บทส่งท้าย 10 ต้อนรับหลานชายคนโตกลับสู่พระสุเมรุ
ถังเหิงซึ่งไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้ เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าถังผิงมั่วผู้เป็นบุตรชายภายใต้การต้อนรับจากอาวุโสรองในชุดสีเงินและสายตาคาดหวังของผู้อาวุโสอีกแปดคนที่เหลือ
หัวใจของถังผิงมั่วสั่นไหว เขาคุกเข่าลงตรงหน้าบิดาชราของเขา “ลูกบังอาจขอท่านพ่อกลับมารับตำแหน่งผู้นำตระกูลถังอีกครั้งและนำพาตระกูลถังของเราไปสู่จุดสูงสุด!”
ผู้อาวุโสใหญ่ผมเงินในชุดคลุมสีดำ เมื่อเห็นฉากดังกล่าวเขาก็รู้แล้วว่าสถานการณ์คงเป็นเช่นนี้แล้ว ตัวเขามีกำลังน้อย ไม่อาจย้อนกลับไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกจึงได้แต่ประสานมือคารวะแล้วกล่าวว่า “ยินดีต้อนรับผู้นำตระกูลเหิงกลับมาอย่างปลอดภัย”
ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ย่อมทยอยประสานมือและโค้งคำนับตาม “ยินดีต้อนรับผู้นำตระกูลเหิงกลับมาอย่างปลอดภัย!”
หลังจากนั้นไม่นาน ทุกคนในตระกูลถังก็รับรู้ข่าวการกลับมาของถังเหิง ทุกคนดีใจมากและรู้สึกมั่นใจมากขึ้น เหมือนกับได้กลืนเม็ดยาสงบใจ แต่ละคนโห่ร้องยินดี “ยินดีต้อนรับผู้นำตระกูลเหิงกลับมาอย่างปลอดภัย!”
“ยินดีต้อนรับผู้นำตระกูลเหิงกลับมา!…”
คลื่นแห่งความสุขและเสียงแสดงความยินดีดังขึ้นระลอกแล้วระลอกเล่า กดการสั่นสะเทือนและความโกลาหลในเมืองจิ่วเหลียนก่อนหน้านี้ลงไปโดยสิ้นเชิง
สมาชิกตระกูลถังทั้งหมดยิ่งมั่นใจมากว่า การกลับมาของผู้นำตระกูลเฒ่า จะทำให้ความวุ่นวายในปัจจุบันสงบลงอย่างแน่นอน! พวกเขาไม่จำเป็นต้องกังวลอีกแล้ว
หารู้ไม่ว่า ผู้นำตระกูลเฒ่าของพวกเขานั้นกำลังจะนำพาพวกเขาไปสู่จุดที่ไม่อาจหวนกลับ
อย่างไรก็ตาม ความวุ่นวายในเมืองจิ่วเหลียนก็ค่อยๆ สงบลงจริงๆ หลังจากข่าวการกลับมาของถังเหิงแพร่กระจายไปออกไปได้ไม่นาน
สิ่งนี้ทำให้สมาชิกตระกูลถังทั้งหมดยึดมั่นในสิ่งที่พวกเขาคิดมากขึ้น เมืองจิ่วเหลียนทั้งเมืองเองก็เต็มไปด้วยความมั่นใจ ไม่รู้สึกตื่นตระหนกไม่ปลอดภัยอีกต่อไป พวกเขารู้เพียงว่าเหตุการณ์ความไม่สงบทั้งหมดได้คลี่คลายลงพร้อมๆ กับการกลับมาของผู้นำตระกูลเฒ่า
ใช่แล้ว เยี่ยนอวี๋และคณะของนางที่เข้ามาในเมืองถัง ไม่ว่าจะไปที่ใดก็ล้วนแต่ได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับถังเหิง
“ดีจริงๆ! ผู้นำตระกูลเฒ่าไม่เพียงแต่กลับมาอย่างปลอดภัยเท่านั้น แต่ยังทำให้ความโกลาหลที่เกิดขึ้นสงบลงอย่างรวดเร็ว คิดว่าพลังของเขาคงเพิ่มขึ้นอีกแล้ว”
“ผู้นำตระกูลเฒ่ามีพลังสูงส่งยากจะหาใครทัดเทียมอย่างที่คิด สมกับที่เป็นราชาแห่งพระสุเมรุตะวันออกของเรา!”
“ชู่ว! นี่ก็พูดยากอยู่นะ เพราะทางฝั่งเขาพระสุเมรุนั้นยังไม่เคยมีคำสั่งแต่งตั้งอย่างชัดเจนลงมา”
……
จากประเด็นร้อนที่ทุกคนกำลังพูดถึง โดยพื้นฐานแล้วสามารถสรุปได้สามใจความสำคัญ แม้ว่าคำที่แต่ละคนใช้จะต่างกัน แต่ความหมายก็ใกล้เคียงกัน
เมื่อเยี่ยนอวี๋ได้ยินบทสนทนาพวกนี้ลอยเข้ามาในหู นางก็ขมวดคิ้ว ท้ายที่สุดตอนนี้นางรู้แล้วว่าเขาพระสุเมรุคือบ้านของสามีนาง อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจในโลกพระสุเมรุอีกด้วย
แต่จากบทสนทนาเหล่านี้ สามารถฟังออกได้ไม่ยากว่าเหล่าผู้ฝึกยุทธ์และสรรพชีวิตทั้งมวล ณ ที่นี้ ล้วนนับถือผู้นำตระกูลเฒ่า กระทั่งยังมีผู้ฝึกยุทธ์บางส่วนแอบซุบซิบเสียงเบาว่า น่ากลัวว่าพระสุเมรุจะกลับคืนสู่ธรรมชาติไปนานแล้ว เขาพระสุเมรุตอนนี้เหลือเพียงรัชทายาทมั่วปกครองอยู่เท่านั้น
เยี่ยนอวี๋ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับครอบครัวของสามีนางมากนัก เมื่อได้ยินแบบนี้จึงย่อมกังวลใจเป็นธรรมดา ขณะที่นางมองไปที่สามีแล้วรู้สึกลังเลใจที่จะพูด กลับพบว่ามุมปากของสามียกขึ้นเล็กน้อย คล้ายยิ้ม แต่เวลาเดียวกันก็เหมือนเสียดสีและหัวเราะเยาะ?!
เอ๋?
เยี่ยนอวี๋กะพริบดวงตาปริบๆ มองสามีอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่ารอยยิ้มที่นางเห็นนั้นมีอยู่จริงๆ ดวงตาที่งดงามเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย นางอยากจะถามอะไรบางอย่าง แต่เพราะมีคนเดินผ่านไปมามากเกินไปจึงได้แต่อดทนไว้ก่อนชั่วคราว
เมื่อเห็นปฏิกิริยาน่ารักๆ ของผู้เป็นภรรยา หรงอี้ก็เปลี่ยนรอยยิ้มที่ประชดประชันนั้นเป็นรอยยิ้มที่มีเสน่ห์และเป็นธรรมชาติ เขาอดไม่ได้คว้ามืออันอ่อนนุ่มขึ้นไปสัมผัสกับริมฝีปาก จุมพิตมันครั้งแล้วครั้งเล่า “ไม่ต้องกังวล ไม่มีอะไรหรอก”
“จะไม่มี ‘ถ้าหาก’ หรือ” เยี่ยนอวี๋อดไม่ไหวจี้ถาม
“ไม่มี” หรงอี้ตอบอย่างหนักแน่น
เขารู้จักบิดาและปู่หวงเป็นอย่างดี รวมถึงมารดาและย่าซีของเขาว่าแข็งแกร่งแค่ไหน ย่อมไม่กังวลสักนิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับที่บ้าน
แต่เมื่อเห็นว่าภรรยาของเขายังไม่ได้กลับบ้านไปพร้อมกับเขา ก็กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของครอบครัวเขาแทนเขาแล้วอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอบอุ่น ถ้าไม่ใช่เพราะสถานที่นี้ไม่เป็นใจ เขาอยากจะกลืนกินภรรยาและรักปรนเปรอนางให้เต็มที่
เยี่ยนอวี๋กลับไม่รู้ว่าสามีนางคิดเรื่องเหลวไหลพรรค์นี้อีกแล้ว ในใจของนางยังกังวลอยู่นิดหน่อย แต่นางก็ยินดีเชื่อในการตัดสินใจของสามีนางและรู้สึกสงบใจมากขึ้น
ส่วนเยี่ยนเสี่ยวเป่าที่เดิมทีนอนซบไหล่บิดาอย่างเงียบๆ เวลานี้ก็ถูกดึงดูดด้วยกลิ่นหอมที่ลอยมา ทำเอาเจ้าตัวเล็กอดไม่ไหวชี้ไปที่เหลาอาหารแล้วตะโกนด้วยน้ำเสียงเด็กๆ ว่า “พ่อ! เป่า หิว~”
การตะโกนที่น่ารักเช่นนี้ ฉับพลันก็ดึงดูดสายตาหลายคนให้หันมามอง
ถังเสวี่ยซึ่งแต่เดิมนั่งอยู่ในรถม้าก็เลิกผ้าม่านขึ้นด้วยเหตุนี้ นางมองไปยังต้นเสียงที่ทั้งอ่อนเยาว์และมีชีวิตชีวานั้น
เสียงนี้ทำให้นางนึกถึงเฟิ่งหวงตัวน้อยที่นางเคยเลี้ยงไว้ในอดีต เฟิ่งหวงตัวน้อยนั้นตอนที่มันยังเด็กก็ร้องอย่างสดใสและมีชีวิตชีวาแบบนี้ ต่อมาเพราะมันเริ่มไม่เชื่อฟังมากขึ้นเรื่อยๆ จึงถูกนางฆ่าทิ้ง
อย่างไรก็ตาม…
ถังเสวี่ยมองไปที่ใบหน้าเล็กๆ ที่ยิ้มแย้มอย่างมีความสุข ความรำคาญใจที่เกิดจากพี่ชายพลันก็จางหายไปมาก
เหล่าผู้ติดตามตระกูลถังที่ตามปรนนิบัติอยู่ไม่ห่าง เมื่อเห็นสิ่งนี้ก็รีบเดินไปหาครอบครัวธรรมดาที่อยู่ไม่ไกลออกไปทันที
ในเวลานี้ หรงอี้กำลังอุ้มเจ้าตัวเล็กที่กำลังงอแงเพราะความหิว จูงมือภรรยาคนงามและเดินเข้าไปในเหลาอาหารนั้น
จิ่วอิงที่วิ่งเข้าไปในเหลาอาหารก่อนตะโกนขึ้นว่า “จัดห้องส่วนตัวมาให้ข้าห้องหนึ่ง!”
“นายท่านช่างมาได้ไม่ถูกจังหวะจริงๆ ห้องส่วนตัวถูกจองไปหมดแล้วขอรับ ทางนี้มีโต๊ะที่ติดกับทิวทัศน์แม่น้ำเหลืออยู่ ไม่ทราบว่าท่านชอบหรือไม่” เสี่ยวเอ้อร์ของเหลาอาหารรีบขึ้นมาทักทายและขอโทษ พร้อมกับแนะนำด้วยรอยยิ้ม
แน่นอนว่าจิ่วอิงผู้ดุร้ายย่อมไม่สบอารมณ์ กระทั่งคิดใช้โอกาสนี้กินเสี่ยวเอ้อร์ตรงหน้านี้ด้วยซ้ำ! ใครใช้ให้เขาไม่มีห้องส่วนตัวให้กับมัน!
แต่เนื่องจากความดุร้ายของมันถูกท่านย่าของหรงอี้กดเอาไว้อยู่ ดังนั้นแม้มันจะมีเจตนาชั่วร้าย แต่มันก็ไม่กล้าจึงทำได้เพียงหันกลับไปถามว่า “ภรรยาอี้เอ๋อร์ เจ้า…”
ไม่ทันรอให้มันถามจบ จิ่วอิงก็เห็นว่ามีผู้ฝึกยุทธ์กลุ่มหนึ่งใช้ดาบปิดเส้นทางของอี้เอ๋อร์และครอบครัวเขาอยู่?!
มีคนกำลังสร้างปัญหา!
นี่มันดีมากจริงๆ!
ดวงตาของจิ่วอิงเป็นประกายระยิบระยับ!
ในเวลาเดียวกัน
กลุ่มผู้ติดตามของตระกูลถังที่รั้งตัวเยี่ยนอวี๋และครอบครัวไว้พลันก็ตกตะลึง!
เดิมทีเป้าหมายของพวกเขาคือเจ้าตัวเล็กบางคน พวกเขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคู่สามีภรรยาอายุน้อยที่ถูกรั้งตัวไว้ ฝ่ายภรรยาจะงดงามมากขนาดนี้! จะพูดว่าอย่างไรดี…
ผิวพรรณงดงามดุจหยก เส้นผมสลวยรูปโฉมงดงามดังบุปผา บรรยากาศรอบกายยิ่งกว่าแสงจันทร์บนท้องนภาที่ส่องแสงเรืองรอง ให้บรรยากาศที่ศักดิ์สิทธิ์ครอบงำ กล่าวได้ว่าไม่เพียงแต่องคาพยพทั้งห้าไร้ที่ติ สตรีนางนี้ยังมีบรรยากาศรอบตัวและเสน่ห์ที่ยากจะเอื้อนเอ่ย นางงดงามมากกว่ากูไหน่ไนของพวกเขาถึงสามส่วน!
ความงามอันน่าทึ่งนี้ ทำให้กลุ่มผู้ติดตามของตระกูลถังตะลึงมากจนลืมไปว่าพวกเขามาทำอะไร กระทั่งเผลอขยับร่างเปิดทางให้กับสตรีตรงหน้าโดยไม่รู้ตัว ไม่กล้าขัดขวางทางนางโดยสัญชาตญาณ
สิ่งนี้ทำให้จิ่วอิงที่เพิ่งจะตื่นเต้นจนเนื้อเต้นร้อนใจแล้ว มันสาปแช่งในใจเสียงดังว่า ‘มารดามันเถิด! ทำไมถึงไม่ขวางแล้วเล่า หากอิงตามเนื้อเรื่องทั่วไป พวกเขาก็ควรสร้างปัญหาต่อไม่ใช่หรือ’
อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้ติดตามของตระกูลถังบัดนี้วิญญาณยังไม่กลับเข้าร่าง เสียสมาธิไปโดยสิ้นเชิง
เดิมทีหรงอี้ก็ไม่สบอารมณ์มากอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออีกฝ่ายจ้องมองภรรยาเขาแล้วเหม่อลอยไปแบบนั้น เขาแทบอยากจะควักลูกตาของมันออกมา
แต่เยี่ยนอวี๋ก็รีบขึ้นมาจูงเขาเข้าไปในเหลาอาหาร “ปู่จิ่ว ที่นั่งติดทิวทัศน์ของแม่น้ำก็ดี”
“อ้อ” จิ่วอิงผิดหวังอย่างมาก ทว่าก็ได้แต่สั่งให้เสี่ยวเอ้อร์นำทางต่อไปด้วยท่าทีดุร้าย
แม้ว่าเสี่ยวเอ้อร์ของเหลาอาหารจะมีระดับฌานตบะอยู่บ้าง หากเปลี่ยนเป็นในเก้าชั้นฟ้าเขาก็นับว่าเป็นผู้แข็งแกร่งในระดับถอดจิตคนหนึ่ง อนิจจากลิ่นอายที่ปลดปล่อยออกมาจากร่างจิ่วอิงนั้นดุร้ายเกินไป ทำให้เขาหวาดกลัวจนแข้งขาอ่อนแรง ตอนนี้แม้แต่ก้าวก็ก้าวไม่ออกแล้ว
“มีอะไรหรือ” เถ้าแก่เหลาอาหารเห็นว่าหลายคนกำลังยืนขวางประตูอยู่ ด้านหลังยังมีแขกหลายคนที่เข้ามาไม่ได้ก็รีบเดินไปสอบถาม ขนาดเถ้าแก่คนนี้ก็เป็นตัวตนระดับเทพในเก้าชั้นฟ้าแล้ว
ไม่อาจไม่กล่าวว่า พื้นฐานของเมืองถังนี้ช่างน่าประทับใจจริงๆ ระดับของผู้ฝึกยุทธ์ตามท้องถนน โดยพื้นฐานแล้วไล่ตามระดับของสวรรค์ชั้นที่เก้าของเก้าชั้นฟ้าได้แล้ว!
ต้องรู้ก่อนว่า แม้ว่าสวรรค์เก้าชั้นฟ้าจะเป็นดินแดนของเหล่าทวยเทพ แต่ระดับฌานตบะของเทพส่วนใหญ่ก็ไม่ได้สูงมากนัก ยกเว้นบนสวรรค์ซึ่งตั้งอยู่ในชั้นที่เก้า ในบรรดาดินแดนที่เหลือ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเทพธรรมดาที่อยู่ต่ำกว่าระดับท่านเทพ
อย่างไรก็ตาม เมืองถังกลับเป็นเหมือนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าที่ประชากรเทพธรรมดามีน้อย โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งระดับท่านเทพขึ้นไป! อีกทั้งจำนวนยังเยอะมาก เกินกว่าระดับของสวรรค์เก้าชั้นฟ้าไปไกลโข
เยี่ยนอวี๋ประเมินมันอย่างลับๆ แม้ว่านางจะมีเหล่าขุนเขาและท้องทะเล แต่ด้วยพื้นฐานของเมืองถัง กลับสามารถต่อกรกับนางได้ สิ่งนี้ทำให้นางตกใจเล็กน้อย
บวกกับสถานที่นี้ยังเกี่ยวข้องกับชายชราที่พยายามกลืนกินนาง…
ก่อนที่เยี่ยนอวี๋จะทันได้คิดต่อไป เจ้าตัวเล็กบางคนก็ทุบไหล่บิดาอย่างทนไม่ไหวแล้ว “ท่านพ่อ!”
เมื่อเถ้าแก่ของเหลาอาหารไม่ได้รับคำตอบ เขาก็เลิกสนใจและเลือกขอโทษ พูดว่า “ข้าต้องขออภัยจริงๆ ที่เสี่ยวเอ้อร์ของเรารับรองได้ไม่ดี ข้าน้อยจะ…”
คำพูดนี้ของเถ้าแก่ยังพูดไม่ทันจบ ก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นจากโถงที่อยู่ข้างหลังเขา “ถังกูไหน่ไน!”
ทันทีที่เสียงนี้ดังขึ้น…
สายตาของหลายคนก็มองไปที่ประตูเหลาอาหารอย่างพร้อมเพรียง
ในเวลาเดียวกัน
“ถังกูไหน่ไน!”
“คารวะถังกูไหน่ไน!”
เสียงร้องอุทานและเสียงคารวะดังขึ้นบนท้องถนนด้านหน้าเหลาอาหาร
บางคนรู้สึกตื่นเต้นมาก บางคนประหลาดใจ ขณะที่บางคนก็หวาดกลัวและอยากจะหลีกเลี่ยง
อย่างไรก็ตาม บนท้องถนนตอนนี้ก็คึกคักมาก
ถังเสวี่ยพอใจมากกับปฏิกิริยาของผู้คนในเมืองถัง นี่แสดงให้เห็นว่าทุกคนล้วนรู้จักนาง…ถังเสวี่ย
กลุ่มผู้ติดตามของตระกูลถังกลับมาได้สติท่ามกลางเสียงอุทานและเสียงคารวะ พวกเขาคุกเข่าลงอย่างรวดเร็วด้วยรู้ว่าครั้งนี้ตัวเองปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ดี
ขณะนี้ถังเสวี่ยก้าวเข้าไปในเหลาอาหาร นี่ทำให้เกิดเสียงดังเอะอะขึ้น
“ถังกูไหน่ไนงดงามเจิดจรัส ช่างสมคำร่ำลือจริงๆ!”
“นี่ก็นานมากแล้ว ถังกูไหน่ไนยังคงสง่าและงดงามราวกับเซียนเหมือนเดิม”
“งดงามมาก!…”
ในฐานะประชาชนของเมืองถัง ไม่มีใครจำถังเสวี่ยไม่ได้ ย่อมรู้ดีว่ากูไหน่ไนแห่งตระกูลถังคนนี้ จะมีความสุขมากเมื่อได้ยินคนชมเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาของนาง ดังนั้นพวกเขาจึงยกย่องมันจากก้นบึ้งหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ถังเสวี่ยเองก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยหลังจากได้ฟังคำพวกนี้ โดยเฉพาะเมื่อนางค้นพบว่าเด็กน้อยที่ร้องตะโกนอย่างไร้เดียงสาเมื่อสักครู่ ไม่เพียงแต่งดงาม แต่ยังมีดวงตาดำขลับเหมือนกับเม็ดองุ่นสีดำแวววาว เป็นประกายระยิบระยับ น่ามองอย่างมาก สิ่งที่สำคัญคือเขาใจกล้าและไม่หดตัวถอยหนี
“ช่างเหมือนกับเฟิ่งหวงตัวน้อยมากจริงๆ” ถังเสวี่ยถอนหายใจเบาๆ หลังจากที่ตัวเองบีบเฟิ่งหวงน้อยจนตายและมองดูดวงตาที่ฉลาดและมีชีวิตชีวาคู่นั้นค่อยๆ หม่นแสงไป นางก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย
โชคดีที่วันนี้นางได้เห็นดวงตาที่สดใสและมีชีวิตชีวาเหมือนกันอีกครั้ง นี่มันดีมาก ต้องขอบคุณพี่ชายที่ทำให้นางรำคาญใจ
ถังเสวี่ยที่กำลังคิดแบบนี้ ยื่นมือออกไปหมายจะสัมผัสดวงตาของเจ้าตัวเล็กบางคน ผลลัพธ์คือ…
เพียะ!
เจ้าตัวเล็กตบมือของถังเสวี่ยอย่างไร้ความปรานี
ตึก!
เถ้าแก่ของเหลาอาหารคุกเข่าลงกับพื้นอย่างแรงแล้วพูดว่า “กูไหน่ไน ไว้ชีวิตด้วย!”
ลูกค้าในเหลาอาหารที่แต่เดิมกำลังชมถังเสวี่ยอย่างกระตือรือร้นพลันก็หน้าเปลี่ยนสี! บางคนถึงกับกระโดดหน้าต่างแล้ววิ่งหนีไป แต่อีกหลายคนไม่กล้าขยับ
ในเวลานี้เอง เยี่ยนอวี๋ก็หันหน้ากลับไป มองไปที่ถังกูไหน่ไนที่ต้องการแตะตัวลูกของนางแต่ก็ล้มเหลว พูดไปว่า “หลินเอ๋อร์ไม่ชอบให้คนแปลกหน้าเข้าใกล้ แม่นางโปรดอย่าถือสา”
“แล้วถ้าหาก ข้าบอกว่าข้าถือสาเล่า” ถังเสวี่ยถาม ดวงตาของนางยังคงจับจ้องไปที่ใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของเจ้าตัวเล็กบางคน
หรงอี้ซึ่งไม่ได้หันหน้ากลับมา เลือกจะไม่แสดงตัวต่อไป หลักๆ คือเขาไม่ต้องการดึงดูดความสนใจที่ไม่พึงประสงค์ ท้ายที่สุดแล้ว ภรรยาเขาเตือนเขาไว้แล้วว่าอย่าดึงดูดพวกผึ้งหรือผีเสื้อ
นอกจากนี้…
จู่ๆ จิ่วอิงก็มาปรากฏตัวขึ้นด้านหลังหรงอี้ ปกป้องทั้งสองคนไม่พอ ยังพูดอย่างกระตือรือร้นด้วยว่า “ทำไม เจ้าอยากสู้หรือ!” ถ้าอย่างนั้นก็รีบลงมือ อย่ามัวแต่ยึกยัก!
เยี่ยนอวี๋ไม่ต้องการสร้างปัญหา ก่อนที่จะพบกับชายชราที่ไม่รู้ว่าเขามาจากไหน นางจึงยื่นมือออกไปจับไหล่จิ่วอิงแล้วพูดกับถังเสวี่ยอีกครั้งว่า “เจ้าต้องการอะไร”
ถังเสวี่ยเดิมทีไม่สนใจเยี่ยนอวี๋ แต่เมื่อสังเกตเห็นว่าผู้ติดตามที่คุกเข่าอยู่ข้างๆ ดูเหมือนจะจ้องไปที่สตรีที่กำลังพูดตาเหม่อลอย นางก็รู้สึกไม่พอใจและหันไปมองโดยไม่รู้ตัว
ตอนนี้เอง…
ถังเสวี่ยหรี่ตาลง “ข้าจะทำลายใบหน้าของเจ้า”
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมา หลายคนก็มองไปที่เยี่ยนอวี๋ตามสัญชาตญาณ พวกเขาร้องอุทานออกมาว่า “งดงามมาก!”โนเวลพีดีเอฟ
เนื่องจากเยี่ยนอวี๋สูญเสียระดับฌานตบะทั้งหมดของนางไป แม้ว่านางจะมีรูปโฉมและบรรยากาศรอบกายที่ไม่ธรรมดา แต่ในเมืองถังที่เต็มไปด้วยผู้ฝึกยุทธ์แข็งแกร่งจึงไม่ได้ดึงดูดความสนใจมากนัก
มีอันธพาลบางคนตะโกนไปอย่างไม่รู้ตัวว่า “สวรรค์! ทำไมถึงได้มีสตรีที่งดงามกว่าถังกูไหน่ไนอยู่อีก!”
“จุ๊ๆ…” ผู้คนในเมืองถังพากันประหลาดใจ ขณะเดียวกันก็ส่ายหัวด้วยความเสียใจ
ใครบ้างไม่รู้ว่าปีนั้นในเมืองมีสตรีอยู่นางหนึ่ง เพียงเพราะถูกหยิบยกขึ้นมาเปรียบเทียบเรื่องความงามกับถังกูไหน่ไน นางก็ถูกถังกูไหน่ไนทำลายโฉมกลางที่สาธารณะ!
สตรีนางนั้นเองก็งดงามมากจริงๆ นางงดงามกว่าถังเสวี่ยหนึ่งส่วน ดูมีเสน่ห์และเป็นธรรมชาติดึงดูดสายตาผู้คนมากกว่า แต่เมื่อนำมาเทียบกับสตรีที่อยู่ตรงหน้าพวกเขายามนี้ มันก็เหมือนกับแสงดาวที่ริอาจแข่งกับแสงจันทร์สุกสกาว ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึง
แล้วก็เป็นเพราะแบบนี้เอง ผู้คนในเมืองถังถึงรู้ว่าความงามที่เพิ่งเปิดเผยออกมานี้ เกรงว่าจะรักษาไว้ไม่ได้อีกแล้ว
ถังเสวี่ยพูดขึ้นอย่างรังเกียจจากก้นบึ้งหัวใจว่า “ข้าจะให้เวลาเจ้า รีบทำลายโฉมตัวเองเสีย”
“อย่างที่…” มีบางคนกำลังจะพูดว่า ‘อย่างที่คิดไว้’ หรืออะไรทำนองนี้ แต่ไม่คิดเลยว่า…
เพี๊ยะ!
จิ่วอิงพับแขนเสื้อตัวเองขึ้น ตบหน้าถังเสวี่ยไปหนึ่งฉาด ทำเอาถังเสวี่ยผู้หยิ่งผยองที่มองผู้คนผ่านรูจมูกของนาง กระเด็นไปกระแทกคานประตูด้านข้างโดยตรง!
“!”
ทุกคนในเมืองถังที่ได้เห็นฉากนี้ ยกมือขึ้นปิดหน้าโดยไม่รู้ตัวและแสดงอาการตกตะลึงออกมา
บัดซบ!
มารดามันเถิด!
ย่ามันเถิด!
นี่พวกเขากำลังเห็นอะไร!
มีคนกล้าทุบตีถังกูไหน่ไนกลางที่สาธารณะจริงๆ?!
บัดซบ!
ไม่จริงกระมัง!
ต้องตาลายไปแล้วแน่ๆ!
นี่คือสิ่งที่ในเวลานี้ ตอนนี้…
ทุกคนที่เห็นจิ่วอิงทุบตีถังเสวี่ยคิดไปในทางเดียวกัน
จิ่วอิงเองก็ใจดีเช่นกัน เพื่อพิสูจน์ว่าทุกคนไม่ได้ตาลาย และการได้ยินของพวกเขาเองก็ดีมาก มันก็ปรี่ขึ้นไปใช้หลังมือตบหน้าอีกข้างของถังเสวี่ยหนึ่งฉาด!
นี่ยังไม่ใช่ทั้งหมด…
เพี๊ยะ!
เพี๊ยะ เพี๊ยะ เพี๊ยะ!
ถังเสวี่ยที่ถูกการตบฉาดแรกทำเอานิ่งอึ้งไป ถูกจิ่วอิงตบสลับซ้ายขวาซ้ำๆ กันหลายครั้ง
ทำเอาทุกคนที่อยู่บนถนนและในเหลาอาหารได้แต่เบิกตามองอย่างโง่งม
จิ่วอิงยังกล่าวถ้อยคำสั่งสอนนางไปด้วยว่า “สตรีโง่เขลา ไร้สมองก็อย่าได้ออกมาทำให้ตัวเองต้องอับอาย! เจ้ายังอยากทำลายใบหน้าของภรรยาอี้เอ๋อร์? วันนี้ปู่จิ่วจะฉีกใบหน้าเจ้าให้เละ!”
คำพูดนี้เพิ่งจะพูดจบ มือของจิ่วอิงพลันก็เปลี่ยนเป็นหัวหัวหนึ่งของมันแล้วพุ่งไปกัดใบหน้าของถังเสวี่ยโดยตรง ตอนนี้เอง…
“ไม่!”
ถังเสวี่ยที่ถูกกลิ่นอายรุนแรงและโหดเหี้ยมของจิ่วอิงกระตุ้น นางก็ปลดปล่อยพลังระดับเทพออกมาโดยไม่รู้ตัว สุดท้ายก็หลุดพ้นจากอาการตกตะลึงที่ถูกจิ่วอิงตบ ฟื้นคืนสติเสียที
อนิจจา…
ได้สติกลับมาก็สายเกินไปแล้ว!
ฉึบ!
มือของจิ่วอิงซึ่งเปลี่ยนเป็นหัวหัวหนึ่งของมันได้กัดเนื้อบนใบหน้าของถังเสวี่ยลงมาหนึ่งชิ้น!
ส่วนหรงอี้ เพราะคาดไว้แล้วว่าจะต้องเป็นแบบนี้ เขาได้ยกมือขึ้นปิดตาของเจ้าตัวเล็กแล้ว ขณะเดียวกันก็ดึงภรรยาเข้ามาปกป้องในอ้อมแขน เขาไม่อาจปล่อยให้กลิ่นอายที่ดุร้ายของปู่จิ่วเผลอทำร้ายภรรยาเขาได้
เยี่ยนอวี๋มองฉากที่เกิดขึ้นผ่านอ้อมแขนของสามี ใบหน้าที่งดงามข้างหนึ่งของถังเสวี่ยถูกกัดจนเหวอะ เผยให้เห็นกระดูกที่เปื้อนเลือด ดูน่าสังเวชอย่างมาก
ถังเสวี่ยด้วยเหตุนี้จึงกรีดร้องออกมาดังลั่น “ไม่!”
ผู้คนที่มุงอยู่โดยรอบเองก็ล้วนถูกทำให้ตกตะลึงจนโง่งม!
โง่งมไปแล้วจริงๆ!
โง่จนไม่มีใครขยับตัวหรือเคลื่อนไหวได้เลย!
ใครก็ไม่คาดคิด…
วันนี้ออกมาเดินเล่นบนท้องถนนตามปกติ แต่จะได้เจอกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดแบบนี้!
ด้วยความรู้ของพวกเขา พวกเขาไม่สามารถเผชิญหน้ากับฉากนี้ได้จึงได้แต่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นอย่างเหม่อลอย
แม้แต่กลุ่มผู้ติดตามของตระกูลถัง ก็ยังไม่อาจตอบสนองอย่างสมบูรณ์ได้
หลักๆ คือการโจมตีต่อเนื่องของจิ่วอิงนั้นรวดเร็วเกินไป โหดร้ายและทารุณมากเกินไป!
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ…
ไม่ว่าจะเป็นชาวเมืองถังหรือผู้ติดตามของตระกูลถัง ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องขึ้น ล้วนไม่มีใครคาดคิดว่าจิ่วอิงจะกล้าลงมือทุบตีถังเสวี่ย! พวกเขาคิดไม่ถึง คิดไม่ถึงมากๆ!
ดังนั้น หลังจากที่ถังเสวี่ยถูกทุบตี ปฏิกิริยาแรกของพวกเขาจึงเป็นตกตะลึง! ไม่มีใครก้าวออกมาหยุดจิ่วอิงได้ แม้ว่าพวกเขาต้องการจะหยุดมัน แต่พวกเขาก็ทำไม่ได้
จนกระทั่งตอนนี้…
เมื่อชิ้นเนื้อบนใบหน้าข้างหนึ่งของถังเสวี่ยถูกกลืนหายไป!
พวกเขาก็ยังคง ‘ตกตะลึง’ และยิ่งตะลึงมากขึ้นไปอีก!
มีเพียงคนเดียวที่กลับมาตอบสนองได้นั่นก็คือตัวถังเสวี่ยที่ครอบครองพลังระดับเทพ แต่นางก็ถูกพลังที่ดุร้ายนี้ทำลายตั้งแต่ใบหน้า ไปจนถึงแขนขา ลำตัว และแม้แต่ในทะเลจิต นางเกือบจะระเบิดตัวตาย ณ ที่นั้น
จิ่วอิงคือใคร
นั่นคือถ้าหากไม่ลงมือก็จะไม่ลงมือ!
แต่ถ้าลงมือแล้วมันก็คือสัตว์ร้ายบรรพกาลที่จะพรากชีวิตครึ่งหนึ่งไปจากศัตรูของมันอย่างแน่นอน!
แน่นอนว่า ตามความตั้งใจเดิมของจิ่วอิง มันควรจะกินคู่ต่อสู้ทันทีที่โจมตี!
อย่างไรก็ตาม นายท่านของมันโหดร้ายเกินไป มันจึงไม่กล้าปลดปล่อยสัญชาตญาณและได้แต่อดทน ฝืนระงับกลิ่นอายชั่วร้ายไม่ว่ามันจะทำอะไรก็ตาม
มิฉะนั้น……
ในตอนที่มันอยู่ที่เก้าชั้นฟ้า คงไม่ถูกซีหวังหมู่ ‘แย่งชื่อเสียง’ ไป
ใช่แล้ว แม้ว่าถังเสวี่ยจะกลับมาตอบสนองได้ แต่นางก็ไร้เรี่ยวแรงที่จะโต้กลับ ทำได้เพียงขับเคลื่อนฌานตบะที่ทรงพลังเพื่อสกัดกั้นพลังดุร้ายที่วิ่งพล่านอยู่ในตัว ขณะเดียวกัน นางก็กลืนยาเม็ดลงไปหนึ่งเม็ดอย่างรวดเร็ว
รอจนกระทั่งกระบวนการช่วยชีวิตตัวเองทั้งหมดเสร็จสิ้น นางถึงรับรู้ถึงความเจ็บที่ส่งมาจากแก้มขวา ความเจ็บปวดนี้ลึกไปจนถึงกระดูกและเข้าโจมตีจิตวิญญาณของนางโดยตรง!
“ไม่!”
ถังเสวี่ยที่กรีดร้อง หยิบกระจกออกมาส่องแก้มขวาด้วยความตื่นตระหนก และเมื่อนางเห็นใบหน้าที่เน่าเปื่อยและน่าสะพรึงกลัว คนทั้งคนก็คลั่งไป
เวลานี้เหล่าชาวมุงที่เห็นเหตุการณ์และเพิ่งตอบสนองกลับมาก็ต้องการจะวิ่งหนีไป น่าเสียดายที่ขาของพวกเขาอ่อนแรงมาก พวกเขาวิ่งไปไหนไม่ได้เลย หลายคนร้อนใจมากจนเกือบจะร้องไห้ออกมา
จบแล้ว!
มันจบสิ้นแล้วจริงๆ!
ถังกูไหน่ไนจะต้องฆ่าปลาซิวปลาสร้อยอย่างพวกเขาไปด้วยแน่ๆ!
เหล่าผู้คนที่ตื่นตระหนกแทบจะร้องไห้พร้อมกัน!
อย่างไรก็ตาม
“ปึก!”
จิ่วอิงในเวลานี้
เตะถังเสวี่ยจนปลิวออกไป “มารดามันเถิด อัปลักษณ์ขนาดนี้ อย่ามาทำให้เสี่ยวเป่าของเราหวาดกลัว!”
“อ้า?”
เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่ได้ยินชื่อของตัวเอง พยายามปัดมือของบิดาที่ปิดตาอยู่อีกครั้ง และครั้งนี้เขาก็ทำสำเร็จ แต่เจ้าตัวเล็กมองไม่เห็นถังเสวี่ยแล้ว
เจ้าตัวเล็กถามไปว่า “ที่ไหน”
“ปู่จิ่วเตะจนปลิวไปแล้ว!” จิ่วอิงรู้ว่าเจ้าตัวเล็กบางคนอยากจะถามอะไรจึงตอบเขาด้วยรอยยิ้ม อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจำแลงร่างเป็นมนุษย์ ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นอันโหดร้าย ไม่ว่าเขาจะยิ้มแค่ไหน มันก็ยังดูน่ากลัว!
แต่เยี่ยนเสี่ยวเป่ากลับรู้สึกว่ามันน่าสนใจมาก “อุ้ม~”
“อื้ม!” จิ่วอิงก้าวไปข้างหน้าเพื่อไปรับตัวเจ้าตัวเล็กน่ารัก
เยี่ยนเสี่ยวเป่าตัวน้อย ยกมือขึ้นเการอยแผลเป็นบนใบหน้าของจิ่วอิงอย่างมีความสุขแล้วพูดว่า “แมลง!”
จิ่วอิงปล่อยให้เขาจับมันเล่นต่อไปโดยไม่พูดอะไรและขยับใบกล้ามเนื้อบนใบหน้าทำให้รอยแผลเป็นเคลื่อนไปรอบๆ
“คิก!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าจับมันเล่นอย่างสนุกสนานมากจนลืมไปแล้วว่าเขามาที่นี่เพื่อกินข้าว
เมื่อหรงอี้เห็นว่าไม่มีใครในเหลาอาหารมารับรองพวกเขาอีกต่อไป เขาก็ได้แต่พูดว่า “ไปเหลาอื่นกันเถิด”
“ได้!” จิ่วอิงอุ้มเยี่ยนเสี่ยวเป่าเดินออกจากประตูเป็นคนแรก “เหลานี้ไม่ดีจริงๆ ผู้คนก็โง่งม แถมยังไม่รู้จักต้อนรับลูกค้าอีก!”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เยี่ยนอวี๋ก็ยิ้มและส่ายหัวเบาๆ “ก็ปู่จิ่วทำให้ทุกคนตกใจจนโง่งมไปหมดแล้ว ย่อมไม่มีใครมารับรองพวกเรา”
“สายตาแคบสั้น! สมกับที่เป็นสถานที่เล็กๆ ยังกล้าเปรียบเทียบตัวเองกับเขาพระสุเมรุ!” จิ่วอิงบ่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หลังจากที่กลุ่มของพวกเขาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ฉากนั้นยังคงฝังอยู่ในความทรงจำของทุกคนที่เหม่อลอย เนิ่นนานไม่มีใครตอบสนองกลับมาได้
หนึ่งเค่อต่อมา…
จากนั้นผู้ติดตามของตระกูลถังหลายคนก็ฟื้นตัวจากความตกใจ “กูไหน่ไน กูไหน่ไน!” จบสิ้นแล้ว!
ในเวลานั้น หลายคนล้มลุกคลุกคลาน รีบวิ่งกลับไปรายงานที่คฤหาสน์ตระกูลถัง แต่ละคนสามารถคาดเดาจุดจบของตัวเองได้เลย!
ส่วนถังเสวี่ยที่ถูกเตะขึ้นฟ้าแล้วปลิวไป ไม่มีใครรู้จริงๆ ว่านางไปอยู่ที่ไหน
อย่างไรก็ตาม……
กองทัพเขาพระสุเมรุที่สวมชุดเกราะสีดำทั้งหมดที่ประจำการอยู่บนท้องฟ้าเหนือเมืองจิ่วเหลียน สรุปก็คือล้วนไม่มีใครเห็น
ทว่าชายหนุ่มคนหนึ่งที่งดงาม ดูสดใสและมีเอกลักษณ์มากพูดขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า “นั่นคือกลิ่นอายของอี้เอ๋อร์! เขาปรากฏตัวขึ้นในเมืองจิ่วเหลียนแล้วจริงๆ!”