บทส่งท้าย 13 เป็นสตรีตระกูลถังจริงๆ
แม้แต่ถังเหิงซึ่งเป็นตัวตนสูงสุดของตระกูลถัง ก็ยังไม่รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงด้านนอกเมืองจิ่วเหลียน
แน่นอนว่าถ้าถังเหิงรู้เรื่องนี้ เขาที่บ้าไปแล้วจะต้องไม่รามือแค่นี้แน่นอน มีแต่จะก้าวร้าวมากยิ่งขึ้น แม้แต่ความระมัดระวังเล็กน้อยสุดท้ายก็ถูกโยนทิ้งไปนานแล้ว
ถูกต้อง ถังเหิงในเวลานี้ยังแอบถ่ายทอดจิตไปถึงถังผิงมั่วอย่างอดทนและใจเย็น “ใจเย็นไว้”
ถังผิงมั่วถูกข้อความที่บิดาเขาถ่ายทอดมาทำให้ตกใจ ถึงฝืนระงับความตื่นเต้นของตัวเอง รักษามาดและศักดิ์ศรีของผู้นำตระกูลถัง ตวาดไปว่า “มีอะไร ทำไมเจ้าถึงตื่นตระหนกเพียงนี้”
ผู้อาวุโสทั้งสิบคนที่รีบร้อนเองต่างก็พยายามสงบสติอารมณ์และจ้องมองไปที่บ่าวรับใช้ที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าถังผิงมั่ว แต่ละคนใบหน้าเรียบเฉย คล้ายกับว่าพวกเขาสงบมากจริงๆ
ผู้อาวุโสใหญ่ผมเงินในชุดคลุมสีดำ ถึงกับสั่งพ่อบ้านที่เตรียมเข้ามาลากกลุ่มผู้ติดตามให้ออกไปชั่วคราวไปยืนอยู่ด้านข้างก่อน
สถานการณ์ตรงหน้าที่รีบร้อนและเอะอะ จู่ๆ ก็สงบลง ทำให้สมาชิกทุกคนของตระกูลถังที่เข้ามามุงดูต่างเงียบงันโดยไม่รู้ตัวและให้ความสนใจกับกลุ่มผู้ติดตามของถังเสวี่ยที่โง่ไปแล้วกลุ่มนั้นมากขึ้น
แต่ผู้ติดตามหลายคนนั้นกลับยังงุนงงอยู่ สติยังไม่กลับเข้าร่างดี…
นี่จะโทษพวกเขาไม่ได้ การปรากฏตัวของเยี่ยนอวี๋และครอบครัวของนางที่นี่ได้ทำลายทัศนคติทั้งสามของพวกเขาจนสิ้น
นึกภาพออกหรือไม่ว่าหลังจากที่ตัวเองถูกทุบตีอย่างหนักตอนออกไปข้างนอก เมื่อกลับจวนแล้ววางแผนจะร้องไห้ฟ้องพ่อแม่ กลับพบว่าอันธพาลที่ทุบตีตนนั้นกำลังยืนอยู่ข้างกายบิดามารดา แถมยังมองมาที่ตัวเองด้วยรอยยิ้ม…
กลุ่มผู้ติดตามของถังเสวี่ยตอนนี้กำลังรู้สึกแบบนั้น
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรแล้ว…
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้มีส่วนร่วมในงานใหญ่ในการออกค้นหาเยี่ยนอวี๋ แต่ทำไมถึงไม่สามารถหาใครมาเรียกร้องความยุติธรรมแทนตัวเองที่ตามหาถังเสวี่ยไม่พบเกือบทั้งวัน เรื่องนี้พวกเขาพอรู้อยู่
แต่พวกเขาไม่อาจไม่พูด สีหน้าของถังผิงมั่วมืดครึ้มลงอย่างอย่างเห็นได้ชัด “เกิดอะไรขึ้น”
คำถามสี่คำไม่ได้รุนแรงหรือฉายแววตำหนิ แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้กลุ่มผู้ติดตามของถังเสวี่ยหวาดกลัวจนตัวสั่นงก หนึ่งในนั้นกัดฟันและรายงานไปอย่างไม่มีทางเลือกว่า “กูไหน่ไนหายตัวไปแล้วขอรับ”
“อะไรนะ” ถังผิงมั่วประหลาดใจมาก
ผู้อาวุโสทั้งสิบคนรวมถึงคนอื่นๆ ที่ได้ยินการรายงานนี้เองต่างก็อุทานอย่างประหลาดใจเช่นกัน
ไม่ต้องพูดถึงสถานะของถังเสวี่ย แค่อันดับของนางในเมืองจิ่วเหลียนที่เป็นรองเพียงผู้นำตระกูลเฒ่า แค่นี้ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกประหลาดใจกับการรายงานของกลุ่มผู้ติดตามของถังเสวี่ยแล้ว
แต่กลุ่มผู้ติดตามนั้นกลับกัดฟันรายงานต่อไปว่า “ก่อนที่กูไหน่ไนจะหายตัวไป นางถูกบ่าวรับใช้ของคุณหนูที่ท่านผู้นำตระกูลเพิ่งจะรับกลับมาทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสและถูกเตะจนปลิวออกไป ดังนั้นนางจึงหายตัวไปขอรับ”
คำพูดเหล่านี้ไม่ยาวนัก แต่ก็ทำให้กลุ่มผู้ติดตามหมดแรง ผลก็คือทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็ฟุบตัวลงหมอบต่อหน้าถังผิงมั่วตามสัญชาตญาณ ไม่กล้าขยับเขยื้อนและก็ไร้เรี่ยวแรงที่จะขยับเขยื้อนเช่นกัน
“…”
บรรยากาศโดยรอบฉับพลันเงียบกริบ
เรื่องนี้ค่อนข้างละเอียดอ่อน…
ทุกคนรู้ดีว่าผู้นำตระกูลและเหล่าผู้อาวุโสที่ดูแลตระกูลออกไปตามหาคน แถมยังออกมาต้อนรับนางด้วยตัวเอง หมายความว่าคุณหนูสายตรงที่เพิ่งหาตัวเจอนี้ผิดปกติอย่างมาก
กลุ่มผู้ติดตามของถังเสวี่ยกลับฟ้องคุณหนูสายตรงผู้นี้ในตอนนี้ ทำให้คนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรแล้วจริงๆ
อย่างไรก็ตาม…
ไม่รู้ว่าระหว่างกูไหน่ไนที่มีชื่อเสียงมายาวนานกับคุณหนูสายตรงท่านนี้ใครสำคัญกว่ากัน เหล่าสมาชิกตระกูลถังทั้งหมดล้วนขบคิดเกี่ยวกับปัญหานี้อย่างเงียบๆ
แต่ถังผิงมั่วก็สมกับที่เป็นผู้นำตระกูล เขาตอบสนองได้รวดเร็วที่สุด “เรื่องนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพี่ชายอย่างข้าที่จะตัดสินใจ ใครก็ได้”
“ท่านผู้นำตระกูล” พ่อบ้านถังก้าวขึ้นไปข้างหน้าทันที
“รีบส่งคนออกไปค้นหาเสวี่ยเอ๋อร์ อีกประเดี๋ยวข้าผู้นำตระกูลจะขอให้บิดาออกหน้าจัดการเรื่องในจวนชั่วคราว” ถังผิงมั่วจัดการเรื่องต่างๆ ด้วยแผนถ่วงเวลา ในใจก็คิดว่ารอเด็กสาวคนนี้หลอมรวมเข้ากับเมืองจิ่วเหลียนก่อน ทุกอย่างล้วนไม่นับเป็นปัญหาอะไรทั้งสิ้น…
อย่างไรก็ตาม ถังผิงมั่วจัดการได้ดีมาก ทว่าน่าเสียดาย…
“เหอะๆ” เสียงหัวเราะน่าขนลุกที่แฝงไว้ด้วยความประชดประชัน ดังขึ้นจากด้านหลังถังผิงมั่ว ทำให้ถังผิงมั่วรู้สึกหนาวสันหลังโดยไม่รู้ตัว
“กู…ไหน่ไน” คนแรกที่เห็นถังเสวี่ย คือองครักษ์ตระกูลถังไม่กี่คนที่ยืนอยู่ใกล้นางมากที่สุด พวกเขาต่างตกใจกับเสียงหัวเราะอันน่าสยดสยองของนาง มือและเท้าของพวกเขาอ่อนแรงมากจนต้องคุกเข่าลง
คนตระกูลถังมองไปยังต้นเสียงตามสัญชาตญาณ และถูกถังเสวี่ยที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ตกใจมาก แต่ละคนวิตกกังวลมากจนเหงื่อเย็นโชกไปทั้งกาย
ไม่มีเหตุผลอื่น เพียงเพราะสภาพถังเสวี่ยในปัจจุบันเป็นเหมือนผีร้ายที่เพิ่งคลานขึ้นมาจากขุมนรก บรรยากาศรอบตัวนางทั้งมืดมนและชั่วร้าย น่าสะพรึงกลัวและดูโหดร้ายมาก
ถังเสวี่ยที่เป็นแบบนี้ ทำให้ผู้อาวุโสใหญ่อดไม่ได้ขมวดคิ้ว จากนั้นโนเวลพีดีเอฟ
ผู้อาวุโสใหญ่ก้าวไปหาถังเสวี่ยอย่างเด็ดขาด มือข้างหนึ่งยื่นออกไปจับมือถังเสวี่ยโดยไม่พูดอะไรสักคำ กล่าวกับนางอย่างเป็นห่วงว่า “เสวี่ยเอ๋อร์ รีบมาให้ปู่ใหญ่ดูเจ้าเร็วเข้า”
ผู้อาวุโสรองในชุดสีเงินซึ่งเพิ่งได้สติกลับมาเองก็เรียกผู้อาวุโสเก้าในชุดคลุมสีแดงเสียงดังลั่น “ผู้อาวุโสเก้ามัวยืนเหม่อทำอะไรอยู่ รีบไปดูเสวี่ยเอ๋อร์เร็ว เสวี่ยเอ๋อร์คือความภาคภูมิใจของตระกูลถังของเรา เป็นความหวังเดียวที่จะเข้าร่วมกองทัพกองทัพพระสุเมรุ จะให้เกิดเรื่องขึ้นกับนางไม่ได้”
ผู้อาวุโสเก้าผู้เก่งกาจด้านการแพทย์และยาก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว ท้ายที่สุดพวกเขาล้วนเป็นขิงแก่ “ดูข้าสิ เลอะเลือนแล้ว เป็นเพราะมีชีวิตที่ดีมานานเกินไปพอเห็นเสวี่ยเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บ ปฏิกิริยาตอบสนองแรกกลับเป็นลนลานทำอะไรไม่ถูก ข้าแก่แล้ว แก่แล้วจริงๆ”
ขณะที่พูด ผู้อาวุโสเก้าที่ก้าวขึ้นไปข้างหน้าเพื่อรักษาถังเสวี่ยก็ควักเอาเม็ดยาระดับหยวนสื่อที่ตัวเองเพิ่งหลอมเสร็จออกมาเม็ดหนึ่ง มันคือยารักษาความงามที่ให้ผลดีที่สุด “เสวี่ยเอ๋อร์รีบกลืนเม็ดยานี้ลงไปก่อน”
ผู้อาวุโสคนที่เหลือไม่ได้ขยับ ถังผิงมั่วกลับอธิบายให้เยี่ยนอวี๋ฟังด้วยเสียงต่ำว่า “ลูกพ่อ อาหญิงเจ้าคนนี้ค่อนข้างอารมณ์ร้าย เจ้าก็อดทนหน่อยแล้วกัน พ่อจะพาเจ้าไปปลุกสายเลือดเดี๋ยวนี้ จะไม่ยอมให้เจ้าถูกใครรังแกเป็นอันขาด”
“แต่นางอยากทำลายใบหน้าของข้า ข้าคงทนไม่ไหว” เสียงที่ไร้เดียงสาของเยี่ยนอวี๋ เห็นได้ฃัดว่าเป็นเพราะไม่ได้รับความเป็นธรรมมากมันจึงดังขึ้นโดยไม่รู้ตัว เป็นเหมือนเด็กสาวไร้เดียงสาที่แม้จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่ออดทนแล้ว แต่ก็ทำไม่ได้
นี่ยังไม่ใช่ทั้งหมด…
จิ่วอิงผู้ซึ่งเป็น ‘ผู้กระทำความผิด’ ยังโพล่งรับบทสนทนาต่อว่า “นั่นสิ ใครจะทนเรื่องบ้าๆ นี้ได้ เจ้าน่ะ เจ้าบอกว่าตัวเองตั้งตารอที่จะได้พบกับบุตรีของเจ้า ผลคือพอหญิงชั่วคนนี้กลับมา เจ้าไม่ถามอะไรสักคำก็บอกให้นางอดทนต่ออาหญิงที่ชั่วร้ายคนนี้?
ถุย ข้าว่าเรื่องนับญาติอะไรนี่ไม่ต้องทำแล้ว ภรรยาอี้เอ๋อร์ ตลอดหลายปีมานี้เราไม่มีตระกูลถังก็ยังมีช่วงเวลาที่ดีกันได้ จะทนไปทำไม กลับไปยังต้องระวังอาหญิงชั่วที่หมายทำลายโฉมเจ้า อ้อ จริงสิ นางยังคิดจะแย่งเสี่ยวเป่าด้วย”
ตอนที่จิ่วอิงเปิดปากถังผิงมั่วก็ขมวดคิ้วแล้ว แต่เนื่องจากอีกฝ่ายเป็น ‘ผู้อาวุโสของบุตรี’ ไม่ใช่คนรับใช้จึงเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะหยุดอีกฝ่าย
ผลลัพธ์คือ…
คำพูดของจิ่วอิงทำให้ถังเสวี่ยที่กำลังจะระเบิด ระเบิดออกมาโดยตรง
ถังเสวี่ยผลักผู้อาวุโสใหญ่และผู้อาวุโสเก้าที่อยู่ข้างๆ นางออกไป พูดด้วยเสียงสูงว่า “ถูกต้อง กูไหน่ไนต้องการกรีดหน้าทำลายโฉมนังแพศยาน้อยตัวนี้และจะควักลูกตาไอ้เด็กสารเลวคนนี้ ตอนนี้ และเดี๋ยวนี้ด้วย ถ้าพวกเจ้าไม่ยอมแต่โดยดี เหอะ”
เมื่อถังเสวี่ยที่มืดมนและเยาะเย้ยพูดถึงตรงนี้ ดวงตาเพียงข้างเดียวที่โผล่พ้นผ้าพันแผลที่พันรอบศีรษะก็ระเบิดความเกลียดชังและเจตนาฆ่าแท้จริงออกมา “พวกเจ้าคิดว่าคฤหาสน์ตระกูลถังของข้าเป็นสถานที่ที่พวกเจ้าจะเข้ามาก็เข้ามา จะออกไปก็ออกไปได้หรือ!”
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็เข้ามาลองดูสิ” จิ่วอิงเริงร่าและไม่กลัว พลังที่ปลดปล่อยออกมารอบตัวเขาข้นคลั่กและดุร้ายยิ่งกว่าถังเสวี่ยหลายเท่า ทั้งน่าขนลุกกว่าและโหดร้ายป่าเถื่อนยิ่งกว่า
เปรียบเทียบเรื่องความอหังการ
เปรียบเทียบเรื่องความดุร้าย
เปรียบเทียบเรื่องความน่าขนลุกและมืดมน
จิ่วอิงบอกว่า มันเป็นบรรพบุรุษมาโดยตลอด ไม่เคยถูกใครก้าวข้าม
สถานที่เกิดเหตุเย็นลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากการดวลกันระหว่างจิ่วอิงกับถังเสวี่ย หลายคนในตระกูลถังรู้สึกหนาวไปถึงกระดูกสันหลัง บางคนที่มีฌานตบะอ่อนด้อยยังถอยกลับเข้าไปในฝูงชนตามสัญชาตญาณและเริ่มตัวสั่นงก
“ไอ้สัตว์เดรัจฉาน” ถังเสวี่ยที่ถูกบดขยี้อย่างดุเดือด โกรธมากขึ้นเป็นธรรมดา “ใครก็ได้ ยังไม่รีบมาจับตัวไอ้ชั่วนี่อีก วันนี้ถ้ากูไหน่ไนไม่ถลกหนังและเลาะกระดูกมันออกมา ก็อย่ามาเรียกข้าว่าถังเสวี่ยเลย”
แม้ว่าถังเสวี่ยจะโกรธมาก แต่นางก็ไม่ได้ลงมือเอง ไม่ใช่เพราะถังเสวี่ยไม่อยากลงมือ แต่เป็นเพราะนางเคยเสียเปรียบในมือจิ่วอิงมาก่อน จึงรู้ชัดว่าตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย
อนิจจา…ไม่มีใครตอบสนองต่อคำสั่งของถังเสวี่ย
เนื่องจากผู้นำตระกูลถังถังผิงมั่วไม่มีการตอบสนองใดๆ แถมอาวุโสทั้งสิบคนเองก็ไม่ได้มีคำสั่งให้ยอดฝีมือของตระกูลออกหน้าช่วยเหลือถังเสวี่ย
นี่หมายความว่าอย่างไร
ทุกคนในตระกูลถังล้วนเข้าใจดี
ดังนั้นทุกคนจึงมองไปที่เยี่ยนอวี๋ด้วยสายตาที่ลึกซึ้งมากขึ้น
พรสวรรค์และระดับฌานตบะในปัจจุบันของถังเสวี่ยชัดเจนอยู่ตรงหน้า นางยังคงเป็นบุคคลที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาคนรุ่นเยาว์ของตระกูลถัง
ถึงกระนั้น…
เมื่อถังเสวี่ยต้องการท้าทายคุณหนูสายตรงที่เพิ่งกลับมา นางก็ยังไม่มีคุณสมบัติมากพอ
สิ่งนี้อธิบายได้เพียงว่าคุณหนูสายตรงที่เพิ่งกลับมานี้ มีค่าต่อตระกูลอย่างมาก มากกว่าถังเสวี่ยหลายร้อยหลายพันเท่า
ในฐานะผู้นำตระกูลถังควบคู่ไปกับเจ้าผู้ปกครองเมืองจิ่วเหลียน วิถีของตระกูลถังตลอดมาก็คือเคารพผู้แข็งแกร่ง
ดังนั้นชื่อเสียงของถังเหิงในตระกูลถังจึงสูงมาก ถึงแม้เขาจะหายตัวไปนานนับพันปี ตราบเท่าที่เขาแข็งแกร่งมากพอเมื่อเขากลับมา ผู้นำตระกูลและเหล่าผู้อาวุโสก็จะยอมจำนนต่อเขาและช่วยผลักดันเขาขึ้นไปสู่จุดสูงสุดด้วยกำลังทั้งหมดที่พวกเขามี
นี่เป็นรากฐานที่ตระกูลถังยึดติดตลอดหลายปีมานี้ โหดร้ายและเลือดเย็น แต่กลับสามารถรักษายอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลไว้ได้อย่างต่อเนื่อง
การเป็นทายาทสายตรงนั้นไม่นับว่าเป็นอะไร อัจฉริยะต่างหากคือเส้นทางที่ถูกต้อง
อุปนิสัยไม่ใช่กุญแจสำคัญ ฌานตบะต่างหากคือเส้นทางที่แท้จริง
ดังนั้นไม่ว่าเมื่อก่อนถังเสวี่ยจะป่าเถื่อนและอารมณ์แปรปรวนแค่ไหน ตราบเท่าที่นางมีพรสวรรค์และมีฌานตบะสูงส่ง ทั้งตระกูลก็จะผ่อนปรนและตามใจนาง แม้แต่ผู้นำตระกูลถังผิงมั่วเองก็ยังต้องสุภาพและเคารพต่อถังเสวี่ยสามส่วน
ในทำนองเดียวกัน ตอนนี้ถังเสวี่ยไม่ได้ดีเท่าคุณหนูสายตรงที่เพิ่งกลับมานี้ นางยังต้องการท้าทายคุณหนูสายตรง ผลลัพธ์คือนางไม่นับว่าเป็นตัวอะไรทั้งสิ้น ตัวเองฉีกหน้าตัวเองขายหน้าเปล่าๆ
อย่างไรก็ตาม ถังผิงมั่วยังคงเต็มใจที่จะเหลือศักดิ์ศรีสุดท้ายไว้ให้กับถังเสวี่ย “เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้ากลับไปเถิด”
ถังเสวี่ยกำหมัดแน่น ในเวลานี้นางเข้าใจแล้วว่าระหว่างนางกับนังแพศยาตัวน้อยนั่น ตระกูลได้เลือกแล้วและนางก็คือผู้พ่ายแพ้
หลายปีมานี้ ถังเสวี่ยใช้อำนาจบาตรใหญ่ในตระกูล ไม่เคยถูกทอดทิ้งมาก่อน ใครก็ตามที่ทำให้นางไม่มีความสุข ทั้งหมดล้วนถูกตระกูลกำจัดโดยตรง
ถังเสวี่ยในวันนี้ กลับกลายเป็นฝ่ายที่ถูกทอดทิ้ง แม้ว่าถังผิงมั่วจะยังพูดจากับนางด้วยดี แต่สำหรับถังเสวี่ยที่เคยหยิ่งผยอง นี่ไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการ
“ข้าจะไม่กลับไป” ถังเสวี่ยยิ้มอย่างเย็นชา “วันนี้ถ้าใบหน้านางไม่เสียโฉม ข้าถังเสวี่ยจะไม่มีวันถอยเด็ดขาด”
ทันทีที่ประโยคนี้ถูกกล่าวออกมา
สีหน้าของถังผิงมั่วก็เปลี่ยนไป
อย่างไรก็ตาม
ถังเสวี่ยปลดปล่อยพลังที่น่าสะพรึงกลัวมากออกมาปกคลุมร่าง “ในเมื่อพวกเจ้าเลือกนาง เช่นนั้นข้าจะแข่งเรื่องพรสวรรค์และสายเลือดกับนาง ถ้าข้าบดขยี้นางได้ ต่อไปข้าจะทำอะไรกับนางก็ได้”
“เหลวไหล!” ถังผิงมั่วตวาดด้วยความโกรธ “ถังเสวี่ย ข้าผู้นำตระกูลขอสั่งเจ้าให้ถอยไปเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าผู้นำตระกูลคนนี้หยาบคายต่อเจ้า”
“ข้าไม่ทำ!” ดวงตาเพียงข้างเดียวที่โผล่พ้นออกมาของถังเสวี่ยแดงก่ำราวกับเลือด “พวกเจ้าไม่ใช่ว่าจะพานางไปปลุกสายเลือดหรอกหรือ ข้าจะไปด้วย ข้าจะขึ้นไปบนแท่นบูชากับนาง จากนั้นข้าจะปลดปล่อยพลังสายเลือดแล้วต่อสู้กับนาง”
ถังผิงมั่วถูกถังเสวี่ยทำให้โกรธมากจนแทบจะลงมือจริงๆ ท้ายที่สุดถังผิงมั่วไม่มีความคิดที่จะพาเยี่ยนอวี๋ไปปลุกสายเลือดตั้งแต่ต้น นางไม่ใช่สมาชิกของตระกูลถัง จะปลุกสายเลือดของตระกูลถังขึ้นมาได้อย่างไร
นี่ไม่ใช่กำลังเพ้อฝันไปหรอกหรือ
แถมยังทำให้เรื่องสำคัญล่าช้าไปอีกด้วย
นี่เป็นครั้งแรกที่ถังผิงมั่วรู้สึกโกรธที่เมื่อก่อนตัวเองสุภาพกับถังเสวี่ยมาก ส่งผลให้นางมีนิสัยเอาแต่ใจและทำอะไรไม่สนใจสถานการณ์โดยรวมอย่างในทุกวันนี้
ผู้อาวุโสใหญ่และผู้อาวุโสเก้าหันไปสบตากัน คล้ายกับมีแผนการบางอย่าง…
อย่างไรก็ตาม
ก่อนที่ผู้อาวุโสทั้งสองจะทำอะไร น้ำเสียงสง่างามและมีอายุของถังเหิงก็ดังส่งมาว่า “ในเมื่อเสวี่ยเอ๋อร์ต้องการแบบนี้ เช่นนั้นก็ปล่อยนางไปเถิด”
“ท่านพ่อ?” ถังเสวี่ยไม่รู้ว่าถังเหิงกลับมาแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินเสียงของถังเหิง นางจึงทั้งรู้สึกประหลาดใจและมีความสุขเล็กน้อย
บิดาถังเหิงกลับมาแล้ว แต่เมื่อสักครู่นี้เขากลับไม่ได้พูดอะไร สิ่งที่เรียกว่าความรักระหว่างบิดากับบุตรีนั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
ส่วนถังเหิง เขาไม่ได้พูดอะไรอีก
แต่ถังผิงมั่วทำตามคำสั่งของถังเหิงแล้ว เขาพูดว่า “ในเมื่อท่านพ่อเปิดปากแล้ว เช่นนั้นก็ปล่อยไปตามนั้นเถิด”
“แต่ข้าไม่อยากไป” เยี่ยนอวี๋พูดอย่างตรงไปตรงมาอีกครั้ง “แต่เดิมข้าก็มีชีวิตที่ดี ทำไมข้าต้องประลองสายเลือดกับถังเสวี่ยด้วย”
“ลูกพ่อ…” ถังผิงมั่วขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่าวันนี้ดวงไม่ค่อยดีนัก
จิ่วอิงยังตะโกนว่า “ภรรยาอี้เอ๋อร์ไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป วันนี้ปู่จิ่วอยากจะเห็นเหมือนกันว่าตระกูลถังนี้ใครกล้าบังคับเจ้า”
“เหอะๆ” ถังเสวี่ยเยาะเย้ย “เจ้าคิดว่าฌานตบะเจ้าสูงกว่าข้าก็เลยสามารถวางตัวโอหังในคฤหาสน์ตระกูลถังของข้าได้หรือ สถานที่นี้คืออาณาเขตของตระกูลถัง ในเมื่อพวกเจ้าเข้ามาแล้ว ก็ต้องทำตามกฏของตระกูลถัง”
แน่นอนว่าจิ่วอิงอยากจะตอบโต้กลับไป แต่ถังผิงมั่วกลับขัดจังหวะเขากลางคัน “ลูกพ่อ การประลองสายเลือดนั้นไม่ใช่การประลองเป็นตาย ก็แค่แข่งกันว่าสายเลือดใครจะแข็งแกร่งกว่า พ่อมั่นใจในตัวเจ้า และจะไม่มีวันปล่อยให้ถังเสวี่ยรังแกเจ้าเป็นอันขาด”
“ชิ” ถังเสวี่ยเหลือบมองถังผิงมั่วด้วยสายตาเย็นชา “ช่างรักและทะนุถนอมบุตรีอย่างเจ้ามากจริงๆ แต่ว่า…”
ผู้อาวุโสใหญ่หยุดคำพูดถังเสวี่ยต่อจากนั้นซึ่งไม่ว่าคิดอย่างไรย่อมไม่ใช่คำพูดที่ดีแน่นอน “เอาล่ะ เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าก็บรรลุเป้าหมายของเจ้าแล้ว พูดให้น้อยลงสักหน่อยเถิด แต่เดิมพวกเจ้าสองคนสามารถจับมือกันเพื่อทำให้ตระกูลถังก้าวขึ้นไปอีกขั้นได้ นั่นเป็นเรื่องดีที่สุด เจ้ากลับไม่รู้ความถึงเพียงนี้ เอาเถิด คำพูดของปู่ใหญ่เจ้าย่อมฟังไม่เข้าหู ได้แต่หวังว่าเจ้าอย่าได้เสียใจภายหลัง”
“ไปกันเถอะ” ผู้อาวุโสเก้าก็ส่ายหัวและถอนหายใจยาว
ถังผิงมั่วหันไปพูดกับเยี่ยนอวี๋อีกครั้ง “ลูกพ่อ ไปกันเถิด อย่าได้หวาดกลัวนาง”
เห็นได้ชัดว่าเยี่ยนอวี๋ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นนางก็พยักหน้า “เอาเถิด ปู่จิ่ว เราเองก็ไปดูกันเถิด”
“ฮึ่ม” ในที่สุดจิ่วอิงก็สงบลงและเดินไปหยุดอยู่ข้างๆ เยี่ยนอวี๋
ส่วนหรงอี้ซึ่งทำตัวโปร่งใสตั้งแต่ต้นจนจบ เขายังคงอุ้มเจ้าตัวเล็กที่กำลังจะระเบิดไว้ในอ้อมแขน พยายายามปลอบเจ้าตัวเล็กและให้เขาทำตัวไร้ตัวตนเหมือนกับตัวเอง
ในเวลาเดียวกัน
ถังผิงมั่วแอบกระตุ้นสายเลือดและส่งข้อความไปหาถังเหิงผ่านกระแสจิต “ท่านพ่อ จะให้ข้าพาบุตรีกับเสวี่ยเอ๋อร์ขึ้นไปบนแท่นบูชาจริงหรือ” นี่ไม่เท่ากับว่าส่งเด็กคนนี้ไปตายหรือไร
แม้ว่าถังผิงมั่วจะไม่ได้ถ่ายทอดประโยคสุดท้ายออกไป แต่ถังเหิงก็เข้าใจสิ่งที่เขาหมายถึงและรู้สึกชื่นชมเล็กน้อย แม้จะเป็นการสนทนาผ่านกระแสจิต ถังผิงมั่วก็ยังคงเรียกเยี่ยนอวี๋ว่าบุตรี
ความระมัดระวังในระดับนี้ ทำให้ถังเหิงพึงพอใจอย่างยิ่ง ท้ายที่สุดยิ่งเข้าใกล้ช่วงเวลาสำคัญมากเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่อาจกระวนกระวายใจและลนลาน สามารถสะกดข่มอารมณ์ของตนให้มั่นคงและรักษาความละเอียดรอบคอบไว้ได้ นี่คือคุณสมบัติที่หาได้ยากของยอดฝีมืออย่างแท้จริง
ถังผิงมั่วทำมันได้แล้วจริงๆ อย่างไม่ต้องสงสัย หรงอี้ที่แอบฟังบทสนทนาระหว่างพวกเขา รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
หรงอี้รู้ดีว่าสองพ่อลูกตระกูลถังคู่นี้ระมัดระวังมาก สิ่งนี้สามารถอธิบายได้ว่าพวกเขากำลังวางแผนการใหญ่กันอยู่ แต่จนถึงขณะนี้ เขาก็ยังไม่อาจระบุสาเหตุที่ตาแก่ถังต้องการกลืนกินภรรยาของเขา
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตระกูลถังมุ่งร้ายต่อภรรยาของเขา แต่จุดประสงค์เบื้องหลังแผนการของพวกเขานั้นคืออะไร หรงอี้ยังคิดเรื่องนี้ไม่ตก เขาจึงปล่อยให้ภรรยาของเขาเข้ามาในคฤหาสน์ตระกูลถัง
ในขณะนี้ หรงอี้แผ่สัมผัสออกไปสำรวจตระกูลถังอย่างเงียบๆ ทั้งยังให้ความสนใจกับถังเหิงที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดอีกด้วย สามารถยืนยันได้แล้วว่าฝ่ายหลังเป็นคนที่มีความสามารถอย่างแท้จริง ฌานตบะของเขาอยู่เหนือกว่าระดับสื่อเสินธรรมดาไปไกลโข สามารถเทียบได้กับนายพลแห่งหน่วยสิบแปดธงของเขาพระสุเมรุ ถือเป็นผู้ถือครองพลังสูงสุดที่หาได้ยาก
แต่…
เห็นได้ชัดว่าถังเหิงมีอายุอยู่ได้ไม่นาน
ท้ายที่สุดเมืองจิ่วเหลียนไม่ใช่เขาพระสุเมรุ สรรพชีวิตทั้งมวลที่นี่ไม่อาจเพลิดเพลินไปกับชีวิตที่ยืนยาวไม่รู้จบได้
ดังนั้น
เป้าหมายของถังเหิงคือการยืดอายุของเขาหรือ
“ถ้านี่คือจุดประสงค์ของเขา มันก็สมเหตุสมผล” หรงอี้พึมพำกับตัวเอง เขารู้ว่าสำหรับบางคนที่มีฌานตบะแก่กล้า การที่อายุขัยของพวกเริ่มหมดลง มันคือสิ่งที่พวกเขาทนไม่ได้มากที่สุด
แม้ว่าระดับฌานตบะของเยี่ยนอวี๋ในเวลานี้จะสลายไปหมดแล้ว แต่นางถือครองจิตวิญญาณพิเศษ ทำให้นางไม่เพียงแต่สามารถเข้าใกล้และตระหนักรู้พลังศักดิ์สิทธิ์ของพระสุเมรุได้ ยังทำให้นางตระหนักรู้ถึงพลังแห่งอนันต์ได้อีกด้วย
หากถังเหิงประสบความสำเร็จในการกลืนกินเยี่ยนอวี๋จริงๆ เขาจะสามารถยืดอายุขัยของเขาออกไปได้แน่นอนและแม้กระทั่งเพลิดเพลินไปกับชีวิตที่ไม่มีที่สิ้นสุด
แต่ถ้าเป็นเช่นนี้จริงๆ ทำไมถังเหิงถึงไม่ลงมือตอนนี้ ท้ายที่สุด ตัวคนก็ ‘มาส่งถึงหน้าประตู’ แล้ว
นี่มีแต่จุดน่าสงสัยเต็มไปหมด…
หรงอี้ลูบเจ้าตัวเล็กโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
ภายใต้การปลอบประโลมของบิดาผู้ให้กำเนิด เจ้าตัวเล็กบางคนประพฤติตัวดีมาก ตลอดทางเขาแค่มองไปรอบๆ และไม่บ่นเลย
จนกระทั่งถังผิงมั่วสั่งคนให้เปิดแท่นบูชาของตระกูลถัง
เจ้าตัวเล็กบางคนเงยหน้าขึ้นมองแท่นบูชารูปดอกบัวของตระกูลถังซึ่งตั้งอยู่ในโถงบรรพบุรุษตามสัญชาตญาณ “หืม”
เยี่ยนอวี๋รับรู้ถึงกลิ่นอายที่ใกล้ชิดมากในขณะที่แท่นบูชาถูกเปิดใช้งานได้ในทันที กลิ่นอายนี้เหมือนกับนาง
————————–