“?” ทุกคนชะงัก
เยี่ยนอวี๋เข้าไปอุ้มสิ่งมีชีวิตตัวน้อยขึ้นมาอีกครั้งแล้วเดินออกมา “ไปกันเถิด”
ทุกคน “…”
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน
“ไปหอโอสถหรือ” ประมุขแห่งหอสัตว์บรรพกาลเอ่ยถามอย่างมึนงง
“เจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี๋พยักหน้า นางอยากพาลูกชายออกไปเดินเล่น ในเมื่อลูกชอบสำนักชางอู๋เช่นนี้ก็คงอยากออกไปสำรวจดูให้ทั่วสำนัก เยี่ยนอวี๋เดินนำหน้าไปสองสามก้าว แต่เมื่อนางพบว่าไม่มีผู้ใดเดินตามมาและเพิ่งรู้ตัวว่าตนนั้นไม่รู้ทางนางก็หยุดฝีเท้าลงแล้วถามว่า “เหตุใดจึงไม่ไปกันเล่า”
“…” ทุกคนอ้ำอึ้ง
“ไป ไปสิ!” ประมุขแห่งหอสัตว์บรรพกาลหัวเราะ พลันรู้สึกว่าเหตุใดเขาจึงไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าลูกสาวของท่านเจ้าสำนักผู้นี้ช่างเป็นคนน่าสนใจนัก
ผู้อาวุโสรองตามไปโดยไม่พูดอะไร เช่นนั้นผู้อาวุโสเก้าและเยี่ยนอู้จะพูดสิ่งใดได้เล่า พวกเขาทำได้เพียงอดกลั้นอารมณ์แล้วเดินตามไป
แต่ผู้อาวุโสเก้าก็ยังไม่ยอมลดละเขาส่งพลังจิตถามผู้อาวุโสรองว่า “พี่รอง มีหลักฐานมัดตัวแน่นหนาอยู่แล้ว เหตุใดท่านจึงกลับคำเล่า” เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ!
อันที่จริงผู้อาวุโสรองไม่อยากตอบ แต่เขาคิดได้ว่าผู้อาวุโสเก้าให้ความสำคัญกับเยี่ยนอู้มากกว่าผู้ใด เขาจึงกล่าวเชิงตักเตือนว่า “เจ้าเคยสังเกตรถม้าของนังหนูอวี๋หรือไม่”
“รถม้าหรือ” ผู้อาวุโสเก้างุนงง เขาย่อมไม่ทันสังเกตรถม้าที่ว่านั่น แต่เขาไม่ใช่คนโง่ย่อมรู้ว่ารถม้าคันนั้นมีที่มาไม่ธรรมดาแน่นอน
ผู้อาวุโสรองใบ้เพียงเท่านี้และไม่พูดสิ่งใดอีก
ผู้อาวุโสเก้าก็ไม่ถามไถ่อะไรต่อ เพียงแค่นำ ‘โอกาสทอง’ ที่ถามมาได้ส่งพลังจิตบอกเยี่ยนอู้ต่อ เยี่ยนอู้รู้สึกหนักใจขึ้นมาทันที เขาพยายามคิดถึงรถม้าคันนั้นอย่างใจจดใจจ่อ
แต่คิดไปคิดมา เยี่ยนอู้ก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดแปลกอยู่ดี รถม้าคันนั้นนอกจากงามวิจิตรตระการตามากแล้วยังมีสิ่งอื่นใดอีกอย่างนั้นหรือ ถึงทำให้ผู้อาวุโสรองต้องพะวง! และหากรถม้าคันนั้นมีที่มาจากสถานใหญ่โตแล้วคนของเขาต้องวางมือเพราะเรื่องนี้อย่างนั้นหรือ…
ไม่! ไม่แน่นอน!
เยี่ยนอู้รู้ดีว่าหากยิงธนูออกไปแล้วศรธนูจะไม่หวนคืน
…
เยี่ยนอู้และคนอื่นๆ ต่างเก็บงำความสงสัยไว้ในใจ ทุกคนเงียบกันตลอดทางจวบจนมาถึงบริเวณหอโอสถ เยี่ยนอู้จึงเก็บสีหน้าท่าทีไว้ เขากวาดตามองเยี่ยนอวี๋อย่างเงียบๆ
เยี่ยนอวี๋กลับไม่สนใจสิ่งรอบกาย นางเอาแต่มองเด็กน้อยในอ้อมอก นางจับได้ว่าเจ้าตัวน้อยแอบลืมตามาสามครั้งแล้วและทุกครั้งที่สบตานางก็จะทำหน้ามุ่ยแล้วแกล้งหลับไป
จนเมื่อตัวน้อยทำเช่นนี้อีกเป็นครั้งที่สี่ เยี่ยนอวี๋ก็โพล่งหัวเราะออกมา “เจ้าเด็กคนนี้ขี้งอนจริงๆ แม่แค่หัวเราะเจ้าหน่อยเดียว เจ้าก็หงุดหงิดแม่เสียแล้ว”
“คุณหนูใหญ่…” ชุ่ยชุ่ยอยากจะพูดแต่ก็พูดไม่ออก คุณชายน้อยยังเล็กคงยังไม่รู้จักคิดเล็กคิดน้อย ทว่านางเพิ่งจะเริ่มเกริ่นขึ้น
“อุแว้!” เจ้าตัวน้อยก็ลืมตาส่งเสียงร้องขึ้นมาทันที เพื่อบอกว่า ‘ไม่ใช่นะ!’ ใบหน้าน้อยหงิกงอ ดูแล้วเหมือนซาลาเปาสีชมพูที่เพิ่งนึ่งออกจากเตาอย่างไรอย่างนั้น
“…” ชุ่ยชุ่ยหน้าเหวอ
เม่ยเอ๋อร์เผยรอยยิ้มอย่างหาดูได้ยาก “คุณชายน้อยฉลาดปราดเปรื่องเสียจริงเจ้าค่ะ”
เยี่ยนอวี๋พยักหน้าอมยิ้ม แล้วหอมแก้มซาลาเปานุ่มนิ่มตรงหน้าอย่างอดใจไม่ไหว โดยไม่ทันสังเกตเห็นท่านประมุขแห่งหอโอสถที่กำลังเดินเข้ามาต้อนรับด้วยสีหน้าเข้มขรึมเลย
ประมุขแห่งหอโอสถเองก็ไม่สนใจนางนัก เขาหันไปต้อนรับผู้อาวุโสและคนอื่นๆ แล้วถามขึ้นว่า “ทุกท่านจู่ๆ เดินทางมายังที่นี่ต้องการจะปรุงยาพยัคฆ์ที่หอโอสถอย่างนั้นหรือ”
“ใช่แล้ว ที่นี่มีอุปกรณ์เพียบพร้อมไม่ต้องเสียแรงตระเตรียมมากมาย” ผู้อาวุโสรองชี้แจง แต่ไม่ได้อธิบายว่าเหตุใดจึงไม่ได้ส่งคนมาแจ้งหอโอสถก่อน
ท่านประมุขหอกลับแสดงท่าทีลังเล ผู้อาวุโสรองถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า “หรือว่าจะเป็นการลำบากหอโอสถ”
“มิลำบากๆ” ประมุขแห่งหอโอสถไม่ลังเลอีก เขาอธิบายว่า “พูดถึงก็แปลกประหลาดนัก ข้าเองก็กลับมาหอโอสถเพื่อรับสมุนไพรที่ต้องใช้ปรุงยาพยัคฆ์ แต่เมื่อครู่นี้เพิ่งพบว่าหญ้าสมุนไพรเทียนหลิงที่จำเป็นต้องใช้สำหรับปรุงยาทุกชนิดเหี่ยวเฉาไปหมดสิ้นแล้ว”