บทส่งท้าย 9 อาณาจักรทั้งปวงของพระสุเมรุในปัจจุบัน
เยี่ยเชียนหลีที่กังวลเกี่ยวกับหรงอี้ เห็นได้ชัดว่าเดาผิดไปไกลโข ท้ายที่สุดหรงอี้ของนางไม่เพียงแต่สบายดี แต่เขายังฝ่าด่านเคราะห์ได้สำเร็จอย่างงดงาม ซึ่งนี่เกินความคาดหมายของพวกเขามาก
แต่สถานการณ์ของเยี่ยนอวี๋่ที่ช่วยให้หรงอี้ฝ่าด่านเคราะห์นั้นกลับไม่น่ายินดีมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่นางเข้าใกล้อาณาจักรจิ่วเหลียนมากขึ้น
เดิมทีเยี่ยนอวี๋เพียงแต่ถูกดึงจิตวิญญาณออกไป ตอนนี้คล้ายกับกำลังฝันร้าย ไม่เพียงแต่คิ้วขมวดแน่น ใบหน้างามยังเปลี่ยนจากสีขาวอมชมพูไปเป็นซีดขาว
ภาพนี้ส่งผลให้หรงอี้ตัดสินใจเด็ดขาดรวบรวมแสงสีม่วงและตัดขาดการเชื่อมโยงของนาง ดึงภรรยาของเขาออกมาอย่างรวดเร็ว
“อ้า”
เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่สัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติเองก็ไม่เล่นอีกต่อไป เขากอดคอบิดาของเขาอย่างประหม่า มองไปที่เยี่ยนอวี๋ที่จู่ๆ ใบหน้าก็ซีดลงอย่างมาก
จิ่วอิงเริ่มระมัดระวังขึ้นมา
แม้แต่แมวขาวตัวน้อยก็ยื่นอุ้งเท้าของมันออกไปคว้าคอเยี่ยนเสี่ยวเป่าไว้อย่างตื่นตระหนก
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง
ร่างจิตของหรงอี้ในทะเลจิตของเยี่ยนอวี๋ กำลังเรียกหาจิตวิญญาณของภรรยาเขา “เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ ตื่นเถิด” เสียงนั้นไม่ดังมากนัก เพื่อไม่ให้ภรรยาของเขาตกใจ ป้องกันไม่ให้จิตวิญญาณของนางซึ่งเห็นได้ชัดว่าบอบช้ำอยู่แล้วต้องบอบช้ำอีกครั้ง
แต่เยี่ยนอวี๋กลับไม่ตอบสนอง…
“เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์?” หรงอี้ขมวดคิ้ว จู่ๆ เขาก็รู้สึกเสียใจ เสียใจที่ไม่ตัดขาดการเชื่อมต่อของนางตั้งแต่แรกทั้งที่พบความผิดปกติ ทำให้ภรรยาของเขาได้รับบาดเจ็บโดยไม่คาดคิด
แม้ว่าเจตนาเดิมของเขาคือไม่อยากขัดจังหวะการตระหนักรู้ของภรรยา และก็เพื่อช่วยให้นางก้าวไปสู่เส้นทางที่เหมาะสมกับตัวเองมากกว่า แต่ถ้าสิ่งนี้ทำให้ภรรยาของเขา…
หรงอี้ไม่กล้าคิดอีกต่อไป ลมหายใจของเขาถี่กระชั้นขึ้นเล็กน้อย
เจ้าตัวเล็กบางคนเองก็สัมผัสได้ เขากอดบิดาอย่างประหม่า ขณะเดียวกันก็พูดว่า “ปิ้ว” ทันใดนั้นดอกไม้สีม่วงเล็กๆ จำนวนมากก็เบ่งบาน
ในขณะที่ดอกไม้สีม่วงเหล่านี้กำลังเบ่งบาน ในที่สุดเยี่ยนอวี๋ก็ตอบกลับมาอย่างอ่อนแรง “สามี”
“ข้าอยู่ตรงนี้” ร่างจิตของหรงอี้ตอบสนองทันที หัวใจของเขาที่ค้างเติ่งค่อยๆ สงบลงเล็กน้อย “เมื่อสักครู่นี้เกิดอะไรขึ้น”
“ข้าเห็นคนคนหนึ่ง” เสียงของเยี่ยนอวี๋ค่อยๆ ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่ก็ฟังออกว่านางบอบช้ำและอ่อนแอมากจริงๆ
หัวใจของหรงอี้บีบรัดแน่น ขณะที่เขากำลังจะโพล่งออกไปว่าภรรยาเจ้าอย่าเพิ่งตระหนักรู้
ก่อนที่เขาจะทันได้พูดคำเหล่านี้ แสงหลากสีก็มารวมตัวกันที่ด้านหน้าร่างจิตของเขาและค่อยๆ เปลี่ยนร่างเป็นรูปลักษณ์ของภรรยาของเขา
แม้ว่าใบหน้าของเยี่ยนอวี๋ในร่างวิญญาณตรงหน้าเขาจะดูซีดเซียวมาก ร่างวิญญาณเองก็โปร่งใสและกระจัดกระจายเล็กน้อย แต่หรงอี้ก็ยังยินดี
ภรรยาทำสำเร็จแล้ว
อย่างน้อยก้าวแรกก็สำเร็จแล้ว
เวลานี้เขามีความสุขมาก ร่างสูงรีบคว้าภรรยาตัวน้อยเข้ามากอด
พรึ่บ
ความรู้สึกปีติยินดีนั้น ทำให้หรงอี้ต้องกลับสู่สภาพเดิมโดยไม่ได้ตั้งใจ
เยี่ยนอวี๋ที่สัมผัสได้ถึงความรู้สึกปีติยินดีเช่นกัน ท้ายที่สุดร่างวิญญาณเล็กๆ ของนางที่เพิ่งก่อตัวขึ้นก็ยังอ่อนไหวมาก ดังนั้นนางจึงตื่นขึ้นทันที แถมยังตัวสั่นนิดหน่อย
“แม่” เมื่อเจ้าตัวเล็กเห็นมารดาของเขาตื่นขึ้นมา เขาก็รีบโผเข้าไปและซุกตัวในอ้อมแขนของมารดา เห็นได้ชัดว่าเมื่อสักครู่นี้เขาทั้งกังวลและประหม่ามาก
เยี่ยนอวี๋รับเจ้าตัวเล็กโดยสัญชาตญาณ เอ่ยปลอบเขาเบาๆ “ไม่เป็นไรแล้ว แม่ไม่เป็นไร”
เยี่ยนเสี่ยวเป่ายังคงเขยิบซุกตัวเข้าไปในอ้อมแขนของมารดา นอนอยู่อย่างนั้นนิ่ง
เยี่ยนอวี๋ลูบหลังอันนุ่มนวลและศีรษะล้านเล็กๆ ของเจ้าตัวเล็กเพื่อให้เขารู้สึกสบายใจมากขึ้น ขณะเดียวกันนางก็เงยหน้าขึ้นมองสามีที่โอบประคองนางไว้ ใบหน้างามแดงก่ำผิดธรรมชาติเล็กน้อย
สำหรับหรงอี้ที่กอดภรรยาของเขาเอาไว้แน่น เขาใช้เวลาครู่หนึ่งเพื่อสงบลง ค่อยๆ ระงับปฏิกิริยาทางร่างกายของเขา ความรู้สึกแบบนั้นที่กลับมา ยังคงสะท้อนอยู่ในการรับรู้ของเขา
ในอดีต เขาจำคืนแรกไม่ได้ ก่อนที่จะร่วมหอกับภรรยา ทุกอย่างจึงดีหน่อย
ตอนนี้เขาได้ลิ้มรสชาติของภรรยาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ไหนเลยจะสามารถทนรับการกอดท่านี้ของนางได้ไหว มันแทบเอาชีวิตเขาจริงๆ
จู่ๆ นางก็พันเขาแน่น แต่ช่างเหมือนถูกนางแขวนคอ…
ดังนั้นเมื่อหรงอี้เปิดปากพูดอีกครั้ง เสียงของเขาจึงแหบพร่าอย่างชัดเจน “ข้าเตือนเจ้ากี่ครั้งแล้วว่าอย่าแตะต้อง ‘เขา’”
“…” เยี่ยนอวี๋ลดสายตาลง อุ้มเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนแน่นขึ้น เห็นได้ชัดว่ากำลังร้อนตัว
ท่าทางแบบนั้น…
หรงอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาแอบคิดว่าเจ้าตัวเล็กคนนี้เหมือนภรรยาของเขามากจริงๆ หน้าตาท่าทางตอนร้อนตัวช่างเหมือนกันทุกประการ สมกับที่เป็นแม่ลูกกัน
แต่เขากลับแพ้ให้กับภาพนี้ ใจเขาอ่อนยวบไปทั้งดวง ทำได้เพียงกระชับเอวภรรยาแล้วพูดว่า “ข้าจะจัดการกับเจ้าทีหลัง”ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
เยี่ยนอวี๋รู้ว่านางผิดจึงไม่คิดจะพูดอะไร แต่เนื่องจากนางรู้สึกว่าสามีของนางกำลังหยิกนาง แม้จะคลุมเครือมาก แต่ใบหน้างามก็แดงก่ำขึ้นโดยไม่รู้ตัว
อย่างไรก็ตาม เจ้าตัวเล็กบางคนกลับไม่พอใจ ในเวลานี้เขายกศีรษะออกจากอกของมารดาแล้วพูดด้วยความโกรธว่า “ไม่ ได้”
จากนั้นหรงอี้ก็หยิกแก้มยุ้ยๆ ที่พองลมของเจ้าตัวเล็กและยังลูบศีรษะโล้นๆ ของเขา “เจ้ารู้หรือว่าแม่เจ้าทำอะไรลงไป”
“ถูก ต้อง” เยี่ยนเสี่ยวเป่าคว้ามือใหญ่ของบิดา แสดงออกว่าไม่ว่ามารดาเขาจะทำอะไรก็ตาม นางถูกทั้งหมด ท่านไม่สามารถรังแกหรือจัดการกับนางได้
คำพูดนี้ทำให้หรงอี้ยิ้ม “มีเหตุผล เจ้าจำคำพูดนี้ไว้ให้ดีเล่า ในอนาคตอย่าได้ขัดต่อความปรารถนาของแม่เป็นอันขาด”
“ได้~” เยี่ยนเสี่ยวเป่าดีใจมากที่ได้รับการยอมรับ เขาตอบตกลงด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเยี่ยนอวี๋ได้ยินและเห็นสิ่งนี้ นางก็ฉีกยิ้มกว้าง ดวงหน้างามเงยหน้าขึ้นมองสามีอีกครั้ง ผลก็คือแรงของมือที่โอบอยู่ที่เอวนางออกแรงมากขึ้นกว่าเดิม และนางก็ได้รับคำใบ้ที่แฝงความหมายจากดวงตาของสามีของนางโนเวลพีดีเอฟ
เยี่ยนอวี๋ “…”
จู่ๆ นางก็ไม่อยากมองสามีอีกต่อไป
ส่วนหรงอี้ที่เปลี่ยนท่าโอบภรรยาให้ไปอยู่ในตำแหน่งอื่น เขาถามอย่างจริงจังว่า “เมื่อสักครู่นี้เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์เห็นใครหรือ”
เยี่ยนอวี๋ไม่ได้ตอบในทันที นางต้องการให้สามีเปลี่ยนท่าอุ้มกลับเป็นท่าเดิม แทนที่จะแยกขาออกจากกันแบบนี้ แถมยังให้นางให้ขาทั้งสองข้างพันรอบเอวสอบของเขา…
ในอดีต เยี่ยนอวี๋เองก็ไม่รู้สึกว่าท่าอุ้มนี้มีอะไรไม่ดี
แต่ตอนนี้นางรู้สึกเขินอายนิดหน่อยและอดที่จะคิดมากไม่ได้
แต่หรงอี้ก็ตั้งใจที่จะอุ้มภรรยาเขาแบบนี้จึงไม่ให้โอกาสสตรีในอ้อมแขนแอบเปลี่ยนตำแหน่ง เขากระชับฝ่ามือบนเอวและสะโพกของนางแน่น แน่นป้องกันไม่ให้นางขยับแม้แต่นิ้วเดียว
เยี่ยนอวี๋ไม่มีทางเลือกนอกจากพยายามไม่ให้ได้รับผลกระทบจากความคิดของเขา และตอบอย่างจริงจังว่า “เป็นชายชราคนหนึ่ง ข้าไม่รู้จักเขา แต่เขาขอให้ข้าไปหาและข้าก็ไม่เต็มใจอย่างยิ่ง”
“เขาเลยโจมตีจิตวิญญาณของเจ้าหรือ” หรงอี้ถามด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง
เยี่ยนอวี๋พยักหน้า “ใช่ ข้าไม่มีเวลาสังเกตระดับตบะของเขา แต่ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถหยุดกลิ่นอายของข้าได้ แถมยัง…” นางไม่ได้พูดประโยคถัดไปในทันทีราวกับกำลังคิดถึงมัน
หรงอี้ไม่ได้รบกวนนาง แค่รอให้ภรรยาคิดจากนั้นค่อยบอกเขา
เยี่ยนอวี๋ไม่ปล่อยให้หรงอี้รอนานเกินไป “ดูเหมือนเขาจะอยากกลืนกินข้าหรือไม่ก็ควบคุมข้า หลังจากที่สามีตัดขาดการเชื่อมต่อทั้งหมด ข้าก็รู้สึกได้ว่าเขาโกรธมาก”
หรงอี้หัวเราะเยาะ “เจ้าสุนัขนี่ใจกล้ามาก” กล้าที่จะโจมตีภรรยาของเขา
“สุนัข” เจ้าตัวเล็กบางคนที่ถูกกอดไว้ในอ้อมแขนของบิดามารดาแน่น ตะโกนออกมาสองสามคำว่า สุนัข
เยี่ยนอวี๋ก้มศีรษะลง จุมพิตศีรษะล้านๆ ของเจ้าตัวเล็ก “เสี่ยวเป่าเข้าใจทุกอย่างด้วยหรือ”
“เข้าใจ” อันที่จริงเยี่ยนเสี่ยวเป่าเข้าใจเพียงเล็กน้อย แต่เขาไม่ได้สนใจว่าตัวเองเข้าใจหรือไม่ เขาแค่รู้ว่ามีชายชราคนหนึ่งรังแกมารดาของเขา
เยี่ยนอวี๋กล่าวชมว่า “เสี่ยวเป่าฉลาดมาก”
“ฮี่ๆ~” เจ้าตัวเล็กบางคนคว้าไหล่ของมารดาและขยับก้นอย่างมีความสุข เด็กน้อยดิ้นไปมาเหมือนลิงตัวน้อย เห็นได้ชัดว่าเขากลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งเหมือนตอนก่อนที่มารดาเขาจะประสบกับอุบัติเหตุ
ท้ายที่สุดแล้ว แม้ว่าจิตวิญญาณของเยี่ยนอวี๋จะได้รับบาดเจ็บ แต่นางก็ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วภายใต้การบำรุงของดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่แสนเผ็ดร้อนจึงไม่ได้บาดเจ็บสาหัสอีกต่อไป ไม่เช่นนั้นหรงอี้คงไม่มีปฏิกิริยาแบบนี้
นอกจากนี้ เห็นได้ชัดว่าวิญญาณของนางได้รับประโยชน์จากสิ่งนี้
ดังนั้น เยี่ยนอวี๋จึงอธิบายต่อไปว่า “จะว่าไปก็น่าแปลก กลิ่นอายของเขาที่แผ่ออกมาปกคลุมดูเหมือนว่าจะมีประโยชน์มากสำหรับข้า ดังนั้นข้าจึงกำจัดสภาวะไร้ความรู้สึกในตอนนั้นออกไปได้ กระทั่ง…
เยี่ยนอวี๋เงียบไปอีกครั้ง นึกถึงการเผชิญหน้าเมื่อสักครู่นี้ นางมีสัญชาตญาณบางอย่าง “ระหว่างข้ากับชายชราคนนั้น น่าจะมีความเชื่อมโยงกันบางอย่าง ข้าจะถ่ายทอดรูปลักษณ์ของชายชราคนนั้นให้เจ้าดู สามีเจ้าลองดูว่าจำเขาได้หรือไม่”
หลังจากที่พูดจบ นางก็ไม่รอให้หรงอี้ตอบสนอง แต่ดันขาของนางขึ้นเล็กน้อยอย่างเป็นธรรมชาติ แตะหน้าผากของนางกับหน้าผากของสามี
จากนั้น…
เยี่ยนอวี๋เพียงแค่คิด ภาพชายชราที่นางเพิ่งเห็นก็ถูกส่งออกจากจิตสำนึกของนางผ่านแต้มบุปผาบนหน้าผากไปยังทะเลจิตของหรงอี้
หรงอี้เม้มริมฝีปากเล็กน้อย เขยิบเข้าไปประกบกับริมฝีปากสีแดงที่อยู่ใกล้เขาแล้วดูดแรงๆ จากนั้นก็พูดว่า “สามีจำไว้แล้ว”
เยี่ยนอวี๋ที่ถูกดูดปากหายใจติดขัดเล็กน้อย แต่แล้วนางก็จุมพิตริมฝีปากของสามีตอบ มือเปลี่ยนจากพยุงไหล่ไปเป็นกอดคอของสามีไว้แน่น
หรงอี้ที่ถูกโต้กลับตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ตอบสนองกลับไป น่าเสียดายที่…
ถูกเจ้าตัวเล็กบางคนที่พยายามคลานออกมาขัดขวางอีกครั้ง “อา หนีบอีกแล้ว เป่า แบน”
หรงอี้ที่ถือโอกาสอุ้มเจ้าตัวเล็กกลับมาอยู่ในอ้อมแขนเขา ปล่อยริมฝีปากของภรรยา แต่ดวงตาของเขามืดลงเล็กน้อย
ตรงกันข้าม เยี่ยนอวี๋ซบศีรษะลงบนไหล่และลำคอของสามีด้วยสีหน้าสงบ มือข้างหนึ่งยังโอบคอเขาอยู่ ส่วนอีกข้างลูบเจ้าตัวเล็กบางคนที่ศีรษะโล้น “เป็นความผิดของแม่เอง”
“ไม่ โทษ” เยี่ยนเสี่ยวเป่าพูดอย่างใจกว้าง
หรงอี้เองก็หนีบเจ้าตัวเล็กด้วย ขณะเดียวกันเขาก็พูดอย่างใจเย็นว่า “ชายชราคนนี้ต้องอยู่ในดินแดนข้างหน้าแน่ เราไปที่นั่นกันเถิด”
“อืม” เยี่ยนอวี๋่ไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด
หรงอี้เร่งความเร็วขึ้นทันที และมุ่งหน้าไปยังดินแดนของดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ ‘ตรงหน้า’
ขณะเดียวกัน
ตูม
เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นในอาณาจักรจิ่วเหลียน
ดวงดาวในระบบค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปทีละดวง กฎเกณฑ์และระเบียบเริ่มไม่เป็นรูปและบิดเบี้ยว
ผู้บ่มเพาะจำนวนมากที่กำลังปิดด่านตระหนักรู้ ธาตุไฟเข้าแทรกอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เป็นบ้าและเสียชีวิตทันที
ผู้มีอำนาจหลายคนในตระกูลถัง ต้องทนทุกข์ทรมานกับการเสียชีวิตอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวซึ่งมีต้นตอมาจากความสับสนวุ่นวายนี้
ถังผิงมั่วหน้าซีดเผือด “เราควรทำอย่างไรดี”
“หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าเกรงว่าเราจะถูกกำจัดทั้งหมด” ผู้อาวุโสสิบในชุดสีเหลืองสีหน้าดูน่าเกลียดอย่างมาก “แม้ว่ากองทัพพระสุเมรุจะไม่ได้รับการร้องขอความช่วยเหลือจากเรา แต่พวกเขาก็น่าจะสังเกตเห็นแล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติ ทำไมพวกเขาไม่ยื่นมือเข้าช่วยเล่า”
“บางทีสถานการณ์อาจซับซ้อนเกินไป” ผู้อาวุโสใหญ่ผมเงินส่ายหัวและถอนหายใจ “ผู้ที่สามารถบิดเบือนกฎของอาณาจักรจิ่วเหลียนของเราได้นั้น มีเพียงอดีตผู้นำตระกูลเท่านั้น”
“เขาต้องการจะทำอะไร” ผู้อาวุโสเก้าในชุดสีแดงหงุดหงิดมาก เขาไม่อาจนั่งนิ่งได้อีกต่อไป “ในตอนที่เขาพระสุเมรุผนึกภูเขา เขาจะบ้าก็ช่างเถิด แต่ปัจจุบันเขาพระสุเมรุเปิดออกแล้วและกองทัพพระสุเมรุก็ปรากฏตัวอีกครั้ง เขาต้องการจะทำอะไร เขาอยากให้ตระกูลถังถูกทำลายด้วยมือของตัวเองหรืออย่างไร”
ผู้อาวุโสใหญ่ผมเงินเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างหดหู่ใจ สีหน้าดูเหนื่อยล้า “เมื่อความทะเยอทะยานบางอย่างแตกหน่อออกมา พวกเขาจะไม่มีวันยอมรามือ ผู้นำตระกูลเหิงในปีนั้นเองจู่ๆ ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ข้าก็รู้แล้วว่ามันไม่ดี เกรงว่าอาจจะมีภัยคุกคามซ่อนอยู่”
หลายปีที่ผ่านมา เขาอดทน ทำให้เราทุกคนคิดว่าไม่มีอันตรายใดแอบแฝงแล้วและเราแค่กังวลไปเปล่าๆ แต่ใครจะคิดว่าเขาจะโจมตีทันทีโดยไม่พูดจา แต่เขาไม่คิดเผื่อตระกูล ไม่คิดถึงสมาชิกในตระกูลบ้างเลยหรือ”
ถังผิงมั่วฟังความคิดเห็นของเหล่าผู้อาวุโสเกี่ยวกับบิดาของเขาและต้องการแก้ตัวแทนบิดาสองสามประโยค แต่เขาไม่อาจทำได้ ท้ายที่สุดแล้ว เหล่าสมาชิกในตระกูลทุกคนต้องทนทุกข์ทรมานเพราะเรื่องนี้จริงๆ
แต่…
ผู้อาวุโสรองในชุดสีขาวถอนหายใจหนักๆ กล่าวว่า “แผนการที่ดีที่สุดในปัจจุบัน มีแต่ต้องช่วยให้เขาประสบความสำเร็จเท่านั้น”
ทั่วทั้งห้องโถงเงียบกริบ
ทุกคนคิดว่าพวกเขาได้ยินผิดไป
แต่ผู้อาวุโสรองในชุดสีขาวเงินก็พูดขึ้นอีกครั้ง “ด้วยนิสัยของผู้นำตระกูลเหิง ก่อนที่แผนเขาจะประสบความสำเร็จ เขาจะไม่มีวันให้โอกาสเราส่งข่าวออกไปอย่างแน่นอน”
ดังนั้นไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ชะตากรรมของตระกูลถังของเราก็จะถูกทำลายล้างอยู่ดี เป็นเช่นนี้ มิสู้เรายืนอยู่ข้างเขาจะดีกว่า ถ้าทำสำเร็จ ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาจะขึ้นไปแทนที่พระสุเมรุ อย่างน้อยๆ เขาก็จะมีจุดยืนในโลกพระสุเมรุอย่างแท้จริง”
“เจ้ารอง เจ้าคิดว่าแบบนี้มันได้จริงๆ หรือ” ผู้อาวุโสใหญ่ผมเงินคิดว่าไร้เดียงสาเกินไปหน่อย
แต่ผู้อาวุโสรองในชุดสีเงินกลับพูดว่า “เรามีสิทธิ์เลือกด้วยหรือ”
ไม่มี
ถังผิงมั่วและผู้อาวุโสทั้งสิบคนที่นั่งอยู่ในห้องโถงในปัจจุบัน ล้วนรู้ดีว่าในขณะนี้ถังเหิงตั้งใจแน่แล้วที่จะสร้างปัญหาและดึงพวกเขาทั้งหมดเข้าไปพัวพันอย่างชั่วร้าย
การไม่สามารถติดต่อกับกองทัพพระสุเมรุได้ก่อนเกิดเหตุ โดยพื้นฐานแล้วก็เท่ากับการได้ขึ้นเรือโจร เรื่องหลังจากนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะชี้แจงให้กองทัพพระสุเมรุทราบในภายหลังอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์แล้ว
ไม่สิ ก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์ไปทั้งหมดเสียทีเดียว
ผู้อาวุโสใหญ่ผมเงินพยายามดิ้นรนและพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่า พระสุเมรุวางมือและไม่ยื่นมือเข้ามาจัดการกับปัญหาอีกต่อไปแล้ว ปัจจุบันผู้ที่ปกครองโลกพระสุเมรุ คือบุตรชายคนโตนามหรงมั่ว รัชทายาทมั่วมีอุปนิสัยอ่อนโยน ไม่แน่ว่าจะไม่เชื่อพวกเรา”
“แต่หากผู้นำตระกูลเหิงประสบความสำเร็จ ตระกูลถังของเราก็จะเป็นเหมือนตระกูลหรง” ผู้อาวุโสรองในชุดสีเงินกล่าว ดวงตาชราของเขาลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขามีความทะเยอทะยานเช่นกัน
ผู้อาวุโสใหญ่ผมเงินตะโกนด้วยความโกรธว่า “เจ้าหยุดเพ้อฝันได้แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะลอกเลียนแบบสายเลือดอันเป็นเอกลักษณ์ของตระกูลหรง พระสุเมรุทรงมีอำนาจทุกสิ่ง ไม่แน่ว่าบทสนทนาของเราในขณะนี้ เขาอาจจะกำลังฟังอยู่ก็ได้”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมเขาถึงไม่ยื่นมือช่วยเล่า” ผู้อาวุโสรองในชุดสีเงินถาม “เขาพระสุเมรุปิดผนึกมานานนับพันปีแล้ว ก่อนที่ผู้นำตระกูลเหิงจะเริ่มวางแผนการของเขา จู่ๆ มันก็เปิดออกอีกครั้ง อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น”
“…เจ้าต้องการพูดอะไร” ผู้อาวุโสใหญ่ผมเงินถามตรงๆ
ผู้อาวุโสรองในชุดสีเงินไม่ได้ปิดบังถ้อยคำในใจอีกต่อไป “บางทีพระสุเมรุอาจกลับคืนสู่ธรรมชาติไปนานแล้ว การปิดผนึกภูเขานานนับหมื่นปีนั้น คือช่วงเวลาที่บุตรชายของเขาใช้ในการสืบทอดมรดกของเขา”
“แต่ผู้อาวุโสใหญ่ท่านเองก็พูดแล้ว พระสุเมรุมีอำนาจทุกสิ่ง มีสายเลือดที่ไม่อาจลอกเลียนได้ เช่นนั้นรัชทายาทมั่วย่อมไม่อาจเทียบกับพระสุเมรุได้ เป็นเช่นนี้ ผู้นำตระกูลเหิงที่ครอบครองพรสวรรค์โดดเด่นย่อมต้องประสบความสำเร็จตามความปรารถนาของเขา ”
คำพูดนี้…
ทำให้ผู้อาวุโสหลายคนที่ยังคงวิตกกังวลรู้สึกร้อนรุ่ม
ทุกคนในที่นี้รู้ดีว่าถังเหิงนั้นแข็งแกร่งมากแค่ไหน
ยังไม่พูดถึงเรื่องอื่น แค่อาณาจักรจิ่วเหลียนแห่งนี้ก็แทบจะเรียกได้ว่าเป็นดินแดนที่ถังเหิง ‘สร้าง’ ขึ้นมาเองกับมือ
ในปีนั้น เป็นเขาที่รวบรวมพลังวิญญาณจากทิศตะวันออกทั้งหมดมารวมกันที่อาณาจักรจิ่วเหลียน ต่อมาก็ระดมให้เหล่าผู้บ่มเพาะที่กระจัดกระจายอยู่ในทิศตะวันออก ค่อยๆ มากระจุกตัวกันอยู่ที่อาณาจักรจิ่วเหลียน ให้อาณาจักรนี้เป็นศูนย์กลางของพวกเขา
ในช่วงหลายหมื่นปีที่เขาพระสุเมรุผนึกภูเขา ไม่เพียงแต่อาณาจักรจิ่วเหลียนจะพัฒนาไปอย่างรวดเร็วเท่านั้น ทิศตะวันออกของพระสุเมรุทั้งหมดเองก็ค่อยๆ เจริญรุ่งเรืองขึ้น และเทพเจ้าผู้ทรงพลังก็ผุดขึ้นมาทีละองค์
โลกพระสุเมรุแต่เดิม นอกจากเขาพระสุเมรุแล้ว ล้วน ‘เป็นหมัน’
ในฐานะศูนย์กลางของอาณาจักรทั้งปวง เขาพระสุเมรุมีพลังในตัวเองมากเกินไปทำให้อาณาจักรอื่นๆ ในโลกไม่สามารถสร้างดินแดนขึ้นมาได้ เฉพาะบริเวณชายขอบเท่านั้นที่จะมีการถือกำเนิดของดวงดาวและผืนดิน
แต่นับตั้งแต่เขาพระสุเมรุผนึกภูเขา ทะเลดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนและพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์ได้เริ่มเติบโต ผู้บ่มเพาะและสรรพชีวิตทั้งมวลที่แต่เดิมมีชีวิตอยู่ได้เพียงบริเวณชายขอบ ก็มีโอกาสขยับเข้าใกล้เขาพระสุเมรุซึ่งเป็นศูนย์กลางมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม
หลายปีมานี้
ยังไม่มีสิ่งมีชีวิตใดสามารถไปถึงใจกลางที่แท้จริงของพระสุเมรุซึ่งเป็นที่ตั้งของภูเขาพระสุเมรุในตำนานได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาณาจักรทั้งปวงที่พระสุเมรุสร้างขึ้น
ดังนั้นถังเหิงจึงมั่นใจว่าพระสุเมรุได้ร่วงหล่นไปแล้วและเขาพระสุเมรุเองก็หายไปแล้วเช่นกัน รวมถึงอาณาจักรทั้งปวงในตำนานนั่นด้วย
แม้ว่ากองทัพพระสุเมรุจะปรากฏขึ้นอีกครั้งเมื่อหลายพันปีก่อน ถังเหิงก็ยังคงเชื่อในสิ่งที่เขาคิด
ดูเหมือนว่าตอนนี้…
เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสรองในชุดคลุมสีเงินเป็นผู้ติดตามของถังเหิง
ผู้อาวุโสใหญ่ผมเงินและสวมชุดคลุมสีดำอดไม่ได้ถอนหายใจออกยาว “ดูเหมือนว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา เจ้ารอง เจ้าจะรู้แผนและจุดประสงค์ของผู้นำตระกูลเหิงเป็นอย่างดี เช่นนั้นตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน”
ในเวลานี้ ผู้อาวุโสใหญ่รู้แล้วว่าการที่เขาไม่สามารถส่งคำร้องขอออกไปได้นั้น ไม่ใช่เพราะความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในอาณาจักรจิ่วเหลียน แต่เป็นเพราะ ‘หนอนบ่อนไส้’ ที่แฝงตัวอยู่ข้างกายเขา
ในกรณีนี้ตระกูลถังไม่เหลือโอกาสที่จะพูดคุยอีกต่อไป ทำได้เพียงกบฏตามเท่านั้น
ส่วนผู้อาวุโสรองในชุดคลุมสีเงิน จู่ๆ เขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “คารวะท่านผู้นำตระกูลเหิง”
ทุกคนในห้องโถงตกใจมากเมื่อได้ยินสิ่งนี้
ชายชราคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในห้องโถงอย่างเงียบๆ
ถังผิงมั่วผุดลุกขึ้นจากที่นั่ง ตะโกนเรียกว่า “ท่านพ่อ” เขารู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย แต่ก็รู้สึกซับซ้อนเล็กน้อยเช่นกัน
ยกเว้นผู้อาวุโสใหญ่ ผู้อาวุโสคนอื่นๆ เหมือนได้จุดประกายความหวังในหัวใจของพวกเขา การปรากฏตัวอีกครั้งของถังเหิงทำให้พวกเขารู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งมาก แข็งแรงมากๆ
ขณะนี้เอง…
หรงอี้ซึ่งอุ้มภรรยาและลูกชายของเขาก็เข้ามาในอาณาจักรจิ่วเหลียน
วินาทีเดียวกันนั้น
บนยอดเขาพระสุเมรุ แสงสีม่วงกระจายออกไปทุกทิศทางอย่างเงียบเชียบ