บทส่งท้าย 19 บิดาผู้งดงามทั้งสี่
ในเวลานี้เอง…
เนื่องจากการกระทำของสองผู้ยิ่งใหญ่หรงหวงและหรงมั่ว ในสวรรค์เก้าชั้นฟ้าซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งก็เกิดปรากฏการณ์แปลกๆ ขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน
สวรรค์เก้าชั้นฟ้าทั้งหมดกล่าวได้ว่าประเดี๋ยวถูกปกคลุมด้วยสีคราม ประเดี๋ยวมีสีขาวสว่างวาบ ประเดี๋ยวแดงก่ำ ประเดี๋ยวมืดสนิท ประเดี๋ยวท้องฟ้าเปล่งประกายด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ทั้งเจ็ดสี สุดท้ายก็ถูกปกคลุมด้วยหมอกสีเทาชั่วขณะหนึ่ง สรุปได้สั้นๆ ว่ามีสีสันเปลี่ยนแปลงมากมาย
นี่ยังไม่ใช่ทั้งหมด…
ภายในแสงสีคราม จะพบมังกรครามโบยบินอยู่บนท้องฟ้า ในแสงสีขาวจะเห็นพยัคฆ์ขาวทำท่าอ้าปากคำรามลั่น ในแสงสีแดงมีหงส์เพลิงสยายปีก และในแสงสีดำก็มีเต่าดำอันเป็นสัญลักษณ์แห่งชีวิตลอยอยู่
จากนั้นเมื่อโลกทั้งใบถูกปกคลุมด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์เจ็ดสี เหนือทะเลสาบสือซ่าไห่ ภาพภูเขาศักดิ์สิทธิ์อันบริสุทธิ์ก็ปรากฏสู่ทุกครรลองสายตา ทำให้ทุกคนที่เห็นรู้สึกลานตา ตกใจ และไม่อยากจะเชื่อ คลับคล้ายกับถูกแสงศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ชะล้างครั้งใหญ่ พวกเขารู้สึกว่าทั้งตัวโล่งสบายและปลอดโปร่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
นี่…
เทียนตี้และเทพเจ้าองค์อื่นๆ ตกตะลึง ปากของพวกเขาอ้ากว้าง และดวงตาก็เบิกโพลงไม่แม้แต่จะกะพริบ ในหัวของพวกเขาสับสนวุ่นวายไปหมด
หลังจากนั้นนานมาก นานมากๆ…
ก็ยังไม่มีใครตอบสนองกลับมา
เป็นความจริงที่ว่าปรากฏการณ์อัศจรรย์บนท้องฟ้าและพลังวิญญาณมหาศาลที่มาพร้อมกับมัน รวมถึงการชำระดวงวิญญาณซึ่งให้ประโยชน์อย่างมากต่อเหล่าทวยเทพ ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนมีขนมตกลงมาจากฟ้า ตกเข้าไปในปากของพวกเขาโดยตรง
ไม่
ไม่ ไม่!
มันแปลกประหลาดมากกว่านั้นร้อยเท่า!
ทำให้คนไม่อยากจะเชื่อยิ่งกว่านั้นอีก
ดังนั้นต่อให้เป็นแอนนาซึ่งเป็นตัวตนโบราณเช่นเยี่ยนอวี๋ก็ยังได้แต่กะพริบตาและสับสน ไม่สามารถเข้าใจได้
อย่างไรก็ตาม…
ขณะที่แอนนาแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอย่างว่างเปล่า
วูบ!
ทันใดนั้นเงาสีดำก็ตกลงมาจากท้องฟ้าและตรงมาที่ร่างของนาง
แอนนาที่กำลังสับสนมึนงง ไม่ทันเบี่ยงตัวหลบจึงถูกกระแทก ณ ที่ตรงนั้นอย่างแรง จากนั้น…
ไม่มีจากนั้นแล้ว
แอนนาถูกกระแทกจนหมดสติไปในทันที
ก่อนที่นางจะหมดสติ นางโพล่งออกไปคำหนึ่งว่า “แม*ง!”
……
ในเวลาเดียวกัน
ในทะเลจิตของเยี่ยนอวี๋ ภาพการถือกำเนิดของอาณาจักรทั้งปวงและโลกพระสุเมรุที่หรงหวงประทานให้แก่นางก็ก่อตัวเป็นฉากๆ
สิ่งนี้ทำให้นางทั้งตกใจ แต่ขณะเดียวกันก็เข้าใจทุกอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
แม้ว่านางจะยังไม่รู้ว่า ‘ภาพลวงตา’ เหล่านี้มาจากไหนและเหตุใดจึงได้ปรากฏขึ้น ‘ต่อหน้านาง’ แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางนางจากการดูดซับและทำความเข้าใจพวกมัน
นี่เป็นสัญชาตญาณประเภทหนึ่ง เพราะ ‘ภาพลวงตา’ เหล่านี้มีประโยชน์ต่อเยี่ยนอวี๋ที่กำลังฝึกฌานอยู่มาก ดังนั้นนางจึงยอมรับทุกสิ่งโดยสัญชาตญาณและเริ่มทำการตระหนักรู้รอบใหม่
เยี่ยนอวี๋ที่เป็นแบบนี้ ทำให้หรงหวงที่ประทานพรให้แก่นางซึ่งปรากฏตัวขึ้นถัดจากภรรยาอวิ๋นจื่อซีพึงพอใจอย่างมาก “ภรรยาของอี้เอ๋อร์คนนี้ หาได้ไม่เลวจริงๆ พรสวรรค์ไม่ธรรมดา การตระหนักรู้สูงส่ง แถมยังมีสัญชาตญาณที่ดีและกระตือรือร้น”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว นางคือหลานสะใภ้ของข้า!” อวิ๋นจื่อซีเชิดคางขึ้นอย่างภาคภูมิใจและกระเถิบไปข้างๆ ราวกับว่ารังเกียจพระสุเมรุมาก
อย่างไรก็ตาม อวิ๋นจื่อซีเพิ่งจะขยับ หรงหวงก็ยื่นมือออกไปคว้าเอวของนางไว้แน่น ไม่ยอมให้นางหลบหนีอีก “เอาล่ะ สามีผิดไปแล้ว ไม่ควรพูดว่าที่ผีผีซุกซนขนาดนั้นก็เพราะเหมือนเจ้า”
“ฮึ่ม” อันที่จริงอวิ๋นจื่อซีรู้ดีว่าตัวเองเป็นตัวก่อเรื่องเมื่อตอนที่นางยัง ‘เด็ก’ แต่ตอนนี้นางเป็นย่าคนแล้ว ชายคนนี้ยังว่านางต่อหน้าผู้เยาว์ทำให้นางต้องอับอาย นางย่อมไม่พอใจ!
ส่วนหรงหวงที่มองไปที่ภรรยาของเขาที่ทั้งเอาแต่ใจเล็กน้อยและงดงามไม่เปลี่ยน ร่างกายเขาก็เกิดปฏิกิริยาเล็กน้อย แต่ติดอยู่ที่เขายังกล่อมภรรยาไม่สำเร็จจึงทำได้เพียงถามนางไปด้วยน้ำเสียงแหบต่ำเล็กน้อยว่า “ถ้าอย่างนั้นซีเอ๋อร์จะเอาอย่างไร ต้องทำอย่างไรเจ้าถึงจะยอมให้อภัยสามี”
“ข้าจะเอาอย่างไรหรือ ท่านจะตกลงทุกอย่างเลยหรือ” ดวงตาที่เกียจคร้านของอวิ๋นจื่อซีพลันลุกวาว เห็นได้ชัดว่านางมีความคิดประหลาดๆ อีกแล้ว
“…อืม” แม้จะไม่อยากตกลง แต่หรงหวงก็ยังคงประนีประนอมและถอนหายใจอย่างเงียบๆ รู้สึกว่าสตรีนางนี้เกิดมาเพื่อสะกดข่มเขาจริงๆ
ส่วนอวิ๋นจื่อซีที่ได้รับคำสัญญา ดวงตาของนางก็เปล่งประกายระยิบระยับ นัยน์ตาประหนึ่งอัญมณีหลากสีสุกสกาว สะท้อนภาพและแสงที่ตกกระทบลงมา มองจนหรงหวงยอมศิโรราบ ไม่ว่าอะไรก็ยินดีตกลงนางทุกอย่าง
“ชิ!”
หรงซีที่เพิ่งตามบิดาผู้ให้กำเนิดมาที่นี่ จู่ๆ ก็ถูกยัดอาหารสุนัข[1] เต็มปาก เขาจึงแสดงออกว่าจุกนิดหน่อย ทั้งยังรู้สึกเสียวฟันจึงต้องรีบเบือนหน้าหนี ช่วยตัวเองจากการถูกยัดอาหารและอิจฉาจนตาย
แต่หลังจากที่เขามองไปรอบๆ ก็พบว่ามีคนหายไปจึงอดไม่ได้ก้าวขึ้นไปสะกิดฝาแฝดหรงหลิน “ผีผีอยู่ไหน”
“เขาลงไปก่อนที่พวกเราจะมาถึงแล้ว” หรงหลินคุยกับเจ้าสี่หรงผู้เป็นน้องชายอย่างรู้กัน “คิดว่าน่าจะก่อเรื่องมาอีกแล้ว ไม่หยุดไม่หย่อนเลยจริงๆ”
หรงซีฟังแล้วดวงตาลุกวาวเล็กน้อย “แล้วต่อมาท่านแม่ก็จัดการกับเขาอีกแล้วสินะ”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็นอนให้น้อยหน่อยสิ ไม่กลัวว่าจะนอนจนโง่ไปหรืออย่างไร” หรงหลินค่อนข้างสะอึก เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าน้องสี่ที่ขี้เกียจคนนี้สามารถหลับได้ทั้งวันทั้งคืน ก็ไม่มีใครมาจัดการกับเขา
“โง่แล้วจะอย่างไร” เจ้าสี่หรงผู้ไม่มีความทะเยอทะยานใหญ่โต ประกาศกร้าวว่าเขาแค่อยากเป็นปลาเค็ม[2] ตัวหนึ่ง กินแล้วนอน นอนแล้วกิน จะโง่หรือไม่เขาไม่ใส่ใจ อย่างไรเขาก็ยังมีท่านพ่อท่านแม่ พี่ใหญ่พี่สะใภ้ใหญ่ที่แข็งแกร่ง และพี่ชายอีกสองคน นอกจากนี้ยังมีหลานชายและหลานสะใภ้ที่เก่งกาจมากอีก!
ดังนั้น…
เขาไม่ต้องการความฉลาดเลย! กินๆ ดื่มๆ นอนๆ แบบนี้ไม่ดีหรือ!
เจ้าสี่หรงผู้ไม่รู้จักยางอาย ทำให้หรงหลินพูดไม่ออก เขามองลงไปที่เมืองจิ่วเหลียนด้านล่างอย่างเงียบๆ ไม่อยากสนปลาเค็มเจ้าสี่หรง ประเดี๋ยวความยอดเยี่ยม กล้าได้กล้าเสีย ฮึกเหิม และกระตือรือร้นของเขาจะถูกความเสื่อมทรามของอีกฝ่ายแปดเปื้อนเอา เขาคือชายหนุ่มที่ทั้งทรงพลังและงดงามเชียวนะ!
……
สามวันต่อมา
ปรากฏการณ์บนท้องฟ้าในสวรรค์เก้าชั้นฟ้าก็ยังไม่สงบ
เทียนตี้และเทพองค์อื่นๆ กลับสงบลงทั้งหมดแล้ว
“ดูเหมือนว่าครั้งนี้ในที่สุดวิหคทมิฬตัวใหญ่ก็ปากเป็นมงคลเสียที” เซ่าเฮ่าอกสั่นขวัญแขวนมาสามวัน วันนี้นับว่าวางใจได้อย่างสมบูรณ์แล้ว เพราะในสามวันนี้ กฎของสวรรค์เก้าชั้นฟ้ามีเสถียรภาพมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พลังจิตวิญญาณเองก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
นอกจากนี้ แม้แต่ดินแดนทางทิศเหนือที่เปราะบางที่สุดเองก็ยังถูกรวมเข้ามาในสวรรค์เก้าชั้นฟ้า แอตแลนเองก็ค่อยๆ หลอมรวมกับสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอย่างช้าๆ
สิ่งที่สำคัญคือในกระบวนการหลอมรวมนี้ ไม่ว่าจะเป็นดินแดนทางทิศเหนือ แอตแลน หรือว่าสวรรค์เก้าชั้นฟ้า กลับไม่มีความเสียหายหรือวุ่นวายใดๆ
หากปล่อยให้สถานการณ์นี้ดำเนินต่อไป เซ่าเฮ่ามีเหตุผลที่จะเชื่อว่าทั้งสามโลกจะรวมเข้าด้วยกันอย่างราบรื่นและสงบสุข โดยมีสวรรค์เก้าชั้นฟ้าเป็นศูนย์กลางอย่างคลุมเครือ แต่ก็จะสนับสนุนซึ่งกันและกันกับสวรรค์เก้าชั้นฟ้าด้วย
เซ่าเฮ่าอนุมานได้จากสิ่งนี้ว่า “กว่าครึ่งเรื่องที่นายท่านกำลังจะพาเราไปยังโลกที่นางอยู่น่าจะเป็นความจริง เพราะพวกเราสวรรค์เก้าชั้นฟ้าทั้งหมดล้วนเหมือนได้เกิดใหม่จากเหตุการณ์นี้”
“คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้ข้าจะพูดถูก ก่อนหน้านี้ข้าแค่เดา…” อินหลิวเฟิงรู้สึกมั่นใจในปากของตัวเองอย่างอธิบายไม่ถูก “ดูเหมือนว่าจากนี้ไปพวกเจ้าสามารถเรียกข้าว่าราชานักพยากรณ์ได้แล้ว”
“หวังว่าคำพูดร้ายๆ จะไม่เป็นจริง แต่คำพูดดีเป็นจริง” เทียนตี้พูดอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อสามวันก่อน เขาเกือบถูกทำให้ตกใจจนตายแล้ว สวรรค์เก้าชั้นฟ้าเกือบจะล่มสลายในมือของเขา แล้วเขาจะมีหน้าไปพบกับอาจารย์ได้อย่างไร! แม้ว่าถ้าเขาตายไป เขาจะไม่ต้องไปเจอกับอาจารย์แล้ว
หยวนสื่อเทียนจุนลูบหัวใจของเขาแล้วพูดว่า “เดิมทีข้าคิดว่าหลังจากประสบกับเหตุการณ์ราชาแห่งการทำลายล้างข้าก็จะสามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุขได้ ไม่คาดฝันว่าจะมีเหตุการณ์ที่น่าระทึกขวัญกว่านั้นเกิดขึ้น โชคดีที่มันคงอยู่ไม่นาน ไม่อย่างนั้นกระดูกแก่ๆ นี้ของข้าคงถึงเวลากลับคืนสู่ธรรมชาติแล้ว”
เทียนตี้พยักหน้าเล็กน้อยและถอนหายใจครั้งสุดท้าย รีบสั่งการไปว่า “ตอนนี้ทั้งสามโลกกำลังหลอมรวมเข้าด้วยกัน สรรพชีวิตทั้งมวลจากทุกสารทิศกว่าครึ่งตอนนี้คงกำลังตื่นตระหนกกันมาก ทุกคนแยกย้ายกันไปก่อนเถิด จัดการพื้นที่ในมือที่ตัวเองรับผิดชอบอย่างเหมาะสม แล้วค่อยกลับมาหารือกันใหม่”
เมื่อทุกคนได้ยินสิ่งนี้ก็แยกย้ายกันไปไม่มีความคิดเห็นใด
แต่เทพอัสนีที่ไปยังดินแดนทางทิศเหนือกลับไม่พบแอนนา พิกซีเองก็บอกว่าไม่รู้ว่าบรรพบุรุษของพวกเขาไปไหนแล้ว แต่ไม่ว่าจะเป็นเทพอัสนีหรือพิกซี ตอนนี้พวกเขาล้วนไม่ได้จริงจังกับมัน
สาเหตุหลักมาจากแอนนาแข็งแกร่งเกินไป พวกเขาไม่คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับแอนนา พวกเขาแค่คิดว่านางออกไปเดินเล่น
พวกเขาไม่รู้เลยว่าแอนนาหมดสติไปตั้งแต่เมื่อสามวันก่อนแล้ว!
อีกฟากหนึ่ง ชายหนุ่มรูปงามผู้แสนเจิดจ้าบางคนที่หล่นลงมากระแทกคน เวลานี้รู้สึกตัวแล้ว เขาขมวดคิ้วแน่นแล้วร้อง “ซี้ด”
หรงเจ๋อรู้สึกเจ็บไปทั้งตัว เขานึกย้อนกลับไปแล้วเข้าใจอย่างคลุมเครือว่าหลังจากที่เขาลงไปที่เมืองจิ่วเหลียน เขาก็บังเอิญหล่นลงไปในรอยแยกมิติหรืออะไรสักอย่าง จากนั้นก็ถูกจับยัดลงหม้อตุ๋น ถ้าไม่ใช่เพราะกายาเขาแข็งแกร่งมากพอ ป่านนี้คงวิญญาณแตกสลายไปแล้ว เจ็บมากจริงๆ
แต่…ข้างล่างเขาทำไมนุ่มนิ่มจัง
หรงเจ๋อที่สับสนเล็กน้อยลูบพื้นด้านล่างและรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง!
แต่หรงเจ๋อไม่คิดอะไรมาก เพราะเขารู้สึกว่ามันสบายไม่เลว เพราะเขายังคงเจ็บร้าวไปทั่วทั้งตัว จึงไม่คิดที่จะย้ายที่และพักอยู่ที่เดิมตรงนั้น ท้ายที่สุดสภาพเขาในเวลานี้ก็ไม่สะดวกที่จะเคลื่อนไหวจริงๆ
“ไม่รู้ว่าอี้เอ๋อร์จะเป็นอย่างไรบ้างแล้ว แต่เดิมลงไปเพื่อช่วยเขา คิดไม่ถึงข้าใจร้อนเกินไป ดันหลงทางเสียได้” หรงเจ๋อเสียใจมาก แต่ก็ไม่ได้กังวล เพราะเขารู้ว่าท่านแม่ พี่ใหญ่ และพี่สะใภ้ใหญ่ล้วนมากันหมดแล้ว..
ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขามา เขาก็คงไม่รีบลงมาเร็วขนาดนี้ ผลลัพธ์คือ…
ช่างเถิด อย่าไปพูดถึงมันอีกเลย
สรุปคือหลบท่านแม่ก่อน ถูกนางทุบตีน้อยลงยกหนึ่งก็เป็นเรื่องดี
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หรงเจ๋อซึ่งกำลังฟื้นตัวก็ล้มตัวลงนอน หลับไปอีกครั้ง
ไม่ได้รู้เลยว่าพื้นที่เขานอนทับอยู่นั้นเป็นสตรี! แถมยังเป็นนางปีศาจด้วย!
……
อีกสองวันต่อมา
นิมิตในสวรรค์เก้าชั้นฟ้าก็ค่อยๆ หายไป
แต่เหนือทะเลสาบสือซ่าไห่ ยังมีแสงตกลงมาอย่างต่อเนื่อง
แสงเหล่านั้นคล้ายกับจะปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าและหายไปจากอากาศอย่างไร้ร่องรอย เป็นเช่นนี้ซ้ำๆ ไม่หยุด
ในเวลาเดียวกัน
เมืองจิ่วเหลียนก็ประสบกับการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้โลกสั่นสะเทือนเช่นกัน
คฤหาสน์ตระกูลถังและเมืองถังถูกทำลายแล้ว
ห้องโถงของบรรพบุรุษตระกูลถังเองก็หายไปตาม และแม้แต่แท่นบูชาของตระกูลถังก็ไม่หลงเหลืออีกต่อไป
ภูเขาและท้องทะเลโบราณที่มาจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้าได้ควบแน่นและก่อตัวขึ้น ณ ที่ตั้งเดิมของเมืองถัง
กล่าวได้ว่า เมืองถังได้ ‘ลอกคราบ’ กลายเป็นขุนเขาและท้องทะเลโบราณของสวรรค์เก้าชั้นฟ้าแล้ว ส่วนคฤหาสน์ตระกูลถังซึ่งตั้งอยู่จุดแกนกลาง ตอนนี้ก็ถูกแทนที่ด้วยจักรวาลดั้งเดิมของเยี่ยนอวี๋!
ใช่แล้ว เจ้าตัวเล็กบางคนที่ตื่นขึ้นมา พบว่าเขาได้กลับบ้านแล้ว?!
“อะเน้ะ?”
เยี่ยนเสี่ยวเป่าผู้จ้ำม่ำมองไปรอบๆ อย่างสับสน จากนั้นเขาก็ขยี้ตาซ้ำแล้วซ้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีกและพบว่าภาพตรงหน้าไม่เปลี่ยนไป เช่นนั้นเขากลับบ้านแล้ว?!
เยี่ยนเสี่ยวเป่าเกาหัว ไม่เข้าใจ ขณะที่เขากำลังคิดจะลุกขึ้น กลับเกาหัวอีกครั้ง แล้วเขาก็ค้นพบว่าศีรษะของเขาไม่โล้นอีกต่อไปแล้ว!
“อ้า!” เยี่ยนเสี่ยวเป่ากรีดร้องอย่างตื่นเต้น ฉับพลันคำพูดแผ่วเบาของบิดาก็ดังก้องอยู่ในหูของเขา “เจ้ารบกวนท่านแม่แล้ว!”
เยี่ยนเสี่ยวเป่ารีบยกมือขึ้นปิดปากเล็กๆ ลอยขึ้นอย่างเงียบๆ และมองไปรอบๆ อีกครั้ง เมื่อเขาเห็นบิดาของเขาอยู่ไกลๆ เขาก็รีบพุ่งไปหาบิดา ทว่าไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่นิดเดียว
รอจนกระทั่งโผเข้าสู่อ้อมกอดบิดา เจ้าตัวเล็กบางคนถึงตะโกนอย่างตื่นเต้นว่า “พ่อ! เป่า เป่ามีผมแล้ว!”
“ข้าเห็นแล้ว” หรงอี้มอง ‘ขน’ บนศีรษะของเจ้าตัวเล็กก็ไม่อยากทำร้ายจิตใจเขา ยังเอ่ยชมเขาคำหนึ่งว่า “น่ามองดี” เหมือนกับปุยเล็กๆ ของผูกงอิง[3] ทั้งบาง ทั้งนุ่มและเกือบจะโปร่งใส แทบจะมองไม่ออกว่ามีผมแล้ว
แต่เมื่อพิจารณาถึงความพยายามอย่างหนักของเจ้าตัวเล็ก หรงอี้ก็ลูบศีรษะเล็กๆ ของเขาแล้วกระชับเจ้าตัวเล็กเข้าสู่อ้อมกอด น่าสงสาร
เยี่ยนเสี่ยวเป่าไม่รู้สึกว่าตัวเองน่าสงสารแต่อย่างใด เขามีความสุขมาก “ยาว ผมยาวๆ!”
“ใช่ ผมยาวแล้ว” หรงอี้พยักหน้าและคิดว่านี่เป็นการเริ่มต้นที่ดี แม้ว่าจะไม่มีการรับประกันว่ามันจะไม่หดกลับไปอีกในอนาคต
แต่…
จิ่วอิงที่เบิกดวงตาทั้งสิบแปดดวงกลับพูดว่า “อยู่ไหน ผมขึ้นตรงไหน ทำไมปู่จิ่วคนนี้ไม่เห็น”
“ตรงนี้!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าจับศีรษะเล็กๆ ของเขาอย่างจริงจังแล้วพูดว่า “บนหัว! นี่ไง! มีผม!”
“อยู่ไหน” จิ่วอิงพิจารณาอยู่นาน แต่ไม่คิดว่าเด็กน้อยคนนี้จะงอกผมแล้ว ไม่ใช่ว่าก็ดูโล้นเหมือนเดิมหรือ
“ใมีสิ!” เยี่ยนเสี่ยวเป่ายื่นศีรษะเล็กๆ ของเขาไปทางจิ่วอิง “ปู่จิ่ว ตาบอด เห็น ชัดเจน!”
จิ่วอิง “…”
มันที่ถูกด่าว่าตาบอด ตอนนี้เห็นขนปุกปุยเล็กๆ แล้ว และทันใดนั้นมันก็พูดไม่ออก ไม่รู้ว่าจะเอื้อนเอ่ยอย่างไรดี
เจ้าตัวเล็กดันจี้ถามอีกว่า “เห็น ไหม!”
“…เห็นแล้ว” จิ่วอิงพูดตามจริง “แต่มันแทบไม่เห็นเลย ไม่ต่างอะไรกับสภาพหัวโล้นปกติ”
เมื่อเจ้าตัวเล็กบางคนได้ยิน เขาก็ไม่มีความสุขแล้ว “ฮึ่ม~”
“เอาเถิด ถึงอย่างไรก็ยังมีความแตกต่างอยู่!” จิ่วอิงพูดอย่างฝืนมโนธรรมในใจ
“╭(╯^╰)╮” เยี่ยนเสี่ยวเป่ายังคงพองแก้ม ถลึงตาเล็กๆ จ้อง ดูน่ารักอย่างมาก
อย่างไรเสียจิ่วอิงก็ไร้เรี่ยวแรงต่อต้าน ทำได้เพียงเอ่ยปลอบเขาไปอย่างจอมปลอมว่า “ดูดีมาก! เสี่ยวเป่าที่มีผมงดงามมาก!”
ดวงตาของเยี่ยนเสี่ยวเป่าโค้งเล็กน้อย เขาไม่ได้ยิ้ม แต่เห็นได้ชัดว่ากำลังพยายามรักษาหน้าตาอยู่
จิ่วอิงรู้สึกขบขัน เริ่มอิจฉาขึ้นมานิดๆ แล้วจึงรีบโผล่หัวออกไปแล้วพูดว่า “มาเถอะ ปู่จิ่ว พาเสี่ยวเป่าออกไปเล่นดีหรือไม่”
“ไม่!” เยี่ยนเสี่ยวเป่ากอดบิดาของเขาแน่น ปฏิเสธปู่จิ่วที่พูดจาไม่น่าฟัง ยังปัดไหล่ของบิดาราวกับว่าจะพยายามปีนขึ้นไปบนไหล่ของเขา แต่โชคไม่ดีที่เขาอ้วนจึงปีนไม่ขึ้น…
“เอ้า?” เยี่ยนเสี่ยวเป่าพบว่าขาของเขาอวบอ้วน เมื่อก้มมองดูมือเล็กๆ ก็พบว่ามือของเขาก็เต็มไปด้วยไขมันเช่นกัน และเมื่อเขาสัมผัสใบหน้าของเขาอีกครั้ง เขารู้สึกถึงก้อนเนื้อ~
รูปร่างที่จ้ำม่ำและท่าทางที่เงอะงะนั้น ทำให้จิ่วอิงรู้สึกคันมือมาก “เอ๋ เอ๋ เสี่ยวเป่า มาให้ปู่จิ่วอุ้มเจ้าหน่อยเร็ว”
หรงอี้ที่ห่อเจ้าตัวเล็กนุ่มนิ่มไว้อย่างดีกลับพูดว่า “ปู่จิ่วออกไปเดินเล่นข้างนอก ก็ดูหน่อยสิว่าเมืองจิ่วเหลียนตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้น ข้าจะพาเสี่ยวเป่าไปด้วย!” จิ่วอิงต่อสู้อย่างหนัก
“ได้~” เยี่ยนเสี่ยวเป่าเห็นด้วย เขาก็อยากออกไปเล่นเหมือนกัน
แต่บิดาของเขากลับพูดว่า “เสี่ยวเป่าไม่ไป”
“เสี่ยวเป่าบอกแล้วว่าอยากไป!” จิ่วอิงพูดอย่างหนักแน่น เมื่อสักครู่นี้เขาได้ยินว่าเสี่ยวเป่าตกลงแล้ว จะกลับคำพูดได้อย่างไร!
อย่างไรก็ตาม
“เจ้าฟังผิดแล้ว” หรงอี้กระชับเด็กอ้วนในอ้อมแขน รู้สึกว่าสัมผัสไม่เลวจึงไม่คิดที่จะปล่อยมือ
จิ่วอิงเบิกตากว้าง ขณะที่มันกำลังจะพูดอะไรบางอย่างเพิ่มเติม
เจ้าตัวเล็กก็แทรกขึ้นว่า “ใช่! ฟัง ผิด~”
จิ่วอิง “!”
เอาเถิด…
เจอสองพ่อลูกที่อาศัยรูจมูกเดียวกันหายใจ[4] และชำนาญเรื่องกลับดำเป็นขาวแบบนี้ มันจะทำอะไรได้ ได้แต่ต่อปากต่อคำเล็กน้อย ไม่อย่างนั้นเล่า
“เช่นนั้นข้าไปก่อน แล้วจะรีบกลับมา” หลังจากที่จิ่วอิงพูดแบบนั้น เขาก็ออกไปเดินเล่น
ในเวลานี้ เยี่ยนเสี่ยวเป่านอนอยู่ในอ้อมแขนของบิดาอย่างเชื่อฟัง รับรู้ถึงความรู้สึกห่วงใยจากบิดาซึ่งหาได้ยาก เขารู้สึกมีความสุขมาก ~
หรงอี้ซึ่งอุ้มเจ้าตัวเล็กไว้ในอ้อมแขน ยังคงให้ความสนใจกับภรรยาเขาซึ่งอยู่ไม่ไกล เขาไม่กล้าเข้าใกล้นางเกินไปนัก ประเดี๋ยวจะไปรบกวนสภาวะนี้ของภรรยา
หลังจากนั้นไม่นาน…
เจ้าตัวเล็กบางคนก็ขยับเบาๆ แล้วเรียกเขาว่า “พ่อ~”
“หืม”
“แม่ เมื่อไหร่ จะเสร็จ?”
“เกือบแล้ว” หรงอี้ประเมิน ภรรยาเขาน่าจะตระหนักรู้ถึงจุดสุดท้ายแล้ว สวรรค์เก้าชั้นฟ้า เมืองจิ่วเหลียน และโลกพระสุเมรุ บัดนี้ได้หลอมรวมกันเรียบร้อย เหลือเพียงขั้นตอนสุดท้ายเท่านั้น
จู่ๆ เจ้าตัวเล็กบางคนก็นึกบางอย่างขึ้นได้ เขารีบเงยหน้าขึ้น พูดด้วยสีหน้าตึงเครียดว่า “พ่อ!”
“มีอะไร” หรงอี้มองลูกชายที่ทำหน้าเครียดในอ้อมแขน รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขาสงสัยว่าทำไมเจ้าตัวเล็กถึงได้ลนลานแบบนี้
เจ้าตัวเล็กบางคนคว้าปกเสื้อของบิดาแล้วปีนขึ้นไป กระซิบข้างหูบิดาเบาๆ ว่า “มี คน แอบ ดู เป่า!”
“โอ้?” หรงอี้คิดว่าเขารู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ยังถามไปว่า “ใครหรือ”
“ไม่ รู้!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งถึงพูดว่า “แค่ แอบๆ เป่า มองไม่เห็น!”
“เมื่อไหร่”
“ก่อน นอน นอน!”
“โอ้” หรงอี้สรุปสิ่งที่เขาคิดในใจแล้ว
เจ้าตัวเล็กกลับร้อนใจเล็กน้อย “อย่า โอ้ พ่อรู้ ใครหรือ”
“ปู่ของเจ้า” หรงอี้ตอบอย่างมั่นใจ
“อะไรนะ!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าชะงักกึก เขาบิดตัวกลับไปแล้วมองไปยังทิศทางที่จิ่วอิงหายไป แต่ก็ส่ายหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ไม่ใช่ ปู่จิ่ว!”
“ปู่ของเจ้า พ่อของพ่อ” หรงอี้อธิบายอย่างอดทน ท้ายที่สุด พวกเขากำลังจะไปพบกับครอบครัวของเขาในเร็วๆ นี้ ดังนั้นสอนเจ้าตัวเล็กให้รู้ก่อน
“อ้อ~” เยี่ยนเสี่ยวเป่าคล้ายเข้าใจแต่ก็เหมือนไม่เข้าใจ ทว่าเขาสนใจเรื่องเดียว “ดี ไหม”
หรงอี้พยักหน้า “ดี” ก็แค่จอมปลอมนิดหน่อย แต่ก็เข้าใจได้ ท้ายที่สุดบุตรชายก็ไม่สำคัญเท่ากับภรรยาจริงๆ
เยี่ยนเสี่ยวเป่ารู้สึกโล่งใจ เขาซบไหล่บิดาของเขาโดยตรง มองไปที่มารดาซึ่งยังคงส่องแสงอยู่และอดไม่ได้พูดอย่างมีความสุขว่า “แม่ งาม!”
พูดจบแล้ว เจ้าตัวเล็กก็อยากจะลงมาเดินเอง
หรงอี้กล่าวว่า “ห้ามไปรบกวนแม่ของเจ้า”
“ข้า รู้! ไม่ไป เดินเล่น ตรงนี้” เยี่ยนเสี่ยวเป่าบอกว่าเขาแค่อยากเดินบนพื้นเพื่อดูว่าเขาโตขึ้นแค่ไหนแล้ว!
หรงอี้ไม่รู้ว่าเด็กน้อยกำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อเขาวางเจ้าตัวเล็กลง เขาก็ตระหนักได้ว่าเจ้าตัวเล็กกำลังกอดต้นขาเขาและกำลังเทียบความสูง?
หลังจากนั้นไม่นาน…
“คิก!”
เยี่ยนเสี่ยวเป่าหัวเราะอย่างมีความสุข เขาโตขึ้นมาก เกือบจะสูงถึงหัวเข่าของบิดาแล้ว~
ในความเป็นจริง เขาต้องเงยหน้าขึ้นมองเข่าของบิดา แต่เขาสูงขึ้นกว่าเดิมมากเมื่อเทียบกับน่องของบิดา เขาโตขึ้นแล้วจริงๆ
หรงอี้ก้มมองเจ้าตัวเล็กที่อยู่ข้างขา ครู่หนึ่งถึงเข้าใจว่าเด็กคนนี้กำลังใช้ขาของเขาเป็นมาตรวัดความสูง ริมฝีปากบางยกขึ้นเล็กน้อย เจ้าตัวเล็กนี่ โง่ได้น่ารักจริงๆ
แต่…
เด็กโง่ที่ถูกหรงอี้ ‘รังเกียจ’ กลับน่ารักมากในสายตาของเยี่ยเชียนหลีและอวิ๋นจื่อซี น่ารักมากจนทนไม่ไหว!
อวิ๋นจื่อซีแสดงออกว่านางทนรอต่อไปไม่ไหวแล้ว “หวงหวง เราจะลงไปได้เมื่อไหร่! เหลนชายของข้าน่ารักมากเหลือเกิน เขาเหมือนกับมั่วมั่วในวัยเด็กมาก แถมยังยิ้มหวานมากด้วย~”
“ท่านแม่ ฝ่าบาทเมื่อตอนเป็นเด็กก็เป็นแบบนี้หรือ” เยี่ยเชียนหลีกล่าวว่านางจินตนาการไม่ออก นางคิดเสมอว่าฝ่าบาทคงเป็นเหมือนกับอี้เอ๋อร์ตอนเด็กที่สูงศักดิ์และภาคภูมิใจ ไม่คิดว่าจะน่ารักน่าหยิกแบบนี้
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หรงมั่วก็รีบมองไปที่มารดาและกระแอมไอเบาๆ
อย่างไรก็ตาม อวิ๋นจื่อซีซึ่งหมกมุ่นอยู่กับรูปลักษณ์ที่น่าหยิกของเหลนชาย ไม่รับรู้ถึงสายตาบอกใบ้จากผู้เป็นบุตรชายสักนิด นางพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ใช่แล้ว! เหมือนกันทุกประการ! น่ารักมาก~”
หรงมั่ว…
เขาต้องยอมรับว่าหลานชายคนนี้ เหมือนกับเขาตอนเด็กราวกับเคาะออกมาจากพิมพ์เดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหรืออุปนิสัย เมื่อตอนเป็นเด็กเขาก็ชอบหัวเราะและเล่นกับตัวเองแบบนี้
จู่ๆ เยี่ยเชียนหลีก็มองไปที่ฝ่าบาทของนางอย่างปวดใจ นึกไม่ออกเลยว่าฝ่าบาทผู้อ่อนโยนและน่ารักพอๆ กับลูกน้อยของอี้เอ๋อร์ ทำไมในตอนที่นางพบกับเขาครั้งแรก เขาถึงได้เย็นชา ไม่ยิ้ม และถอยห่างจากผู้คนขนาดนั้น
อาจเป็นเพราะฝ่าบาทยังเด็กมากในตอนที่เขาต้องแยกจากครอบครัว เมื่อเทียบกับอี้เอ๋อร์แล้ว ความทุกข์ทรมานของฝ่าบาทนั้นไม่นานแต่กลับยากมากกว่า
เด็กถึงเพียงนั้น…เขาผ่านมันมาได้อย่างไร
หัวใจของเยี่ยเชียนหลีปวดหนึบ
เมื่อหรงมั่วเห็นใบหน้าที่เศร้าสร้อยและปวดใจของภรรยา เขาก็คิดในใจว่าการที่มารดาพูดเรื่องในวัยเด็กของเขา บางทีอาจไม่ใช่เรื่องเลวร้าย
ตอนนี้เอง หรงหวงก็กล่าวขึ้นว่า “เก็บกลิ่นอายของทุกคนให้ดี ลงไปได้แล้ว”
อวิ๋นจื่อซีซึ่งกำลังหดหู่ใจเพราะคิดถึงมั่วมั่วในวัยเด็ก หันขวับไปมองหวงหวงของนางทันที “จริงหรือ”
“แน่นอน” หรงหวงจับมือของภรรยาแล้วพานางลงไปที่เมืองจิ่วเหลียน เขาไม่ต้องการทำให้ภรรยาผิดหวังและไม่อยากเห็นนางจมอยู่ในความทรงจำเลวร้าย
ดังนั้น…
เยี่ยนเสี่ยวเป่าซึ่งกำลังกอดขาของบิดา จู่ๆ ก็เห็นคนลงมาอยู่ตรงหน้า
เจ้าตัวเล็กบางคนเงยหน้าขึ้นมองโดยไม่รู้ตัว “พ่อ!” ท่านพ่ออีกคน?!
หรงหวงที่เพิ่งจะปรากฏตัว ชะงักเล็กน้อยเมื่อถูกเรียกว่า ‘พ่อ’
ผลคือ…
เมื่อหรงมั่วที่ลงมาพร้อมกับภรรยาของเขาปรากฏตัว จากนั้น…
เยี่ยนเสี่ยวเป่ามองไปที่หรงมั่ว เรียกเขาด้วยน้ำเสียงสับสนว่า “พ่อ!” ยังมีท่านพ่ออีกคน?!
และก่อนที่เยี่ยนเสี่ยวเป่าผู้วิงเวียนเล็กน้อยจะเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด เจ้าสี่หรงและเจ้าสามหรงก็ลงมาด้วย
เยี่ยม!
เยี่ยนเสี่ยวเป่าตะลึงงัน “พ่อ?” สามคน สี่คน?!
เยี่ยนเสี่ยวผู้โง่งม พยายามยิ่งเพื่อเงยหน้าเล็กๆ ขึ้นมองบิดาที่เขากำลังกอดขาอยู่ ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจจริงๆ “พ่อ?”
[1] กินอาหารสุนัข ใช้กับสถานการณ์เมื่อคนโสดเห็นคู่รักแสดงความรักในที่สาธารณะแล้วเกิดรู้สึกอิจฉา
[2] ปลาเค็ม อุปมาว่า ใช้ชีวิตอย่างเกียจคร้าน ไร้จุดมุ่งหมาย
[3] ผูกงอิง หมายถึง ดอกแดนดิไลออน
[4] อาศัยรูจมูกเดียวกันหายใจ หมายถึง พวกเดียวกัน