บทส่งท้าย 8 ไปรับภรรยาของเสือดาวตัวน้อย
โลกพระสุเมรุ ทิศตะวันออก
ดินแดนที่ดูเหมือนดอกบัวศักดิ์สิทธิ์หลากสีสันกำลังปรากฏขึ้น ‘ต่อหน้า’ หรงอี้ในเวลานี้
ความงดงามยากจะเอื้อนเอ่ยที่ล้นทะลักออกมาจาก ‘ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์’ นี้ รวมถึงกลิ่นอายผิดปกติที่เกิดขึ้นจากมัน กลับ ‘สอดประสาน’ กับกลิ่นอายบนร่างเยี่ยนอวี๋พอดี
“นี่คือ…”
หรงอี้ขมวดคิ้ว รู้สึกว่าความงามเหล่านี้ไม่ปกติ คล้ายจะดึงจิตวิญญาณของภรรยาของเขาออกมา ตามเจตนารมณ์เดิมของเขา เขาควรจะตัดมันออกโดยเร็วที่สุด
แต่สภาวะที่ละเอียดอ่อนของสตรีในอ้อมแขน ทำให้เขาลังเลใจ เพราะเขาสัมผัสได้ว่าตระหนักรู้ของภรรยาเขาเกี่ยวข้องกับความงดงามนี้
“มีอะไรผิดปกติหรือ” จิ่วอิงมองเห็นความจริงจังบนใบหน้าของหรงอี้จึงอดไม่ได้กังวล “เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกแล้วหรือ”
หรงอี้ส่ายหัวเล็กน้อย สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ปิดกั้นหมอกที่ปกคลุมร่างของภรรยา แต่กลับมุ่งความสนใจไปที่สภาพของภรรยามากขึ้น ขอแค่นางแสดงอาการผิดปกติหรือมีสภาวะเปลี่ยนแปลงแม้เพียงนิดเดียว เขาจะตัดขาดการเชื่อมโยงนี้ทันที
จะว่าไป…
ท่ามกลางสีสันที่งดงามเหล่านี้ มีพลังบางอย่างที่ไม่ธรรมดาแฝงอยู่ด้วย…พลังอันไม่มีที่สิ้นสุด
หรงอี้จำได้ว่าปู่หวงเคยกล่าวไว้ พลังอันไม่มีที่สิ้นสุดคือพลังที่ส่งเสริมการเกิดและดำรงอยู่ของโลกพระสุเมรุ ปัจจุบันผู้ที่ถือครองพลังนี้ก็คือบิดาปลอมๆ ของเขา
เมื่อคิดถึงทั้งสองคนนี้ ความคิดของหรงอี้ก็เลื่อนลอยไปเล็กน้อย ความปรารถนาอันข้นขลักเอ่อล้นขึ้นในดวงตาของเขา
เยี่ยนเสี่ยวเป่าซึ่งจับจ้องมารดาของเขามาเป็นเวลานาน บัดนี้หันเหความสนใจไปที่บิดาของเขาอีกครั้ง เขากอดบิดาแน่น ขาข้างหนึ่งยังเหยียดออกไป เห็นได้ชัดว่าอยากจะปีนขึ้นไปบนศีรษะบิดาของเขา
ผลลัพธ์ย่อมไม่น่าแปลกใจ เขาถูกบิดาจับลงมาแล้วตีก้น
“ฮ่าๆ!”
เยี่ยนเสี่ยวเป่าไม่ได้ตกใจแต่กลับหัวเราะแทน เขายังคงพยายามอย่างหนักเพื่อปีนขึ้นไปบนไหล่ของบิดา จากนั้นก็ปีนขึ้นไปบนศีรษะของบิดาต่อ
หรงอี้ย่อมไม่ปล่อยให้เจ้าตัวเล็กยุ่งวุ่นวายตอนนี้ เขาคว้าเจ้าตัวเล็กลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า จากนั้นก็ตีก้นเขา
แต่เนื่องจากเขาไม่ได้ตีแรง เจ้าตัวเล็กจึงคิดว่าเกมนี้สนุก เขาปีนกลับไปกลับมาหลายครั้งอย่างสนุกสนาน หัวเราะจนใบหน้าเล็กๆ ขึ้นสีชมพูเหมือนลูกท้อ
“เหมียว~” แมวขาวตัวน้อยเองก็ไม่ได้หงุดหงิดที่ถูกทอดทิ้ง มันเฝ้าดูทั้งสองคนเล่นไปมาแบบนี้จากข้างสนาม
จิ่วอิงก็มองภาพตรงหน้าอยู่พักหนึ่ง มันพึมพำอย่างเบื่อหน่ายว่า “ดูเหมือนจะไม่มีอะไรแล้วนะ” ไม่อย่างนั้นเสี่ยวอี้เอ๋อร์ทาสภรรยาคนนี้ไหนเลยจะมีอารมณ์มาเล่นสนุกกับลูกชาย ดูเขาหยอกเย้าเสี่ยวเป่า เจ้าตัวเล็กถูกเย้าจนหัวเราะปีนไปปีนมาเหมือนลิงโง่ตัวน้อย ไม่เหนื่อยหรืออย่างไร…
ในขณะที่หรงอี้กำลังเล่นกับเขา ดินแดนที่ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์หลากสีสันกำลังเบ่งบานอยู่ก็เริ่มโกลาหล!
ดินแดนนั้นกำลังสั่นสะเทือนอย่างลึกลับ! ผู้บ่มเพาะที่อยู่ข้างในย่อมรู้สึกตื่นตระหนกโดยธรรมชาติ
ดังนั้น
ในฐานะผู้ปกครองอาณาจักรจิ่วเหลียน สีหน้าของถังผิงมั่วเวลานี้ดูมืดครึ้มอย่างมาก ดวงตาของเขาฉายแววจริงจัง ในขณะที่เขามองไปที่ผู้อาวุโสทั้งสิบคนของตระกูลถังที่อยู่ตรงหน้าเขา เขาก็ถามว่า “ผู้อาวุโสทุกท่าน รู้สาเหตุของการสั่นสะเทือนนี้หรือไม่”
เห็นได้ชัดว่าชายชราทั้งสิบที่มีสีหน้าเคร่งขรึมไม่มีเบาะแสใดๆ แต่พวกเขาเองก็ไม่ได้ส่ายหัวในทันที เพียงพยายามสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและใคร่ครวญในเวลาเดียวกัน
ถังผิงมั่วเองก็ไม่ได้รบกวนผู้อาวุโสทั้งสิบคน เพียงยืนรออย่างอดทน
หลังจากนั้นนานทีเดียว…
เห็นได้ชัดว่ากลุ่มผู้อาวุโสยังคงไม่สามารถหาข้อสรุปได้ หลังจากที่พวกเขาหันไปสบตากัน ผู้อาวุโสใหญ่ผมเงินคนหนึ่งก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากแนะนำว่า “เรื่องนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป ทั้งยังแปลกประหลาด ท่านผู้นำตระกูลแจ้งต่อกองทัพพระสุเมรุดีหรือไม่”
“ข้าได้สั่งให้คนไปรายงานนานแล้ว อย่างไรก็ตาม อาณาจักรจิ่วเหลียนของเรากำลังเปลี่ยนแปลง เราไม่สามารถติดต่อกับกองทัพพระสุเมรุได้อีกต่อไป” ถังผิงมั่วกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
แม้ว่าการสั่นสะเทือนนี้จะไม่รุนแรง แต่ถังผิงมั่วในฐานะผู้นำตระกูลถังก็ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ไม่ธรรมดานี้อย่างเฉียบคม เขารายงานต่อกองทัพพระสุเมรุตั้งแต่วินาทีแรก แต่ก็ยังสายเกินไป
ในสถานการณ์ปัจจุบัน ถังผิงมั่วไม่ได้กังวลเรื่องอื่น เขากังวลแค่เรื่องเดียว “ผู้อาวุโสทุกท่านเองก็คงทราบดี ในอดีตไม่รู้ว่าบิดาข้าได้ข่าวมาจากไหนว่าพระสุเมรุร่วงหล่นแล้วจึงได้บังเกิดความคิดที่จะก้าวขึ้นไปอีกขั้น ทำเรื่องไว้ไม่น้อย…”
แม้ว่าถังผิงมั่วจะไม่ได้พูดจนจบประโยค แต่เหล่าผู้อาวุโสในที่นั้นก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สีหน้าแต่ละคนจึงดูมืดครึ้มเล็กน้อย บางคนถึงกับหนังตากระตุกอย่างรุนแรง
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ บิดาของถังผิงมั่วถังเหิงซึ่งเป็นผู้นำตระกูลถังคนก่อนแห่งอาณาจักรจิ่วเหลียน นับเป็นบุคคลที่หาได้ค่อนข้างยาก หากไม่ใช่เพราะพระสุเมรุผนึกภูเขา ถังเหิงจะต้องถูกเกณฑ์เข้าสู่กองทัพพระสุเมรุแน่ๆ และเขาจะสามารถปีนจากตำแหน่งนั้นขึ้นไปยังจุดสูงสุดของระดับการบำเพ็ญ…พระสุเมรุ
แต่ก็เพราะความสามารถที่โดดเด่นของเขา ถึงทำให้เขาไม่ได้รับ ‘การคัดเลือก’ ถังเหิงจึงเลือก ‘เดินทางผิด’ เขาประกาศกร้าวว่าจะสร้างอาณาจักรทั้งปวงขึ้นเอง ให้อาณาจักรจิ่วเหลียนกลายเป็นศูนย์กลางของพระสุเมรุ!
ผลลัพธ์คือ…
เขาพระสุเมรุถูกเปิดออก
กองทัพพระสุเมรุออกมาให้ยลโฉมบนโลกอีกครั้ง!
ไม่รู้ว่าถังเหิงถูกกระตุ้นหรือเปล่า แต่เขาก็หายตัวไปหลังจากนั้นนานแสนนาน
เมื่อหลายพันปีก่อน ถังผิงมั่วรุ่นเยาว์สายตรงของตระกูลถังในรุ่นอักษร ‘ผิง’ ก็ขึ้นสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลต่อโดยมีผู้อาวุโสทั้งสิบคนสนับสนุน กลายเป็นผู้ปกครองอาณาจักรจิ่วเหลียน
ในช่วงพันปีที่ผ่านมา อาณาจักรจิ่วเหลียนสงบสุขมาก หลังจากการคัดเลือกทหารสำรองเข้าสู่กองทัพพระสุเมรุ ไม่นานมานี้ตระกูลถังก็ได้รับรางวัล อาณาจักรจิ่วเหลียนได้รับสิทธิ์เข้าคัดเลือกสิบตำแหน่ง
เมื่อไม่กี่วันก่อน เมื่อถังผิงมั่วเห็นสิทธิ์ทั้งสิบ เขาก็รู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมากและอดไม่ได้นึกถึงบิดาที่หายตัวไปนาน เขายังพึมพำกับตัวเองว่า “ถ้าท่านพ่อของข้าได้รับสิทธิ์นี้ ป่านนี้เขาคงปีนไปถึงตำแหน่งหลักในเขาพระสุเมรุแล้ว”
น่าเสียดายที่คุณสมบัติของเขาด้อยกว่าบิดามาก และไม่สามารถช่วยบิดาบรรลุความปรารถนาในวัยเยาว์ของเขา ส่วนผู้แข็งแกร่งในตระกูลคนอื่นๆ พวกเขาก็ด้อยกว่าบิดามากเช่นกัน เกรงว่าจะทำให้สิทธิ์ทั้งสิบนี้สูญเปล่า
อย่างไรก็ตาม เสียดายส่วนเสียดาย…
สิ่งที่ถังผิงมั่วกังวลมากที่สุดในตอนนี้คือสิ่งที่บิดาเขาทำไว้ก่อนหน้านี้ มันคือต้นตอของความวุ่นวายในอาณาจักรจิ่วเหลียนทั้งปวง
เหล่าผู้อาวุโสในปัจจุบันเองก็กังวลเช่นกัน ผู้อาวุโสใหญ่ผู้นั้นกล่าวอย่างจริงจัง “หากเป็นเช่นนั้นจริง เช่นนี้ก็ตึงมือแล้ว”
“เราถามเสวี่ยเอ๋อร์ได้หรือไม่” ผู้อาวุโสสามที่สวมชุดสีม่วงถามอย่างระมัดระวัง “บางทีเสวี่ยเอ๋อร์อาจรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้นำตระกูลเหิงทำในปีนั้น”
ในปีนั้น ถังเหิงคิดเพ้อฝันและมีใจทะเยอทะยาน แต่เพราะไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้อาวุโสทั้งสิบคนที่ดูแลตระกูล เขาจึงเลิกปรึกษาเหล่าผู้อาวุโสและทำทุกอย่างเพียงลำพังด้วยความโกรธ
ไม่ใช่ว่าเหล่าผู้อาวุโสไม่เคยคิดที่จะปลดเขาออกจากตำแหน่งผู้นำตระกูล แต่อาณาจักรจิ่วเหลียนภายใต้การนำของถังเหิง โดดเด่นและรุ่งโรจน์กว่าที่ผู้นำรุ่นก่อนๆ เคยทำมาก เหล่าผู้อาวุโสจึงเลือกปิดตาข้างหนึ่งแล้วยอมจำนน
แต่นับตั้งแต่นั้นเช่นเดียวกันที่ถังเหิงไม่แยแสความคิดของใครและดื้อรั้นสร้างอาณาจักรทั้งปวงขึ้นเอง เขาเสริมความแข็งแกร่งให้กับอาณาจักรจิ่วเหลียนด้วยอาณาจักรทั้งปวงที่เพิ่งกำเนิดใหม่ทั้งหมด ทำให้อาณาจักรจิ่วเหลียนกลายเป็นเขาพระสุเมรุที่ครั้งหนึ่งเขาอวดอ้างไว้อย่างเย่อหยิ่ง
ท้ายที่สุดแล้ว ตามความเห็นของถังเหิงในขณะนั้น เขาพระสุเมรุไม่ได้ถูกผนึกภูเขา แต่หายไปพร้อมกับการร่วงหล่นของพระสุเมรุ
สำหรับอาณาจักรทั้งปวงที่ถูกพระสุเมรุสร้างขึ้นในตำนาน ย่อมถูกทำลายไปหมดแล้วเช่นกัน
ตอนนี้…
ผู้อาวุโสทั้งสิบคนที่แต่เดิมกลัวความคิดที่บ้าคลั่งของถังเหิงล้วนรู้สึกเสียใจภายหลัง ผู้อาวุโสใหญ่ถอนหายใจอย่างหนักและพูดว่า “คงมีแต่ต้องไปถามเสวี่ยเอ๋อร์แล้ว หากการสั่นสะเทือนในครั้งนี้เกี่ยวข้องกับ…การที่ในช่วงปีแรกๆ ข้าเพิกเฉยและไม่ถามอะไรเลย ก็เป็นความผิดแล้ว”
ถังเหิงไม่ได้พูดอะไร เหล่าผู้อาวุโสเพราะความหวาดกลัวประกอบกับเหตุผลอื่นๆ ด้วยเหตุนี้หลังจากที่ถังเหิงหายตัวไป แม้เหล่าผู้อาวุโสจะรู้ว่าสิ่งนี้อาจเกี่ยวข้องกับแผนสร้างอาณาจักรทั้งปวงใหม่ แต่พวกเขาไม่สามารถยืนยันได้”
“เฮ้อ…” ผู้อาวุโสสี่ที่สวมเสื้อคลุมผู้อาวุโสสีน้ำเงินถอนหายใจหนักเช่นกัน “แม้ว่าเราจะต้องการถาม แต่ผู้นำตระกูลเหิงไม่แน่ว่าจะตอบข้าอย่างละเอียด สำหรับตอนนี้เราคงทำได้เพียงภาวนาให้เสวี่ยเอ๋อร์รู้อะไรบางอย่างเท่านั้น”
ถังผิงมั่วเองก็หวังว่าถังเสวี่ยน้องสาวของเขาจะรู้อะไรบางอย่าง ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ข้าไปถามเอง ทุกท่านก็ลองครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกครั้ง อาจมีความเป็นไปได้อื่นๆ เราต้องหาสาเหตุของความวุ่นวายนี้”
“ท่านผู้นำตระกูลโปรดวางใจ พวกเราจะพยายามอย่างเต็มที่” แม้ว่าผู้อาวุโสทั้งสิบคนล้วนมีอายุนับหมื่นปีแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่ได้อาศัยความชรากดศีรษะถังผิงมั่วผู้นำตระกูลที่ ‘เยาว์วัย’ กว่าคนนี้ พวกเขาเป็นมิตรกับผู้นำตระกูลมาก
ถังผิงมั่วเองก็รู้สึกขอบคุณผู้อาวุโสทั้งสิบคนที่ให้ความช่วยเหลือแก่เขาตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขายืนขึ้น ประสานมือและโค้งคำนับเหล่าผู้อาวุโส “ขอบคุณทุกท่านสำหรับความช่วยเหลือ ข้าหวังว่าเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับบิดาของข้า… ”
“ไปเถิด” ผู้อาวุโสใหญ่ผมเงินก้าวขึ้นมาประคองถังผิงมั่วให้ลุกขึ้น ในใจกลับรู้สึกมองโลกในแง่ร้าย เพราะความวุ่นวายในปัจจุบันอาจเกี่ยวข้องกับถังเหิงที่หายตัวไปจริงๆ
สัญชาตญาณนี้ทำให้ผู้อาวุโสใหญ่กระสับกระส่าย หลังจากที่ถังผิงมั่วจากไป เขาก็อดไม่ได้พูดขึ้นว่า “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าถังเหิงประสบความสำเร็จจริงๆ”
สีหน้าของผู้อาวุโสสิบในชุดสีเหลืองอ่อนที่นั่งอยู่ด้านล่างเปลี่ยนไป “ผู้อาวุโสใหญ่ ระมัดระวังคำพูดด้วย!”
“…” ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างพากันนิ่งเงียบ
อย่างไรก็ตาม
ผู้อาวุโสสามไม่อาจไม่พูดว่า “แม้ว่าเราจะพยายามตัดความสัมพันธ์ตั้งแต่แรกแล้วก็ตาม แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าถังเหิงเป็นผู้ทำเรื่องนี้จริงๆ ตระกูลถังจะไม่ถูกกวาดล้างไปจนหมดใช่หรือไม่”
“…แต่เกือบพันปีที่ผ่านมานี้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยนะ ข้ายังคิดว่าทุกอย่างจบสิ้นแล้ว” สีหน้าของผู้อาวุโสสี่เริ่มน่าเกลียดมากขึ้น
ผู้อาวุโสรองในชุดคลุมสีขาวที่นิ่งเงียบมาโดยตลอด อดไม่ได้พูดว่า “อย่าเพิ่งด่วนสรุปไป บางทีอาจไม่แย่อย่างที่พวกเราคิด คนผู้นั้นไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ มานับพันปีแล้ว บางทีถังเหิงอาจล้มเหลวและเสียชีวิตไปนานแล้ว”
“ข้าก็หวังอย่างนั้น” ผู้อาวุโสหลายคนหวังว่าทางที่ดีให้เป็นเช่นนี้ ไม่อย่างนั้น…
คิดถึงพลังของพระสุเมรุในตำนานและพลังของกองทัพพระสุเมรุที่ปรากฏตัวขึ้นเมื่อหลายพันปีก่อน
สีหน้าของผู้อาวุโสทั้งสิบคนก็ดูน่าเกลียดมากขึ้นเล็กน้อย ราวกับหนังกบที่ถูกขี้เถ้าก้นหม้อทาทับ ทั้งดำทั้งเขียว
……
ภายในลานเรือนพักของตระกูลถัง
หลังจากที่ถังผิงมั่วเดินเข้ามาในลานเรือนพักของถังเสวี่ยน้องสาวของเขา เขาก็ถูกเชิญมาที่ศาลาชมดอกไม้
หลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง ถังเสวี่ยกูไหน่ไนแห่งตระกูลถังผู้โด่งดังในอาณาจักรจิ่วเหลียนก็เดินเข้ามา “พี่ใหญ่”
ถังผิงมั่วเงยหน้าขึ้น มองน้องสาวที่เดินเข้ามาในศาลา เขายังคงถูกรูปลักษณ์อันน่าตกตะลึงของน้องสาวทำให้ทึ่งไม่เปลี่ยน ใบหน้าคมมีรอยยิ้มเล็กน้อย “เจ้ากำลังทำอะไรอยู่ พี่รอเจ้าตั้งนาน”
“ใครจะไปรู้ว่าพี่ชายที่แสนยุ่งของข้าจะมาเยี่ยมข้าถึงลานเรือนพัก แน่นอนว่าข้าย่อมต้องออกไปเดินเล่น” ถังเสวี่ยช่างสมกับชื่อของนาง ผิวขาวราวกับหิมะและมีรูปลักษณ์ที่โดดเด่น นางยังพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดาด้วย
ดังนั้น ในการคัดเลือกทหารสำรองของกองทัพพระสุเมรุครั้งนี้ สิทธิ์หนึ่งจึงถูกมอบให้กับน้องสาวของเขาโดยตรง ซึ่งคนในตระกูลถังทั้งหมดไม่มีใครคัดค้านเรื่องนี้
ประการแรก พรสวรรค์และระดับการบ่มเพาะของถังเสวี่ยนั้นน่าทึ่งมาก!
ประการที่สอง ถังเสวี่ยกูไหน่ไนคนนี้ยั่วยุไม่ได้ง่ายๆ
ทุกคนในอาณาจักรจิ่วเหลียนรู้ดีว่ากูไหน่ไนแห่งตระกูลถังคนนี้เจ้าอารมณ์และมีนิสัยเจ้าเล่ห์เอาแต่ใจขนาดไหน
สมมติว่าตอนนี้ ถ้าถังผิงมั่วไม่ใช่ผู้นำตระกูล ถังเสวี่ยคงไม่ ‘พอใจ’ มาก กระทั่งไม่แม้แต่จะกลับมาด้วยซ้ำ
ดังนั้น แม้ว่านางจะฟังคำถามของถังผิงมั่วอย่างอดทน แต่ใบหน้านางก็ยังคงแสดงท่าทีรำคาญ “ข้าจะไปรู้เรื่องของท่านพ่อได้อย่างไรกัน เรื่องนี้เกิดขึ้นในยุคไหน พี่ใหญ่ ท่านไม่ยอมจบมันอีกหรือ”
“เสวี่ยเอ๋อร์” ถังผิงมั่วขมวดคิ้ว เขารู้ว่าน้องสาวเขาถูกบิดาตามใจจนเสียคน ดังนั้นจึงทำได้แค่ไหลไปตามอารมณ์ของนาง “เจ้าลองคิดให้ดีๆ ถือเสียว่าช่วยพี่ใหญ่ การสั่นสะเทือนในครั้งนี้ ยิ่งมาก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นทุกที…ถ้าไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง เราจะรับมือกับมันได้อย่างไร”
“แล้วตาแก่ไม่ยอมตายพวกนั้นเล่า ไม่รู้สาเหตุเลยหรือ” ตาแก่ไม่ยอมตายที่ถังเสวี่ยพูดถึง เห็นได้ชัดว่านางกำลังเอ่ยถึงผู้อาวุโสทั้งสิบคน
ถังผิงมั่วสีหน้ามืดครึ้ม “เสวี่ยเอ๋อร์…”
“พี่ใหญ่ ท่านอย่าได้มาสั่งสอนข้า ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่คิดอะไรทั้งนั้น!” ถังเสวี่ยปฏิเสธที่จะฟังคำสั่งสอนของพี่ชายและน้ำเสียงของนางก็แย่มาก
ถังผิงมั่วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ในเมื่อเสวี่ยเอ๋อร์รู้อะไรบางอย่าง จงบอกพี่ใหญ่มาแต่โดยเร็วเถิด”
ถังเสวี่ยพูดว่า “ข้าจำไม่ได้! ข้าจะบอกพี่ใหญ่เมื่อข้าจำได้”
“เสวี่ยเอ๋อร์!” คิ้วของถังผิงมั่วกระตุกยิก
ถังเสวี่ยกลับลุกขึ้นยืนแล้ว “ท่านพ่อหายตัวไปกว่าพันปีแล้ว ไม่มีใครตามหาเขาเลย ตอนนี้พอเกิดเรื่องขึ้นถึงนึกถึงเขาขึ้นมา!”
“เสวี่ยเอ๋อร์…”
ถังเสวี่ยไม่ยินดีที่จะฟังอะไรอีก นางลุกขึ้นและเดินจากไป
ถังผิงมั่วใช่ว่าไม่อยากรั้งคนไว้ แต่เขารู้ว่าด้วยนิสัยดื้อรั้นและเอาแต่ใจของน้องสาว ต่อให้หยุดนางก็คงไม่มีคำพูดที่น่าฟังใดๆ ได้แต่กลับมาถามในภายหลังเท่านั้น
แม้ว่าเขาจะรีบ แต่ถังผิงมั่วก็ทำอะไรไม่ได้ ท้ายที่สุด…
ถังเสวี่ยมีตบะสูงที่สุดในตระกูลถัง! ประดุจดั่งเทพเจ้า!
ถังผิงมั่วรู้ดีว่าน้องสาวของเขาจะเป็นสมาชิกตระกูลถังเพียงคนเดียวที่มีโอกาสถูกกองทัพพระสุเมรุคัดเลือกเข้ากองทัพ แต่อารมณ์ของนาง ทำให้ถังผิงมั่วไม่กล้าหวังมากเกินไป
“เฮ้อ…” ถังผิงมั่วขมวดคิ้วอย่างปลดปลง เมื่อนึกถึงอารมณ์ของน้องสาว เขาไม่รู้ว่าการขอให้นางเข้าร่วมการคัดเลือกกองทัพพระสุเมรุเป็นความคิดที่ถูกต้องหรือไม่ เพราะเขากลัวว่านางจะไปยั่วยุบุคคลที่ไม่ควรยั่วยุเข้า
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ถังผิงมั่วก็เริ่มเป็นกังวล เขารู้สึกว่าตัวเองอาจตัดสินใจผิด แต่เขาได้มอบสิทธิ์ให้กับนางไปแล้ว เมื่อป้ายสิทธิ์นั้นไปถึงมือน้องสาว ชื่อ ‘ถังเสวี่ย’ ก็ถูกสลักขึ้นบนป้าย
ถังผิงมั่วรู้ว่านั่นคือการยืนยันว่าน้องสาวเขาถูกลงนามให้เข้าร่วมการคัดเลือก และรายชื่อนี้ก็ถูกส่งไปยังกองทัพพระสุเมรุแล้ว
ตอนนี้…
แม้ว่าถังผิงมั่วจะคิดหนักเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เขาก็รู้ว่าทุกอย่างไม่อาจเรียกคืนกลับมาได้ ได้แต่หวังว่ากูไหน่ไนคนนี้จะคิดถึงตระกูลให้มากๆ และไม่นำพาการทำลายล้างมาสู่ตระกูล
……
ในเวลาเดียวกัน
ในอาณาจักรทั้งปวงบนเขาพระสุเมรุ
เยี่ยเชียนหลีที่ถูกสามีพากลับวังพระสุเมรุ กำลังถามด้วยความประหลาดใจว่า “ฝ่าบาทบอกว่าอี้เอ๋อร์เข้ามาในอาณาจักรจิ่วเหลียนทางทิศตะวันออกของพระสุเมรุแล้วหรือ!”
“ใช่” หรงมั่วโอบภรรยาร่างนุ่มนิ่้มไว้ในอ้อมแขน พยักหน้าเล็กน้อย “หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นกลางทาง เจ้าเสือดาวน้อยจะปรากฏตัวในอาณาจักรจิ่วเหลียนพร้อมกับภรรยาและลูกๆ ของเขาในอีกหนึ่งเค่อ”
ตอนนี้เองเยี่ยเชียนหลีเริ่มร้อนรนแล้ว “แล้วมัวรออะไรอยู่เล่า! เราไปรับภรรยาตัวน้อยของอี้เอ๋อและลูกของเขากันเถิด”
“ไม่ต้องรีบ…”
“รีบสิ! รีบมากๆ!” เยี่ยเชียนหลีขัดจังหวะฝ่าบาท “จะไม่ให้รีบได้อย่างไร! ตั้งแต่อี้เอ๋อร์จากไปก็ไม่มีข่าวคราวใดๆ เลย ไม่รู้ว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเขาเป็นอย่างไรบ้าง ข้า.. ”
เยี่ยเชียนหลีหลั่งน้ำตาขณะที่นางพูด รู้สึกเป็นทุกข์อย่างยิ่ง คนทั้งคนหดตัวโดยไม่รู้ตัว หยาดน้ำตาไหลลงมาจากดวงตาคู่งามมากขึ้นเรื่อยๆ “อี้เอ๋อร์ของพวกเรา …” ลำบากเกินไปแล้ว
หรงมั่วเองก็ปวดใจไม่แพ้กัน เขากอดภรรยาไว้แน่น ไม่เพียงแต่เป็นทุกข์กับลูกชาย แต่ปวดใจเพราะภรรยาด้วย “ได้ ไม่รอแล้ว เราไปรับเขาตอนนี้เลย”
เสียงสะอื้นของเยี่ยเชียนหลีเวลานี้ถึงดีขึ้นเล็กน้อย “เดิมก็ไม่ควรรอตั้งแต่แรก” อย่างไรก็ตาม…
เมื่อคิดถึงกลิ่นอายแปลกๆ บนยอดเขาพระสุเมรุ เยี่ยเชียนหลีก็เริ่มกังวลอีกครั้ง “ฝ่าบาท! บอกความจริงกับข้ามาเถิด เกิดอะไรขึ้นกับอี้เอ๋อร์”