของอาจารย์พ่อดอกบัวขาวแล้วจะถูกปฏิบัติอย่างโหดร้ายอย่างไร
“ถูกต้อง” เอ้อร์เหมาซึ่งบีบตัวเองเข้ามายืนอยู่ข้างๆ อินหลิวเฟิงจินตนาการภาพมากมายในหัว “คุณหนูใหญ่ ด้วยนิสัยของท่านไม่มีทางยอมอ่อนข้อต่อย่าสามีผู้ชั่วร้ายอย่างแน่นอน ตอนนี้ตบะของท่านไม่มีแล้ว ยิ่งไม่มีพลังศักดิ์สิทธิ์คุ้มกาย จะไม่กลายเป็นผักกาดขาวให้ผู้อื่นโขกสับหรือไร”
ซีหวังหมู่ซึ่งไม่คิดอะไรมากในตอนแรก เมื่อได้ยินสิ่งนี้นางก็ตื่นตระหนกทันที
แมวขาวตัวน้อยลุกขึ้นมาแล้วพูดว่า “เหมียว เหมียว เหมียว” น้ำเสียงฟังดูร้อนใจไม่ใช่แบบนั้น เสี่ยวซีเอ๋อร์ไม่มีทางทรมานเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ เสี่ยวซีเอ๋อร์จะต้องชอบเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์อย่างแน่นอนเอ๋า พวกเจ้าอย่าได้ไปฟังจิ่วอิงเจ้าสารเลวคนนี้พูดเรื่องไร้สาระ เหมียว
อนิจจา…ไม่มีใครเข้าใจภาษาแมว
ดังนั้น
เทียนตี้ยื่นมือออกไปดึงเยี่ยนอวี๋
เยี่ยนชิงเองก็ยื่นมือออกไปพร้อมกัน
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครสามารถเข้าใกล้เยี่ยนอวี๋ได้ ทุกคนจึงได้ใจร้อนใจ
เยี่ยนอวี๋หัวเราะเบาๆ “ข้าไม่กลัวหรอก”
“ไม่ใช่…” เยี่ยนชิงคิดจะโน้มน้าวอย่างจริงจัง แม้แต่เยี่ยนจื่อเสาก็พร้อมที่จะโน้มน้าวน้องสาวให้อยู่ต่ออย่างแน่วแน่ อย่าได้ไปอยู่บ้านคนอื่นแล้วถูกรังแกแต่กลับไม่มีใครช่วยหนุนหลังน้องสาวสักคน
แต่จิ่วอิงซึ่งตระหนักได้ว่าตัวเองพูดอะไรผิดไปแล้ว รีบแก้ตัวอย่างรวดเร็วว่า “ไม่ใช่ๆ พวกเจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ท่านย่าของอี้เอ๋อร์นั้นโหดร้ายก็จริงอยู่ แต่นางจะใจดีกับเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์อย่างแน่นอน จริงๆ นะ”
“เจ้าหลอกใคร” ซีหวังหมู่ปฏิเสธที่จะเชื่อ “ขนาดเจ้าเป็นบ่าวรับใช้ของนางยังนิยามนางแบบนี้ แล้วนางจะเป็นคนดีสักแค่ไหนกันเชียว เจ้าเลิกคิดดึงนายท่านลงไปในหลุมไฟได้เลย”
“ไม่ใช่นะ…” หัวทั้งเก้าของจิ่วอิงปวดตุบๆ “ข้านิยามนายท่านแบบนั้นเป็นเพราะนายท่าน…” นางเป็นคนแบบนี้จริงๆ แต่…
“นายท่านเป็นแบบนั้นเฉพาะกับแค่คนนอก สำหรับคนในครอบครัว นางใจดีเป็นอย่างมาก แต่ก่อน ก่อนที่ข้าจะถูกพิชิต ข้าถูกนางซ้อมนับครั้งไม่ถ้วน ดังนั้นภาพความประทับใจที่มีต่อนางจึงค่อนข้างลึกซึ้งจึงได้โพล่งออกไปตามสัญชาตญาณ พวกเจ้าอย่าได้เข้าใจผิดเชียว” ไม่อย่างนั้นหากนายท่านจะรู้ มันจะต้องถูกทุบตีจนตายแน่
แค่จิ่วอิงคิด…
หากเป็นเพราะคำพูดที่ไม่ตั้งใจของมัน
ส่งผลให้อี้เอ๋อร์ไม่สามารถพาภรรยากลับบ้านได้
เช่นนั้นหลังจากที่มันกลับไป มันจะต้องถูกซ้อมอย่างแน่นอน
และการทุบตีของเจ้านายผู้โหดร้ายของมัน เจ็บมากจริงๆ นะ
จิ่วอิงแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่อยากถูกซ้อมจึงรีบอธิบายต่อว่า “จริงๆ นะ ถ้าไม่เชื่อพวกเจ้าถามเสี่ยวไป๋สิ”
“เหมียว” แมวขาวตัวน้อยพยักหน้าอย่างรวดเร็วและร้อง “เหมียว เหมียว เหมียว” อย่างต่อเนื่อง เสี่ยวซีเอ๋อร์จะต้องดีกับเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์อย่างแน่นอน~
“ข้าเชื่อ” เยี่ยนอวี๋พูดอย่างหนักแน่นหลังจากฟังแมวขาวตัวน้อยร้องเหมียวๆๆ ได้สักพัก “ข้าเชื่อว่าท่านย่าสามีจะดีต่อข้า”
“เจ้าไม่เคยพบนางเสียหน่อย…” เยี่ยนชิงยังคงไม่รู้สึกสบายใจ เขาอยากจะเกลี้ยกล่อมลูกสาวว่าอย่าได้ใจร้อนจากไปและวางแผนที่จะขอให้ลูกเขยเชิญญาติผู้ใหญ่ฝั่งเขามาที่สวรรค์เก้าชั้นฟ้าเพื่อพบหน้ากันสักครั้งก่อน
แต่คำพูดของเยี่ยนชิงก็ถูกขัดจังหวะโดยเยี่ยนอวี๋ “แม้ว่าข้าจะไม่เคยพบกับนาง แต่ข้าเชื่อในสามีของข้า”
“เจ้า…” เยี่ยนชิงสำลัก แน่นอนว่าเขาเชื่อในความรักที่ลูกเขยมีต่อลูกสาวของเขาสุดใจ แต่…
เยี่ยนชิงจัดระเบียบคำพูดในหัวของเขาใหม่ วางแผนที่จะโน้มน้าวลูกสาวของเขาต่อ แต่ก่อนที่เขาจะเรียบเรียงคำพูดเสร็จ เขาก็ได้ยินเสียงเปิดประตู
ประตูห้องซึ่งแต่เดิมถูกเจ้าตัวเล็กบางคนแง้มเปิดเพียงเล็กน้อย บัดนี้ถูกเปิดออกทั้งบาน จากนั้น…
หรงอี้ในชุดสีขาวก็ปรากฏตัว
เขาที่ไม่รู้ว่าตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ เดินออกมานอกประตู
ทุกสายตาจับจ้องไปที่เขาตามธรรมชาติ
เยี่ยนชิงต้องการก้าวขึ้นไปข้างหน้าและพูดคุยกับลูกเขยที่ในที่สุดก็ปรากฏตัวเสียที
แต่เมื่อหรงอี้ก้าวออกจากห้อง เขาไม่ได้มองใครเลย สายตาเขาจับจ้องเพียงภรรยาสุดที่รัก มือเรียวยาวที่สั่นเทาอย่างเห็นได้ชัดยกขึ้นลูบเส้นผมสีขาวเงินของนาง
ไม่ต้องถาม…หรงอี้ก็รู้ว่าภรรยาของเขาทำอะไรและทำไมนางถึงทำแบบนี้ เขารู้สึกปวดใจอย่างยิ่ง
แต่เยี่ยนอวี๋ที่ยกมือขึ้นจับมือสามีของนาง กลับดุเขาไปว่า “ตอนที่เจ้าถือวิสาสะตัดสินใจทำเรื่องราวมากมายเพียงลำพัง ข้าไม่ได้เอาความกับเจ้า ตอนนี้เจ้าก็ห้ามว่าการตัดสินใจของข้า”
หรงอี้ “…” เขาไม่กลัวถูกเอาความเสียหน่อย แต่…
เขาจะพูดอะไรแบบนั้นกับภรรยาได้อย่างไร นางพูดอะไรกัน
ภรรยาทำแบบนี้เพราะอะไร เขารู้ดีแก่ใจ จะตัดใจว่ากล่าวนางได้ลงหรือ
เขาเพียงแค่…
เขา…เอาเถิด
เดิมทีหรงอี้อยากจะพูดว่าไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ แต่สุดท้ายเขาก็ไม่พูดออกไป เพียงสบตากับสายตาที่ดุร้ายแต่อ่อนโยนของภรรยา เขาก็ยอมให้นางทั้งหมด
เขาทำได้เพียงประคองท้ายทอยของภรรยา ใช้มืออีกข้างโอบเอวเรียวของนาง กอดนางไว้ในอ้อมแขนของเขา กระซิบข้างหูนางเบาๆ ว่า “ข้าไม่พูด” แต่จะทำ เขาจะชดใช้ทุกสิ่งที่ภรรยาของเขายินยอมเสียไปทั้งหมดเพื่อเขา
ทั้งพลังศักดิ์สิทธิ์ ตบะที่สลายไป ทุกๆ สิ่ง
เขาจะไม่ยอมให้นางมีบ้านแต่ไม่สามารถกลับบ้านได้ ไม่มีวัน
เยี่ยนอวี๋ที่ถูกสามีกอดไว้แน่น โอบไหล่ของสามีและพูดด้วยเสียงเบาแต่หนักแน่นว่า “ข้าเชื่อ เชื่อว่าอนาคตข้าจะต้องดีกว่าเมื่อก่อน แข็งแกร่งกว่าที่เคยเป็นมาและสวรรค์เก้าชั้นฟ้าก็จะเป็นเช่นนั้น”
เมื่อได้ยินแบบนี้ หรงอี้ก็กอดนางแน่นขึ้น เขาไม่พูดอะไร แค่จุมพิตเส้มผมภรรยาที่เปลี่ยนเป็นสีขาวเงินทั้งศีรษะ จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึก
เยี่ยนอวี๋ลูบหลังเขาเบาๆ “เจ้าไม่เชื่อข้าหรือ”
“เชื่อสิ” หรงอี้เชื่อแน่นอน เพราะ…
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ของเขา เป็นเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ที่ฉลาดและเก่งกาจที่สุดเสมอมา
ด้วยการตระหนักรู้ของนาง แม้ว่านางจะเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา นางก็จะสามารถค้นหาเส้นทางที่ไม่ธรรมดาได้เสมอ
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง…
หรงอี้พิจารณาร่างกายของภรรยาเขาอย่างระมัดระวังและก้มลงจุมพิตนางอีกครั้ง แม้ว่าความรู้สึกปวดใจในใจเขาจะไม่ได้หายไป แต่เขารู้สึกภาคภูมิใจมากกว่า ท้ายที่สุด
“แม้ว่าเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ของข้าจะสลายตบะไปแล้ว แต่ร่างกายของเจ้าก็ยังเป็นกายชั้นยอด เจ้าทำได้อย่างไรกัน” หรงอี้รู้สึกภาคภูมิใจมาก ทั้งอยากรู้อยากเห็น เขาอยากรู้อยากเห็นมากจริงๆ
ในตอนนี้เอง เขาถึงเพิ่งสังเกตเห็นอย่างชัดเจนว่าร่างกายของภรรยาเขาเปลี่ยนไป มันลึกลับขึ้นมาก มากจนเขาไม่แน่ใจว่าภรรยาเขาครอบครองร่างกายแบบไหนในตอนนี้
แต่หรงอี้มั่นใจเรื่องหนึ่ง นั่นคือสภาพร่างกายของภรรยาเขาก้าวขึ้นไปอีกระดับแล้ว
แม้ในลมหายใจของนางจะไม่แฝงกฎของสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอีกต่อไป แต่กลับสอดคล้องกับลมหายศักดิ์สิทธิ์ของเขาพระสุเมรุ
แม้ว่าเขาจะไม่ได้แผ่พลังศักดิ์สิทธิ์ของพระสุเมรุออกมาในขณะนี้ แม้ว่าเจ้าตัวเล็กเองก็ไม่ได้เปิดใช้งานพลังศักดิ์สิทธิ์โดยกำเนิดของเขา นางก็ยังสามารถหลอมรวมพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาพระสุเมรุที่ซ่อนอยู่ในสวรรค์เก้าชั้นฟ้าได้ราวกับว่าไม่มีอะไร
นี่พูดได้เพียงว่า…ร่างกายของภรรยาเขา กำลังยกระดับขึ้น
ท้ายที่สุดแล้ว พลังศักดิ์สิทธิ์ของพระสุเมรุนั้นอยู่ในระดับที่ลึกซึ้งที่สุดในสวรรค์เก้าชั้นฟ้า เกรงว่าแม้แต่ตัวจักรวาลสวรรค์เก้าชั้นฟ้าเองก็อาจไม่รู้ว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ประเภทนี้มีอยู่ใน ‘ตัวมันเอง’ จริงๆ
อย่างไรเสีย…
จักรวาลที่สวรรค์เก้าชั้นฟ้า แอตแลน จักรวาลเหนือ โลกทั้งสามนี้ได้เชื่อมโยงเข้าด้วยกันเป็นหนึ่ง แท้จริงแล้วคือมิติคู่ขนานที่ถือกำเนิดมาจากโลกพระสุเมรุ
กล่าวคือจักรวาลนี้ไม่มีความเชื่อมโยงกับโลกพระสุเมรุโดยตรง แต่กลับมีความสัมพันธ์เชิง ‘สะท้อน’ กระทั่งอาจกล่าวได้ว่า
สวรรค์เก้าชั้นฟ้าเองก็เป็นหนึ่งในโลกที่ถือกำเนิดมาจากโลกพระสุเมรุ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่มาฝ่าด่านเคราะห์ที่นี่
อย่างไรก็ตาม…
หรงอี้กอดภรรยาของเขาไว้แน่น เกรงว่าบิดาและท่านปู่เขาคงคิดไม่ถึงเช่นกันว่าเขาจะมาที่นี่เพื่อฝ่าด่านเคราะห์ ป่านนี้คงกำลังตามหาเขาแทบบ้าแล้วกระมัง
หรงอี้ผู้ซึ่งค้นพบทางกลับบ้านแล้วในตอนที่เขาหลับลึก ได้ค้นพบความเชื่อมโยงระหว่างสวรรค์เก้าชั้นฟ้าและโลกพระสุเมรุโดยบังเอิญ ดังนั้นในขณะนี้เขาจึงรู้สึกทั้งปวดใจและภูมิใจในตัวภรรยาของเขา
แต่…
เยี่ยนอวี๋ไม่เข้าใจ “หมายความว่าอย่างไร”
แน่นอนเยี่ยนชิง เทียนตี้ และคนอื่นๆ ที่ในที่สุดก็ไม่ได้เป็นฉากหลังที่โปร่งใสอีกต่อไปก็รีบถามว่า “นั่นสิ ลูกเขย (อาจารย์พ่อ จวินโฮ่ว) คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร”
พวกเขาถามคำถามทุกประเภท แต่คำถามเกือบเหมือนกัน ทุกคนกระตือรือร้นที่จะรู้มากว่า ‘ร่างกายยกระดับขึ้นไปอีกขั้นแล้ว’ หมายความว่าอย่างไร
แม้ว่าทุกคนจะเข้าใจความหมายตามตัวอักษร แต่ก็ยังงุนงง
ในสายตาของทุกคน เยี่ยนอวี๋บัดนี้เป็นเพียงสตรีธรรมดาๆ ที่ไม่มีอะไรพิเศษ ไม่มีอะไรพิเศษจริงๆ
เยี่ยนอวี๋ก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน…
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ชะงักไปครู่หนึ่ง นางก็เดาได้ “หรือว่าเป็นเพราะพลังสุดท้ายที่เหลืออยู่ในตอนที่ข้าสลายตบะของตัวเอง”
พลังสุดท้ายที่เหลืออยู่ที่เยี่ยนอวี๋กล่าวถึงนั้น คือพลังลึกลับที่นางตระหนักรู้ได้จากสามีและเจ้าตัวเล็ก นางรู้สึกว่าพลังนี้ไม่เกี่ยวข้องกับสวรรค์เก้าชั้นฟ้าและก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการไปจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้าของนางจึงไม่ได้สลายมันไป
แน่นอนว่าเป็นเพราะ ‘ไพ่ใบสุดท้าย’ นี้ด้วย เยี่ยนอวี๋ถึงกล้าที่จะสลายพลังศักดิ์สิทธิ์และตบะทั้งหมด ไม่เช่นนั้นนางคงไม่อาจรักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้ได้
อย่างไรก็ตาม หลังจากสูญเสียพลังศักดิ์สิทธิ์และตบะทั้งหมด เยี่ยนอวี๋เดิมคิดว่าตัวเองคงรักษา ‘พลัง’ ไว้ได้เล็กน้อย ท้ายที่สุดแล้วพลังนั้นก็ไม่ธรรมดา
แต่หลังจากที่นางทำทุกอย่างเสร็จแล้ว นางถึงเพิ่งตระหนักได้ว่านางกลายเป็นเพียงมนุษย์และจะมีอายุขัยอยู่ได้ไม่นาน
พูดตามตรง ในตอนแรกนางรู้สึกวูบโหวงเล็กน้อย
ความรู้สึกที่จู่ๆ ก็กลายเป็นคนไร้ประโยชน์นั้นช่างน่าอึดอัดใจมากจริงๆ
หากนางไม่ได้เกิดใหม่และเกือบจะกลายเป็นคนไร้ค่า นางคงไม่สามารถยอมรับทุกสิ่งได้รวดเร็วขนาดนี้
แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้…ทุกอย่างดูแตกต่างไปจากที่นางคิดใช่หรือไม่
สิ่งนี้ทำให้เยี่ยนอวี๋่เงยหน้าขึ้นมองสามีของนางทันที “ตอนนี้ข้าไม่ใช่เพียงมนุษย์ธรรมดาแล้ว?”
“แน่นอนว่าไม่ใช่” หรงอี้ตอบอย่างหนักแน่น เลื่อนมือที่จับท้ายทอยของภรรยาไปแนบหูของนาง ประคองใบหน้าที่ละเอียดอ่อนไว้กลางฝ่ามือ
จากนั้นเขาก็อธิบายอย่างละเอียด “ร่างกายในปัจจุบันของเจ้าแฝงกฎโบราณเอาไว้อยู่ รายละเอียดชัดเจนนั้นยังต้องรอดูต่อไป แต่สิ่งหนึ่งที่ข้ามั่นใจมากคืออนาคตของเจ้าไม่มีทางอ่อนแอกว่าเมื่อก่อน มีแต่จะแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น”
“เหมือนกับของสามีหรือเปล่า” เยี่ยนอวี๋รีบถาม
“ไม่เหมือนกัน” หรงอี้ส่ายหัว “แต่พวกมันมีต้นกำเนิดเดียวกัน น่าจะนะ”
เยี่ยนอวี๋ยิ้ม “แน่นอนว่าย่อมต้องมีต้นกำเนิดเดียวกัน เพราะข้าตระหนักรู้มันจากร่างของเสี่ยวเป่าและสามี ในขั้นตอนสุดท้าย ข้าจงใจเก็บพลังนี้ไว้ แต่ตอนนี้ข้ากลับไม่รู้สึกถึงมันแล้ว”
“ไม่ต้องกังวล เมื่อเราออกจากที่นี่และกลับสู่มิติ ‘ปกติ’ เจ้าจะสามารถรับรู้มันได้ชัดเจนยิ่งขึ้นตามธรรมชาติและเจ้าจะสามารถตระหนักรู้มันได้” หรงอี้อธิบายพร้อมกอดภรรยาของเขาแน่นอีกครั้ง
ตอนแรกเขาคิดว่าจะเริ่มสอนภรรยาเขาให้นางค่อยๆ ก้าวเข้าสู่โลกพระสุเมรุ ไม่คิดว่าตัวเองจะไม่มีโอกาสได้เป็นอาจารย์
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ของเขามี ‘เส้นทาง’ ของตัวเอง เขาแค่ต้องเตือนนางว่าเส้นทางที่เหมาะกับภรรยานั้นคือทางไหน จากนั้นก็ปล่อยให้นางตระหนักรู้ด้วยตัวเองแต่…
ในที่สุดเขาก็เงยหน้าขึ้น มองไปที่พ่อตาของเขา เขาเม้มริมฝีปากลงเล็กน้อย เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองได้ละเลยพ่อตา แม่ยายและบรรดาพี่เขยมาสักพักแล้ว
เยี่ยนชิงที่ในที่สุดก็สบตากับลูกเขยเสียที มองไปที่มือที่วางบนเอวเรียว “เจ้าสารเลว ในสายตาเจ้ายังเห็นพ่อตาคนนี้อยู่ในสายตาหรือไม่”
“ขออภัยขอรับ” หรงอี้ยอมรับความผิดอย่างจริงใจ
เยี่ยนชิงไม่พูดอะไรอีก ท้ายที่สุดลองเอาใจเขามาใส่ใจเรา หากจู่ๆ เขาเห็นภรรยาสุดที่รักเส้นผมขาวโพลน เขาเองก็คงไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ยิ่งไม่คิดที่จะสนใจอะไร
เยี่ยนชิงบนปอดแปดแล้วตรงเข้าประเด็นสำคัญ “เพราะฉะนั้นสภาพในปัจจุบันของเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เห็นอย่างนั้นสินะ”
“ขอรับ” หรงอี้พยักหน้า
หลังจากได้รับการยืนยัน เยี่ยนชิงก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาก ขณะที่เขากำลังจะถามต่อไป…
เทียนตี้ก็อดไม่ได้แทรกขึ้น “ไม่นะ ประเดี๋ยวก่อน พวกเจ้าดูพี่เป่าของข้า มีอะไรผิดปกติกับเขาหรือไม่” ในเมื่อมั่นใจแล้วว่าอาจารย์สบายดี ตอนนี้เขาก็เริ่มเป็นกังวลเกี่ยวกับนายน้อยเสี่ยวเป่าที่ถูกแสงหลากสีห่อหุ้มเอาไว้
ตอนนี้เองทุกคนถึงเพิ่งคิดได้ ทุกสายตาจับจ้องไปที่เจ้าตัวเล็กที่นอนอยู่ท่ามกลางแสงหลากสี ดูเหมือนเขาจะผล็อยหลับไปแล้ว มิน่าเล่าเมื่อสักครู่นี้ถึงไม่เห็นเขาวิ่งเข้ามาแทรกบิดามารดาของเขา
“ไม่เป็นไร” หรงอี้ยกมือขึ้นและอุ้มเจ้าตัวเล็กพร้อมแสงนั้นไว้ในอ้อมแขน เขารู้ว่านี่เป็นการตอบสนองร่วมระหว่างเจ้าตัวเล็กและพลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ ท้ายที่สุดในร่างกายของเจ้าตัวเล็กก็มีพลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่แฝงอยู่
อย่างไรก็ตาม…
หรงอี้มองไปที่เยี่ยนชิงอีกครั้งและเรียกทีละคน “พ่อตา แม่ยาย พี่เขยใหญ่ พี่เขยรอง ข้าเกรงว่าเราจะอยู่ที่นี่ได้อีกไม่นานแล้ว”
“จะไปแล้วหรือ” เยี่ยนอวี๋รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย นางดันตัวออกจากอ้อมแขนของสามี แต่เอวบางยังถูกสามีโอบเอาไว้แน่น เขาออกแรงเบี่ยงตัวนางอย่างอ่อนโยน
เยี่ยนชิงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง “เร็วขนาดนั้นเลยหรือ”
“ไม่สามารถกลับไปที่ชางอู๋ก่อนสักครั้งได้เลยหรือ” เยี่ยนจื่อเสาเองก็ไม่อาจยอมรับได้
เยี่ยนจื่อเยี่ยกลับพูดอย่างใจเย็น “เมื่อพิจารณาจากสภาพของเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ในปัจจุบัน ยิ่งจากไปเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นการดีเท่านั้น”
จางอวิ๋นเมิ่งเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน “ใช่ ถ้าเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์อยู่ในสวรรค์เก้าชั้นฟ้านานเกินไป อายุขัยของนางก็จะยิ่งลดน้อยลง เป็นการดีที่สุดที่พวกเจ้ารีบจากไป แบบนั้นจะช่วยรักษาอายุขัยของนางให้ยืนยาวมากขึ้น”
พูดถึงอายุขัย…
เซ่าเฮ่ารีบไล่คนทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จวินโฮ่วท่านรีบพานายท่านจากไปแต่โดยเร็วเถิด แต่มีเงื่อนไขหนึ่ง ถ้าท่านย่าของท่านผู้นั้นรังแกนายท่าน ท่านต้องยืนอยู่ฝั่งนายท่านและปกป้องนาง ห้ามให้นางได้รับบาดเจ็บหรือมีรอยขีดข่วนใดๆ ไม่เช่นนั้นเราจะไม่ปล่อยท่านไปแน่”
“ถูกต้อง”
“ใช่แล้ว…” เหล่าขุนเขาและท้องทะเลสำทับ
เม่ยเอ๋อร์รีบก้าวขึ้นมา “คุณหนูใหญ่ ท่านพาข้าไปด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
“ไม่ได้” หรงอี้ส่ายหัว
เม่ยเอ๋อร์โกรธมาก “บ่าวสามารถไปยังสมัยคุนหลุนได้ ทำไมครั้งนี้จะตามไปด้วยไม่ได้ ท่านเขย ท่าน…”
“เม่ยเอ๋อร์” เยี่ยนอวี๋ขัดจังหวะของเม่ยเอ๋อร์ “เชื่อฟังข้า เจ้าอยู่ที่สวรรค์เก้าชั้นฟ้าต่อและช่วยข้าดูแลบ้านของข้า ข้าจะได้จากไปอย่างวางใจ”
“แต่…”
“เจ้าและสวรรค์เก้าชั้นฟ้าผูกพันกันมากกว่าที่เจ้าไว้คิดนัก มากเสียยิ่งกว่าซีซี ในครั้งนั้นที่เจ้าสามารถติดตามไปยังสมัยคุนหลุน เป็นเพราะที่นั่นเองก็คือสวรรค์เก้าชั้นฟ้า แต่คราวนี้มันแตกต่างออกไป จงเชื่อฟังและอยู่ที่นี่ต่อ ช่วยข้าดูแลท่านพ่อและท่านแม่ รอจนกว่าข้าจะกลับมา ได้หรือไม่” เยี่ยนอวี๋พูดพลางยกมือขึ้นตบไหล่เม่ยเอ๋อร์
แม้ว่าเม่ยเอ๋อร์จะกังวลใจและไม่เต็มใจ แต่นางก็เลือกยอมแพ้ นางถอยกลับไปยืนอยู่ข้างๆ เยี่ยนชิง
เยี่ยนอวี๋เองก็มองไปที่เยี่ยนชิงด้วย “ท่านพ่อโปรดวางใจเถิดเจ้าค่ะ ลูกไม่มีทางไม่กลับมา”
คราวนี้เยี่ยนชิงกลับตอบอย่างสบายใจ ขอบตาเขาไม่ได้แดงก่ำ “พ่อย่อมวางใจ พ่อจะรอเจ้า”
“แม่เองก็จะรอเจ้าเหมือนกัน”
“พี่ใหญ่ (พี่รอง) เองก็จะรอเจ้าเหมือนกัน”
จางอวิ๋นเมิ่งและเยี่ยนจื่อเยี่ยสองพี่น้องกล่าวคำอำลาอย่างมีความสุข
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เทียนตี้และคนอื่นๆ ไม่สามารถเกาะหนึบไม่ยอมปล่อยได้อีกต่อไป พวกเขาทั้งหมดพูดพร้อมกันว่า “(อาจารย์) นายท่านโปรดวางใจ เราทุกคนจะรอท่านกลับมา”
เยี่ยนอวี๋โล่งใจมากเมื่อเห็นว่าครอบครัวนางและผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าทุกคนแข็งแกร่ง นางหันไปมองสามีแล้วกล่าว “ไปกันเลยไหม” รีบไปเถิด ก่อนที่คนเหล่านี้จะร้องไห้
หรงอี้ “…” เขาเห็นความเร่งรีบในสายตาภรรยาอย่างชัดเจน…
ดังนั้นต้าซือมิ่งจึงไม่รีรอชักช้า เขาไม่ได้ทำให้ภรรยาผิดหวัง แสงสีขาวถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างสูงและเข้าปกคลุมภรรยาและลูกชายของเขาที่นอนอยู่ในอ้อมแขน ร่างสูงหันไปกล่าวคำอำลากับพ่อตาและครอบครัวฝั่งนี้อีกครั้ง “พ่อตา แม่ยาย พี่เขยทั้งสองโปรดวางใจ ข้าหรงอี้คนนี้ จะปกป้องเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ด้วยชีวิต ให้นางปลอดภัยและมีแต่ความสุข”
“จดจำคำที่เจ้าพูดไว้ให้ดี” เยี่ยนชิงพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก
หรงอี้พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง…
หรงอี้รวมถึงเยี่ยนอวี๋และลูกน้อยในอ้อมแขนก็ค่อยๆ หายไปจากครรลองสายตาของทุกคน
“เหมียว” แมวขาวตัวน้อยรีบคว้าจิ่วอิงและเร่งเร้ามัน
จิ่วอิงอุ้มแมวขาวตัวน้อยแล้วกลับเข้าไปอยู่ในแขนเสื้อของต้าซือมิ่ง
หลังจากนั้น…
ครืน”
แสงศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ที่ควบแน่นลงมาก็ปลดปล่อยพลังอันล้นหลามอีกครั้ง
สัตว์ร้ายจากขุนเขาและท้องทะเลทั้งหมดถูกกดดันจนแทบหายใจไม่ออก
แต่ความรู้สึกนี้ก็หายไปอย่างรวดเร็ว…พร้อมกับครอบครัวของเยี่ยนอวี๋ที่หายไปด้วย