กู้หยวนเหิง “…”
รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ จางลง ความอ่อนโยนค่อยๆ สลาย เขามองแม่นางเจิดจรัสดั่งทินกร งดงามกว่าดอกไม้ในช่วงวสันตฤดูตรงหน้าอย่างหมดคำพูด
ส่วนเยี่ยนอวี๋เอง เมื่อยืนยันว่ากู้หยวนเหิงไม่ใช่พ่อของลูกแล้ว นางก็ไม่มองเขาอีกเลย ถึงแม้ว่าในความทรงจำของนางจะมีภาพเกี่ยวกับคนคนนี้ทะลักออกมามากมายก็ตามแต่นางก็ไม่สนใจ
“จื่ออวี๋…” กู้หยวนเหิงทนกับความเฉยเมยเช่นนี้มิได้ “จื่ออวี๋เจ้ายัง…” รักข้าอยู่หรือไม่
กู้หยวนเหิงกลืนคำพูดหลังจากนั้นที่เกือบหลุดปากถามออกไป จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องพูด “ยาพยัคฆ์ของเจ้าช่างวิเศษนัก”
เมื่อก่อน ขอเพียงเขาพูดชมเชยเล็กๆ น้อยๆ เยี่ยนจื่ออวี๋ก็มักจะมอบสิ่งของที่ตนรักและหวงแหนทั้งหมดให้กับเขา ครั้งนี้ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น
“คุณหนูใหญ่ ห้ามให้ยาพยัคฆ์นะเจ้าคะ!”
กู้หยวนเหิง “…”
“คุณหนูใหญ่! ท่านดูสิ คุณชายน้อยชอบสำนักมากเพียงใด หากท่านให้ยาพยัคฆ์ไป ผู้อาวุโสใหญ่และคุณหนูชิงถังต้องไล่ท่านและคุณชายน้อยออกจากสำนักแน่เจ้าค่ะ!” ชุ่ยชุ่ยรีบอธิบายราวกับคนรู้ดี
กู้หยวนเหิง “…”
“คุณหนูใหญ่! ท่านลองคิดดู เมื่อครู่นี้ผู้อาวุโสจะยัดเยียดให้ท่านต้องโทษทรยศสำนักแล้ว หากไม่ใช่เพราะความเก่งกาจของยาพยัคฆ์ เขายังจะช่วงชิงตำแหน่งเจ้าสำนักและไล่ครอบครัวของท่านออกจากสำนักไป! หากทำเช่นนั้นท่านเจ้าสำนักก็จะไม่สามารถช่วยท่านและคุณชายน้อยได้อีก! ได้โปรดท่านไตร่ตรอง…”
ทันทีที่ชุ่ยชุ่ยนึกถึงความลุ่มหลงที่เยี่ยนจื่ออวี๋เคยมีให้ชายผู้นี้ นางก็พรั่งพรูความชั่วร้ายทั้งหมดอย่างอดกลั้นไม่ไหว นางไม่สนใจสีหน้าของกู้หยวนเหิงที่โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เห็นชัดว่าเขาโมโหคำพูดห้ามปรามของนางแต่พยายามซ่อนความโมโหแค้นเคืองไว้
“เจ้า…” กู้หยวนเหิงกำลังจะตำหนิบ่าวรับใช้ปากดีคนนี้ เพื่อให้นางหยุดพูดจาเหลวไหลและใส่ร้ายคนบริสุทธิ์อย่างเขา แต่แล้ว…
เยี่ยนอวี๋ก็พูดขึ้นอย่างจริงจังว่า “ชุ่ยชุ่ยวางใจเถิด ข้าไม่ให้หรอก”
“…” ทันใดนั้นกู้หยวนเหิงก็โมโหจนควันออกหู เพราะท่าทีเช่นนั้นของเยี่ยนอวี๋ ทำให้เขารู้ว่านางรู้แต่แรกแล้วว่าเขาต้องขอ ทั้งที่จริงๆ แล้วเขามิได้อยากขอ เพียงแค่อยากดู! เท่านั้น!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ กู้หยวนเหิงก็ฝืนกลั้นความโมโหไว้ในใจ พยายามพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “จื่ออวี๋ เจ้าอย่าได้เข้าใจผิดไป ข้าเพียงแค่ชื่นชมยาพยัคฆ์ที่เจ้าได้นำออกมาก่อนหน้านี้เท่านั้น”
“อืม” เยี่ยนอวี๋ตอบส่งๆ
กู้หยวนเหิงดูก็รู้ว่านางไม่เชื่อ! เขาโกรธจนแทบจะไม่สามารถคงท่าทางสุภาพอ่อนโยนไว้ได้อีก แต่เมื่อเขาคิดได้ว่านั่นคือยาพยัคฆ์ที่แม้แต่ปรมาจารย์วิญญาณสำนักชางอู๋ยังตกตะลึง เขาจึงต้องแสร้งทำน้ำเสียงอ่อนโยนพูดต่อไปว่า “จื่ออวี๋ ไม่ทราบว่าเจ้าได้ยามาจากไหนหรือ”
กู้หยวนเหิงในตอนนี้ยังคงมั่นใจว่าน้องจื่ออวี๋ของเขาจะต้องบอกความจริง แต่แล้ว…
จู่ๆ เสียงฝีเท้าวุ่นวาย พร้อมกับเสียงตะโกนบุกเข้ามาในเรือน “เยี่ยนจื่ออวี๋ ไปหอผู้อาวุโสกับข้าเดี๋ยวนี้!” ที่ประมุขหอสัตว์บรรพกาลต้องรีบรุดไปหอผู้อาวุโส เพราะข้อสงสัยของเยี่ยนอู้อาจทำให้ผู้อาวุโสรองผู้มีอำนาจในหอผู้อาวุโสสงสัยได้ว่ายาพยัคฆ์ในมือของ ‘เยี่ยนจื่ออวี๋’ นั้น เกรงว่าจะเป็นสมบัติของสำนักอยู่แล้ว แต่ถูกเยี่ยนชิงแอบนำไปให้บุตรสาวสุดที่รักของตน
ในเมื่อ…เยี่ยนจื่ออวี๋อายุยังน้อยนัก ยาชั้นยอดอย่างยาพยัคฆ์ หากจะบอกว่านังหนูน้อยอย่างนางปรุงเอง ก็ไม่มีน้ำหนักมากพอที่จะเชื่อนัก แต่อย่างน้อยจนถึงตอนนี้ก็มีเพียงท่านประมุขแห่งหอสัตว์บรรพกาลคนเดียวเท่านั้นที่เชื่อ
เมื่อเป็นเช่นนั้น ยอดฝีมือจากหอราชทัณฑ์ที่มายืนอยู่ตรงหน้านี้ต่างมองเยี่ยนอวี๋เป็นคนร้าย เพียงเพราะคำสั่งของเยี่ยนอู้ สีหน้าและน้ำเสียงของพวกเขาย่อมไม่เป็นมิตรนัก ทำเอารังสีรอบตัวเม่ยเอ๋อร์เย็นยะเยือกลงทันที
กู้หยวนเหิงที่อยู่ข้างๆ รู้สึกสะท้าน เขารับรู้ได้ว่าพลังของสาวใช้ชุดดำคนนี้อยู่เหนือเขา?!
แต่เป็นไปได้อย่างไร เขาเป็นถึงจ่างสื่อแห่งต้าซย่าพลังของตนย่อมอยู่เหนือชั้นแก่นวิญญาณยุทธ์แล้ว ทั้งยังเป็นดาวเด่นในหมู่คนรุ่นเดียวกันด้วย แต่สาวใช้ชุดดำคนนี้กลับดูเด็กกว่าเขาเสียอีก
กู้หยวนเหิงชะงัก ชุ่ยชุ่ยที่อยู่ข้างๆ ก็ตื่นตกใจกับขบวนคนจากหอราชทัณฑ์เหล่านี้
“อ้า!” เจ้าตัวน้อยไม่พอใจแล้ว เขาไม่พอใจจึงส่งเสียงร้องดังกว่าผู้คนที่แห่กันมา เพื่อแสดงให้เห็นว่าตนนั้นไม่พอใจ ฮึ่ม…
เยี่ยนอวี๋ขมวดคิ้วงามของตน ก่อนจะพูดโดยไม่ต้องคิดว่า “ไม่ไป”