บทส่งท้าย 20 คนสี่รุ่นร่วมชายคาบรรยากาศอบอุ่น
พูดตามตรง หรงอี้เองก็ชะงักไปเช่นกัน เขาไม่คิดว่าเจ้าเด็กโง่คนนี้จะมองปู่หวง บิดาปลอมๆ ของเขาและท่านอาของเขาว่าเป็นเขาทั้งหมดแบบนี้
แต่…
เมื่อคิดว่าเขาเคยมีร่างแยกที่มีพลังหลากหลายรูปแบบ แถมแต่ละคนก็เหมือนกับเขาทุกประการ ในใจของหรงอี้ก็พอจะเข้าใจแล้ว ขณะที่เขากำลังจะอธิบายให้เจ้าตัวเล็กฟังอย่างละเอียดว่าทั้งสามคนนี้แตกต่างจากร่างแยกก่อนหน้านี้ของเขาโดยสิ้นเชิงอย่างไร
ไม่ทันรอให้หรงอี้อธิบาย พระสุเมรุก็หัวเราะ “เหอะ”
หรงหวงคุกเข่าลงพร้อมกับหัวเราะเบาๆ อุ้มเด็กน้อยน่ารักที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมาไม่พอ ขณะที่กำลังยืนขึ้น เขาก็โยนเจ้าตัวเล็กขึ้นไปในอากาศ!
เจ้าตัวเล็กบางคนเดิมรู้สึกสับสนมาก! ร่างเล็กๆ ของเขาตึงเครียด แต่สัญชาตญาณหนึ่งร้องบอกเขาว่า ‘ท่านพ่อ’ ตรงหน้าคนนี้ไม่ได้มีเจตนาร้าย แถมยังให้ความรู้สึกใกล้ชิดมากๆ มากๆ เหมือนกับความรู้สึกเมื่อสักครู่นี้ที่เขากอดท่านพ่อทุกประการ!
ดังนั้นในตอนที่ ‘ท่านพ่อ’ อุ้มเขาและโยนเขา แม้ว่าเขาจะประหม่านิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้ขัดขืน เพียงแต่ว่าเมื่อร่างของเขาตกลงมาจากกลางอากาศ เขาก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย เจ้าตัวเล็กจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองบินได้ หลักๆ คือตอนนี้เขาช็อกไปแล้ว
หรงหวงหัวเราะเสียงดังลั่นแล้วพูดว่า “เด็กคนนี้…” โง่งม แต่ก็น่ารักมากจริงๆ เมื่อเทียบกับสัตว์ประหลาดตัวน้อยในอดีต เขาน่ารักมากกว่ามาก
เมื่อเยี่ยนเสี่ยวเป่าได้ยินเสียงหัวเราะ ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย~
หรงหวงโยนเหลนชายตัวน้อยที่แสนน่ารักและนุ่มนิ่มขึ้นไปในอากาศอีกครั้ง เขาอยากรู้ว่าเด็กคนนี้จะโง่ได้นานแค่ไหน
อย่างไรก็ตาม
“คิก~”
เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่ถูกโยนขึ้นไปในอากาศหัวเราะ! เขาได้ข้อสรุปแล้วว่า ‘ท่านพ่อ’ คนนี้ไม่มีเจตนาร้ายและอยากเล่นกับเขาจริงๆ เขาย่อมมีความสุขมาก~
กลับเป็นหรงหวงที่ถูกเสียงหัวเราะ “คิก” ที่คุ้นเคยนี้ดึงกลับไปสู่อดีตอันไกลโพ้น ไปถึงวันที่มั่วมั่วบุตรชายคนโตของเขาเกิด จากนั้นก็เป็นมั่วมั่วในวัยทารก
ตอนนั้นเสียงหัวเราะของมั่วมั่วเองก็เป็นแบบนี้ นุ่มนิ่ม หวาน และเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ ทำให้ทุกคนเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของเขามีความสุขไปพร้อมกับเขาโดยไม่รู้ตัว
ในตอนนั้น มั่วมั่วก็โตประมาณนี้ สามารถยกเขาด้วยมือข้างเดียว
ในตอนนั้น เขาเชื่ออย่างแน่วแน่ว่าเขาจะสามารถมองดูมั่วมั่วเติบโต จากนั้นค่อย ‘โยนคนออกนอกบ้าน’ รอจนกระทั่งแต่งภรรยาแล้ว เขาก็จะไม่มาแย่งซีเอ๋อร์กับเขาแล้ว
ทว่าต่อมา ทุกอย่างล้วนพังทลาย…
เมื่อพลังของเขาตื่นขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย มั่วมั่วของเขาซึ่งอายุเพียงห้าขวบก็ไปจากเขาและซีเอ๋อร์ แม้ว่าต่อมาเขาจะขึ้นมาปกครองพระสุเมรุทั้งหมด แต่เขาก็ยังไม่สามารถไปอยู่ข้างๆ มั่วมั่ว มองดูเขาเติบใหญ่ได้ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
ต่อมาอีกครั้ง มั่วมั่วกลับมาแล้ว แต่เขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาที่เคยจินตนาการว่าจะจับเขา ‘โยนออกนอกประตู’ ตอนนี้อยู่ในวัยที่แต่งภรรยาได้แล้ว มั่วมั่วเองก็พาภรรยาของเขากลับมาจริงๆ ไม่มาแย่งซีเอ๋อร์กับเขาอีกต่อไป
แต่…
ความเสียใจในใจของเขา นับจากนั้นมิอาจหาสิ่งใดมาชดเชยได้อีกตลอดกาล
เขาถูกลิขิตให้ไม่อาจมองดูมั่วมั่วเติบใหญ่ ถูกลิขิตให้ไม่อาจจับมือสอน (แกล้ง) เขา เพลิดเพลินไปกับความสุขพร้อมๆ กับความปวดหัวที่ผู้เป็นบิดาคนหนึ่งควรมี
แม้ว่าจะยังมีเจ้าแฝดสามอยู่รอบตัว แต่…
หรงหวงรู้ชัดในใจว่าใจเขาลำเอียง เขารักมั่วมั่วบุตรชายคนโตมากกว่าบุตรทุกคน ท้ายที่สุดเขาคือลูกคนแรกของเขา กระทั่งถึงตอนนี้เขาก็ยังจำได้ดีว่ามั่วมั่วยิ้มให้กับเขาอย่างอ่อนโยนเพียงใด เหมือนกับตอนนี้ เสียงหัวเราะดัง ‘คิก’ ช่างไร้เดียงสาและบริสุทธิ์ น่ารักเหมือนกับภูติตัวน้อยๆ
เป็นเพราะมั่วมั่วไปจากเขาโดยสิ้นเชิงตั้งแต่อายุน้อยเพียงนั้น ทำให้เขายิ่งรู้สึกผิด โทษตัวเอง และปวดใจต่ออีกฝ่าย
ความทรงจำไหลย้อนกลับมาอีกครั้ง…
เวลานี้หรงหวงถึงเพิ่งตระหนักได้ว่าในใจเขารู้สึกเสียใจเพียงใด เขาเสียใจและปวดใจมากกว่าที่เขาคิด เพียงแต่ว่าเขาปลอบใจตัวเองว่าไม่ว่าอดีตจะเป็นอย่างไร เสียใจก็ไม่มีประโยชน์ สมควรทะนุถนอมสิ่งตรงหน้า ให้ความสำคัญกับมันและชดเชยมันจะดีกว่า
แต่…ตอนนี้
เมื่อมองดูเหลนชายที่กำลังหัวเราะอย่างตื่นเต้นหลังจากที่ถูกเขาโยนขึ้นที่สูง เขาก็ตระหนักว่าเขาเสียใจมาก มากจริงๆ ทำไมในปีนั้นเขาถึงไม่รู้ตัวเร็วกว่านี้
เขาพลาดการเติบโตของมั่วมั่วไปแล้ว สุดท้ายก็คือพลาดแล้ว จะชดเชยมันอย่างไร
หลายปีมานี้…
เขาไม่เคยทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจ มีเพียงอดีตของบุตรชายคนโต ที่เขาเสียใจและรู้สึกผิดที่สุด
จักรพรรดิผู้อยู่เหนืออาณาจักรทั้งปวง เจ้าผู้ปกครองอาณาจักรทั้งปวงที่มีอำนาจสามารถกระทำได้ทุกสิ่ง
ในพระสุเมรุ เขายิ่งเป็นตัวตนที่สูงส่งและยากเกินกว่าจะเอื้อมถึง
กับภรรยาสุดที่รัก เขาประสบความสำเร็จในการปกป้องและทะนุถนอมนาง
กับบุตรชายคนเล็กทั้งสาม เขาทำหน้าที่บิดา สั่งสอน ปกป้อง และเลี้ยงดูพวกเขาจนเติบใหญ่มิได้มีสิ่งใดบกพร่อง
ยกเว้นเพียงกับมั่วมั่วบุตรชายคนโตที่เขาทำหน้าที่บิดาได้ไม่ดีพอ ล้มเหลวในการเป็นที่พึ่งให้กับเขาในวัยเด็ก ทำให้เขาต้องเร่ร่อนอยู่ข้างนอกนานเพียงนั้น แม้ว่าเขาจะเฝ้ามองเขาจากระยะไกลไม่ขาด สุดท้ายมันก็ยังไม่เหมือนกัน
วินาทีนี้ ในบรรดาคนที่อยู่ตรงนี้ทั้งหมด มีเพียงอวิ๋นจื่อซีเท่านั้นที่จับสังเกตถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนไปและความโศกเศร้าในใจของหรงหวงได้ แม้ว่าตอนนี้เขาจะยิ้ม หัวเราะ และกำลังหยอกล้อเหลนชายอย่างมีความสุขก็ตาม
แต่อวิ๋นจื่อซีรู้ว่าจริงๆ แล้วเขาเศร้ามาก
อวิ๋นจื่อซีร้องไห้ นางเข้าใจแล้วเหมือนกันว่าทำไม…
ดังนั้นนางจึงไม่ได้ก้าวขึ้นไปรบกวนการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างหนึ่ง ‘ชายชรา’ และหนึ่งเด็กน้อย เพราะนางรู้ว่าเขาต้องการอยู่กับเหลนชายตัวน้อยของเขา ‘เพียงลำพัง’
เหลยชายตัวน้อยคนนี้ เหมือนกับมั่วมั่วในวัยเด็กมาก แม้แต่เสียงหัวเราะก็ยังเหมือนกันราวกับแกะ
อวิ๋นจื่อซีรู้ดีว่าการ ‘จากไป’ บุตรชายคนโตในวัยเยาว์นั้นไม่เพียงแต่เป็นความเจ็บปวดที่ใหญ่ที่สุดในใจของนาง มันยังเป็นบาดแผลที่ลึกที่สุดในหัวใจของสามีนางด้วย
พระสุเมรุมีอำนาจและกระทำได้ทุกสิ่ง แต่กลับมิอาจเคียงข้างเฝ้าดูบุตรชายคนโตของตัวเองเติบโต สำหรับเขาแล้วนี่เป็นเรื่องที่ย้อนแย้งมากและก็เป็นแผลในใจที่ไม่อาจรักษาให้หายขาดได้ตลอดกาล
แม้ว่ามั่วมั่วจะกลับมาอย่างปลอดภัยและสร้างครอบครัวของตัวเองได้สำเร็จ แต่เวลาที่เสียไปก็ไม่สามารถเรียกคืนกลับมาได้ ดังนั้นความใจดีและการตามใจที่เขามีต่อเจ้าตัวเล็กอีกสามคน ไฉนเลยจะไม่ใช่การ ‘ชดเชย’ รูปแบบหนึ่ง
สิ่งเหล่านี้…อวิ๋นจื่อซีล้วนเข้าใจ
นางกระทั่งรู้ด้วยซ้ำว่าเมื่ออี้เอ๋อร์ตกอยู่ในสถานการณ์ที่คล้ายกับบุตรชายเมื่อปีนั้น สามีนางก็นับรวมว่าเป็นความผิดของตัวเองทั้งหมด ในใจของเขา…
เขารู้สึกว่าถ้าเขาไม่ทำมั่วมั่ว ‘สูญหาย’ สามารถเฝ้าดูมั่วมั่วจนกระทั่งโตเป็นผู้ใหญ่ ก็คงไม่ทำให้อี้เอ๋อร์ซึ่งยังอยู่ในครรภ์ของมารดาประสบกับความเจ็บปวดจากการ ‘สูญเสียบิดาไป’
อวิ๋นจื่อซีเข้าใจทุกอย่าง แต่นางไม่อาจแล้วก็ไม่มีทางไปสะกิดบาดแผลที่เจ็บปวดที่สุดในใจของสามีจึงทำเพียงยืนเคียงข้างเขาอย่างเงียบๆ ได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่ง ปมนี้ในใจเขาจะค่อยๆ คลายออก
ในความเป็นจริง ก็เหมือนกับที่เขาปลอบนางหลายต่อหลายครั้ง สิ่งที่เกิดขึ้นในปีนั้นจะโทษเขาได้อย่างไร เขาต้องย้อนกลับไปยังสมัยบรรพกาลเพื่อหาวิธีจัดการกับฉีจวินร่วมกับนาง เขาในตอนนั้นยังไม่ปลุกพลังของพระสุเมรุให้ตื่นขึ้นมาด้วยซ้ำ ยิ่งไม่อาจควบคุมพลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดในร่างตามอำเภอใจได้…โนเวลพีดีเอฟ
ทุกอย่างในปีนั้น หากต้องโทษใคร อันที่จริงทุกคนล้วนมีความผิด จะตำหนิเขาเพียงคนเดียวได้หรือ โชคดีที่ทุกอย่างจบลงแล้วและตอนจบก็เป็นไปได้ด้วยดี
ตลอดหลายปีมานี้ อวิ๋นจื่อซียิ่งคิดก็ยิ่งกระจ่างชัด ยิ่งมาก็ยิ่งมองเรื่องราวทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่ง บุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้านางนี้ ถึงจะเป็นคนที่ขังตัวเองไว้ในความเจ็บปวด ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร ความเจ็บปวดก็ยิ่งบาดลึกเท่านั้น
ตอนนี้ดีแล้ว…
ลูกน้อยของอี้เอ๋อร์คนนี้ อาจช่วยคลายปมในใจของเขาได้
ชดเชยความเสียใจหรือ เรื่องนี้คงเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อความเสียใจนั้นมันเกิดขึ้นแล้ว ทำอย่างไรก็ไม่อาจชดเชยได้ แต่เขาสามารถปล่อยวางอดีตโดยสิ้นเชิงได้ เช่นเดียวกับที่เขาขอให้นางปล่อยวางมัน เขาเองก็ควรวางมันลงเสียที
มีบางเรื่องและความจริงบางอย่าง ไม่ว่าจะพูดมากแค่ไหน สิ่งเหล่านั้นก็ไม่ได้ดีเท่ากับการพบโอกาสที่เหมาะสม การจับคู่ที่สมบูรณ์แบบ สามารถแก้ปมในใจได้ดีที่สุด
ท้ายที่สุด ใครบ้างไม่รู้หลักการสวยหรู ในฐานะพระสุเมรุ เขายิ่งรู้มากกว่าใครๆ
แต่จะหลุดพ้นจากกรงเหล่านี้ได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับวาสนาและชะตาของแต่ละคนจริงๆ
แม้ว่าสามีนางจะเป็นจักรพรรดิแห่งอาณาจักรทั้งปวง เป็นพระสุเมรุผู้ทรงอำนาจก็ไม่เว้น
……
“คิก!”
“คิกคิก!…”
เจ้าตัวเล็กบางคนหัวเราะไม่หยุด เขาหัวเราะหนักมากจนแก้มเล็กๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง เห็นได้ชัดว่าเขาชอบการบินมากเพียงใด และมันก็ทำให้ใจที่อึดอัดของหรงหวงโล่งขึ้นมาก สีหน้าเขาดูผ่อนคลายขึ้น
หรงมั่ว หรงอี้ เยี่ยเชียนหลี รวมถึงสองพี่น้องหรงหลินและหรงซี เวลานี้ล้วนเงียบอย่างรู้กัน ไม่มีใครเข้าไปรบกวนปฏิสัมพันธ์ระหว่างหนึ่ง ‘ชายชรา’ และหนึ่งเด็กน้อยตรงหน้า
ผลลัพธ์คือ เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่เริ่มช้าลงเรื่อยๆ ตะโกนเรียก ‘ท่านพ่อ’ ไม่หยุด “พ่อ! พ่อ! รักพ่อ! บินสูงๆ~ คิก!…”
หร่งหวง “…”
เจ้าเด็กคนนี้ โง่จริงๆ และก็โง่อย่างน่ารักน่าหยิก
หรงอี้ “…”
เขาถอนหายใจอย่างเงียบๆ รู้สึก ‘อับอาย’ นิดหน่อย
สิ่งนี้ทำให้เขาซึ่งแต่เดิมต้องการอวดเจ้าตัวเล็กต่อหน้าบิดา เหลือบมองบิดาโดยไม่รู้ตัว
หรงมั่วที่มองมาที่ลูกของเขาซึ่งไม่ได้พบหน้ามานานมากแล้ว สายตาประสานกันทันที
จากนั้น
‘ประกายไฟ’ เปรี๊ยะปร๊ะ ก็แล่นผ่านดวงตาของทั้งคู่
หรงอี้รู้สึกเพียงฝ่ายเดียวว่าบิดาปลอมๆ ของเขาต้องล้อเลียนเขาอยู่แน่ๆ!
ส่วนหรงมั่วก็รู้สึกเพียงฝ่ายเดียวว่าเสือดาวตัวน้อย ต้องกำลังอวดความสามารถในการเลี้ยงลูกกับเขาอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม เสือดาวตัวน้อยเลี้ยงเจ้าตัวเล็กได้ดีมากจริงๆ ทั้งนุ่มนิ่ม จ้ำม่ำ และน่าหยิก
รอจนกระทั่งหรงหวงหยอกล้อเจ้าตัวเล็กบางคนเสร็จแล้ว สองพ่อลูกฝั่งนี้ก็ยังอยู่ระหว่างการ ‘เผชิญหน้ากันแบบตาต่อตา’
ส่วนเยี่ยนเสี่ยวเป่าที่หัวเราะหนักมากจนแทบขาดอากาศ เขาปีนขึ้นไปบนไหล่ของ ‘ท่านพ่อ’ อย่างงุ่มง่ามเล็กน้อย มือเท้าทั้งสี่ข้างรวมถึงลำตัวขยับไปมาอย่างมีความสุขมาก เสียงหัวเราะ “คิก~” ดังส่งมาไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าเขามีความสุขมากๆ
อวิ๋นจื่อซีอดใจไม่ไหวอีกต่อไป รีบเดินเข้าไปหาเหลนชายตัวน้อย “เด็กดี~ ข้าขออุ้มเจ้าหน่อยได้หรือไม่”
เยี่ยนเสี่ยวเป่าเบิกดวงตากลมโตฉ่ำน้ำน่ารัก มองพี่สาวคนงามตรงหน้าตาไม่กะพริบ
อวิ๋นจื่อซีเปลี่ยนนิสัยที่เหมือนกับโจรของนาง ไม่ได้ ‘ฝืนบังคับ’ เพียงยิ้มแล้วยื่นมือออกไป นางเชื่อว่าเหลนชายตัวน้อยของนางจะยินดีให้นางอุ้มอย่างแน่นอน~
แล้วก็เป็นอย่างที่คิด เยี่ยนเสี่ยวเป่ารู้สึกดีต่ออวิ๋นจื่อซีจริงๆ หลังจากมองนางอยู่พักหนึ่ง ร่างที่จ้ำม่ำก็อ้าแขนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนิ่มไร้เดียงสาว่า “อุ้ม~”
ใจของอวิ๋นจื่อซีละลายไปทั้งดวงแล้ว นางอุ้มเหลนชายตัวน้อยในอ้อมแขนแล้วพูดว่า “เด็กดี เจ้ารู้ความมากจริงๆ~”
“ฮี่~” เยี่ยนเสี่ยวเป่ายิ้มตาหยีเมื่อเขาได้รับคำชม ทำให้เยี่ยเชียนหลีที่กำลังดูอยู่ข้างๆ ฉับพลันก็คล้ายเห็นภาพซ้อนของบุตรชายจอมเย่อหยิ่งในวัยเด็ก
แต่เยี่ยเชียนหลีในเวลานี้ กลับหันความสนใจไปที่บุตรชายที่งดงามและมีบรรยากาศรอบตัวที่ไม่ธรรมดา นางอดใจไม่ไหวอีกแล้ว ก้าวขึ้นไปข้างหน้าแล้วสวมกอดบุตรชายที่พลัดพรากจากกันไปนานมาก “เสือดาวตัวน้อย~” พันปีแล้ว เป็นเวลาถึงหนึ่งพันปีเต็ม!
น่าเสียดายที่เยี่ยเชียนหลีเพิ่งกอดบุตรชายที่นางคิดถึงมานาน เจ้าตัวเล็กบางคนก็ตะโกนขึ้นว่า “กอด ไม่ ไม่ได้! ท่านพ่อ ของ ท่านแม่!”
“พรืด!” อวิ๋นจื่อซีที่อุ้มเจ้าตัวเล็กอยู่หลุดหัวเราะออกมาตรงๆ นางลูบศีรษะที่ฟูเล็กน้อยของเจ้าตัวเล็ก อุ้มเขาด้วยมือเดียว ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าสัมผัสนี้ช่างคุ้นเคย ทำให้นางคิดถึงมันมาก
“ไม่!” เจ้าตัวเล็กบางคนร้อนใจแล้ว เขาดิ้นสองครั้ง เห็นได้ชัดว่าต้องการบินไป ‘ปกป้อง’ บิดา
อย่างไรก็ตาม เยี่ยเชียนหลีปล่อยมือแล้วหันไปมองเจ้าตัวเล็กบางคน รอยยิ้มบนใบหน้าเจิดจ้ามาก “ทำไมหรือ แม้แต่ย่าก็กอดบิดาเจ้าไม่ได้หรือ”
เยี่ยนเสี่ยวเป่าเมื่อเห็นว่าบิดาเขาไม่ได้ถูกกอดแล้วก็หยุดดิ้น แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ตอบ…
หรงหวงก็อุ้มเจ้าตัวเล็กบางคนกลับไป ถามเขาด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าย่าคือใคร”
ทันใดนั้น เยี่ยนเสี่ยวเป่าก็ตอบเสียงดังอย่างเกินความคาดหมายว่า “รู้! เป่ารู้! ก็คือท่านแม่ ของท่านพ่อ~”
หรงหวงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขาไม่คิดจริงๆ ว่าเหลนโง่เขลาคนนี้จะรู้ เขายังคิดอยู่ว่าจะอธิบายอย่างไรเจ้าตัวน้อยนี่ถึงจะเข้าใจ ไม่คาดคิดว่าเขาจะเป็นเด็กโง่ที่มีความรู้? ฉลาดไม่เลว!
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ เยี่ยเชียนหลีก็ยิ้มแล้วถามว่า “ถ้าอย่างนั้นในฐานะมารดา ทำไมย่าถึงกอดบิดาเจ้าไม่ได้เล่า ก็เหมือนกับมารดาเจ้ากับเจ้า นางก็กอดเจ้าเหมือนกันไม่ใช่หรือ”
หรงหวงลดสายตาลง มองดูเหลนชายตัวน้อยแล้วอยากรู้จริงๆ ว่าเด็กนี่จะตอบอย่างไร ผลลัพธ์คือ…
เยี่ยนเสี่ยวเป่าปฏิเสธอย่างเกินความคาดหมายอีกครั้ง “ไม่ ได้! พ่อ โตแล้ว ไม่กอด~”
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” หรงหวงหัวเราะเสียงดังลั่น เขารู้สึกว่าเด็กน้อยคนนี้ถูกใจเขามากจริงๆ ไม่ถูกหรือ โตแล้วก็กอดไม่ได้แล้ว ขนาดเจ้าตัวเล็กไม่กี่คนนั้นตอนยังเด็ก พอกอดซีเอ๋อร์เขายังรู้สึกไม่สบอารมณ์เลย โตแล้วก็ยิ่งน่ารำคาญ วอนให้ทุบตี!
หรงอี้ก็หัวเราะเช่นกัน แต่เขายังคงยื่นมือออกไปกอดมารดาแน่น ไม่สนใจเสียงเตือนที่กดต่ำมากของบิดาปลอมๆ “ท่านแม่ ข้าสบายดีขอรับ ไม่ต้องกังวล”
เยี่ยเชียนหลีที่หัวเราะในตอนแรกเพราะขบขันกับหลานชายที่น่ารักน่าชังของนาง แต่ในตอนนี้ น้ำตานางไหลพราก นางกลั้นมันไว้ไม่อยู่อีกต่อไป
หรงมั่วก้าวขึ้นไปข้างหน้า คว้าภรรยาของเขาจากอ้อมแขนของบุตรชายแล้วกอดนางไว้แน่น “อย่าร้อง”
ไม่รอให้เยี่ยเชียนหลีพูดอะไร ทันใดนั้นดวงตาของเจ้าตัวเล็กบางคนก็เบิกกว้าง “ท่านพ่อ?” ในที่สุด เขาก็สังเกตเห็นบางสิ่งแปลกๆ เห็นได้ชัดว่าเขามองออกแล้วว่ามีบางอย่าง ‘ผิดปกติ’ ระหว่างพวกผู้ใหญ่
เมื่อหรงอี้เห็นว่าเจ้าตัวเล็กอึ้งไปอีกครั้ง เขาก็รีบก้าวขึ้นไปอธิบายสิ่งที่ก่อนหน้านี้ไม่ทันพูดให้เจ้าตัวเล็กฟังเข้าใจ “เสี่ยวเป่า ฟังที่พ่อพูดก่อน ตอนนี้คนที่อุ้มเจ้าอยู่ไม่ใช่พ่อและก็ไม่เหมือนกับ ‘พ่อตัวปลอม’ ที่เจ้าเคยเห็นก่อนหน้านี้ด้วย เขาคือปู่ทวดหวงของเจ้า”
“ปู่ ทวด หวง?” เยี่ยนเสี่ยวเป่าเกาใบหน้าเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยไขมันนุ่มนิ่ม นี่เป็นพฤติกรรมเล็กๆ ที่เขามักทำตอนไม่เข้าใจอะไรบางอย่างหรือกำลังร้อนรน
หรงอี้อธิบายต่อไปว่า “ใช่ เขาคือพ่อของพ่อของพ่อ ส่วนผู้นี้คือพ่อของพ่อ” กล่าวจบหรงอี้ก็ดึงบิดาปลอมๆ มาข้างหน้า ชี้ไปที่ใบหน้าของเขา “แม้ว่าพวกเขาจะดูเหมือนกัน แต่ก็ไม่ใช่คนเดียวกัน และก็ไม่ใช่พ่อของเสี่ยวเป่าด้วย”
“ทำ ไม!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าไม่เข้าใจ เห็นได้ชัดว่าเหมือนกัน! ก็ควรเป็นคนเดียวกันสิ เหมือนท่านพ่อสีแดง สีเขียว และสีทองเมื่อก่อน!
เยี่ยนเสี่ยวแสดงออกว่าเขาแยกความแตกต่างระหว่างท่านพ่อกับเหล่า ‘ท่านพ่อ’ ไม่ออก เขาคิดว่าพวกเขาก็เหมือนกัน! ใช่แล้ว เหมือนกัน!
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เจ้าตัวเล็กก็พูดอย่างโกรธเคืองว่า “พ่อ คิด หลอกเป่า!” เป่าฉลาดมากนะ ไม่ถูกหลอกหรอก!
หรงอี้ “…”
หางตาเขากระตุกเล็กน้อย เขาพยายามอธิบายเพิ่มสองสามประโยค
แต่เจ้าตัวเล็กบางคนปิดหูเล็กๆ ของเขาแล้วพูดว่า “ไม่ฟัง ไม่ฟัง จะ หลอกเป่า!”
หรงอี้ “…”
เจ้าเด็กคนนี้ ไม่เพียงแต่โง่งม ยังดื้อดึงมากอีกด้วย
เวลานี้…
หรงมั่วที่เงียบและวางตัวเย็นชามาโดยตลอด และแทบจะไม่เคยหัวเราะเสียงดัง ก็อดไม่ได้หัวเราะออกมา
หรงอี้หยิกแก้มอ้วนๆ ของเจ้าตัวเล็ก “พ่อเคยโกหกเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ไม่ มีหรือ” เยี่ยนเสี่ยวเป่าคิดว่ามี
หรงอี้ทั้งโกรธทั้งขัน “เช่นนั้นเจ้าแผ่พลังออกมารับรู้สักหน่อย ดูว่าพ่อกับคนอื่นๆ เหมือนกันทั้งหมดหรือไม่” ระดับความใกล้ชิดของสายเลือด ไม่มีทางเหมือนกันหรอกเข้าใจหรือไม่
หลังจากถูกเตือนเช่นนี้ เจ้าตัวเล็กบางคนก็คิดได้ เขาแผ่พลังออกไปสำรวจทุกคนอย่างจริงจังและรอบคอบ แต่เขาก็ยังรู้สึกว่า “เหมือน! ท่านพ่อสีเขียว ท่านพ่อสีทอง มีท่านพ่อหลายคนมาก เหมือนกัน!”
หรงอี้ “…”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ร่างแยกของเขานั้นก็มีสีแตกต่างกันไปจริงๆ ระดับความใกล้ชิดระหว่างพวกเขากับเจ้าตัวเล็กเองก็ไม่เหมือนกัน ดังนั้นเขาควรจะอธิบายอย่างไรเขาถึงจะเข้าใจ!
หรงอี้พบกับปัญหายากลำบากเป็นครั้งแรกในชีวิต เขาทำได้เพียงมองไปที่ปู่หวง อธิบายให้เขาฟังว่า “เสี่ยวเป่ารู้ว่าข้ามีร่างแยก แถมยังรู้สถานะของร่างแยกทั้งหมดด้วย ท่านน่าจะเข้าใจ…”
หรงหวงเข้าใจจริงๆ หรงมั่วเองก็เข้าใจ จากนั้นทั้งสองก็ตระหนักว่าปัญหานี้ยากที่จะแก้ไขจริงๆ
ทันใดนั้นหรงหลินและหรงซีก็อดหัวเราะไม่ได้ นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นพี่ชายและบิดาถูกปัญหาหนึ่งทำให้ปวดหัวหนัก! ปกติแล้ว มีเพียงพี่สะใภ้ที่ทำให้พี่ใหญ่ปวดหัว และท่านแม่ที่ทำให้ท่านพ่อปวดหัว แต่ไม่คิดเลยว่าสองคนนี้จะถูกหลาน(เหลน)ชายทำให้นิ่งงันไปพร้อมกันแบบนี้!
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…” หรงซีก้าวฉับๆ ไม่กี่ก้าวไปหาเจ้าตัวเล็ก “ถ้าอย่างนั้น เสี่ยวเป่า เรียก ‘ท่านพ่อ’ ให้ฟังอีกครั้งสิ” ไม่ต้องแต่งงานก็เป็นพ่อมีลูกพร้อมใช้! รู้สึกดีมาก! ลดปัญหาไปได้เยอะจริงๆ
แต่หรงซีทางนี้เพิ่งจะฝันหวาน เขาก็ถูกบิดาใจดำตบศีระดังป้าบ “เจ้าคิดเอาเปรียบใคร”
หรงซีหดหัวทันควัน คิดว่าถ้าเสี่ยวเป่าเรียกเขาว่าท่านพ่อ ไม่เท่ากับว่าเขาจะขึ้นไปอยู่ในรุ่นเดียวกับบิดาใจดำหรือ เอาเถิด! นี่มันซับซ้อนจริงๆ!
หรงซีเสียใจมากที่ต้องละทิ้งการเป็นบิดาที่มีลูกพร้อมใช้ หลักๆ คือเขากลัวถูกทุบตีจนตาย ได้ไม่คุ้มเสีย!
อย่างไรก็ตาม
เยี่ยนเสี่ยวเป่าตะโกนด้วยความยินดีแล้วว่า “ท่านพ่อ!”
หรงซีมองไปที่บิดาของเขาอย่างไร้เดียงสา “ไม่เกี่ยวกับข้านะ เสี่ยวเป่ายินดีเอง”
“ไสหัวไปอีกทางเลย!” หรงหวงผลักเจ้าเด็กขี้เกียจออกไป ถึงยกมือขึ้นลูบเหลนชายในอ้อมแขนของเขาแล้วถอนหายใจเล็กน้อย จากนั้นก็คิดว่าต้องพูดอย่างไรถึงจะอธิบายความคล้ายคลึงกันของสัมพันธ์ทางสายเลือดให้เจ้าตัวเล็กนี้เข้าใจ
แต่…
หรงอี้คิดหาวิธีได้แล้ว เขากลั่นเส้นผมสีแดง สีเขียว สีคราม สีทอง สีม่วง และสีดำออกมาจากร่าง
เจ้าตัวเล็กบางคน?
เขาเหมือนจะเข้าใจนิดหน่อยแล้ว
จากนั้นเขาก็มองดู ‘ท่านพ่อ’ คนนี้ แล้วมองไปที่ ‘ท่านพ่อ’ อีกสองคน “ไม่ เหมือนกันหรือ”
“ไม่เหมือนกัน เสี่ยวเป่าดูให้ละเอียด” หรงหวงชี้แนะเหลนชายในอ้อมแขน ให้เขาค้นพบเองว่าบิดาของเขา แตกต่างจากญาติๆ อย่างพวกเขา
เยี่ยนเสี่ยวเป่าเกาใบหน้าอวบอ้วนเล็กๆ ดวงตากลมโตเบิกกว้าง มองไปที่ ‘ท่านพ่อ’ ทั้งหมดอย่างละเอียดมาก คิดจนเวียนหัวนิดหน่อย…
อวิ๋นจื่อซีเห็นแล้วปวดใจมาก “หรือไม่พอแค่นี้ก่อนดีหรือไม่ เอาไว้ค่อยๆ อธิบายทีหลัง เสี่ยวเป่ายังเด็กอยู่ เขายังไม่ถึงหนึ่งขวบด้วยซ้ำกระมัง”
“ใช่ แต่ก็ใกล้แล้ว รอกลับเขาพระสุเมรุก่อน เราค่อยจัดงานเลี้ยงวันเกิดหนึ่งขวบให้เสี่ยวเป่าด้วยกัน” หรงอี้กล่าว
“เด็กถึงเพียงนี้เชียวหรือ!” เยี่ยเชียนหลีค่อนข้างคิดไม่ถึง “แม่คิดว่าเสี่ยวเป่าเป็นเหมือนเจ้า ดูเหมือนเด็กแต่จริงๆ แล้วแก่แล้ว”
“แค่ก” หรงมั่วรู้สึกร้อนตัวอย่างไม่มีเหตุผล “สภาพร่างกายไม่เหมือนกัน”
หรงหวงกลับไม่ได้หักหน้าบุตรชายของเขา ยังคงลูบศีรษโล้นของเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขน รู้สึกคิดถึงสัมผัสที่นุ่มนวลแบบนี้มาก
แต่…
หรงหวงที่รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ หลุบตาลงและพบว่าเด็กน้อยในอ้อมแขนผล็อยหลับไปแล้ว? เร็วขนาดนี้? นี่คือสิ่งที่ภรรยาพูดว่าหลับไปในเสี้ยววินาทีใช่หรือไม่!
“ดูพวกเจ้าทำเสี่ยวเป่างง เจ้าตัวเล็กถูกทำให้สับสนจนหลับไปแล้ว!” อวิ๋นจื่อซีปวดใจแทนเหลนชายตัวน้อย ขณะที่คิดจะอุ้มเจ้าตัวเล็กมาอุ้มเอง
อย่างไรก็ตาม–
ร่างกายของเยี่ยนเสี่ยวเป่าเปล่งแสงสีขาวขุ่นออกมาเล็กน้อย
“นี่…” อวิ๋นจื่อซีขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ
หรงอี้อธิบายอย่างคุ้นเคยว่า “ย่าซีวางใจเถิด เสี่ยวเป่าในสภาพนี้คือกำลังตระหนักรู้ รอเขาตื่นแล้ว กว่าครึ่งคงสามารถแยกความแตกต่างระหว่างข้า ท่านพ่อ และปู่หวงได้แล้ว”
“ตระหนักรู้?” ในหัวของอวิ๋นจื่อซีเต็มไปด้วยคำถาม
หรงหวงพยักหน้าอย่างเข้าใจ “คิดไม่ถึงว่าเจ้าตัวเล็กจะยังมีเคล็ดลับการฝึกฌาณที่เป็นเอกลักษณ์แบบนี้อยู่ ถึงกับฝึกฌาณและตระหนักรู้ในฝัน แต่ก็ดีเพราะไร้ซึ่งสิ่งรบกวน ผลลัพธ์ก็จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า”
หลังจากที่หรงหวงพูดคำพูดนี้จบ เขาก็รู้สึกว่ามีพลังสายหนึ่งแผ่มาจากร่างเจ้าตัวเล็ก และลอยวนเวียบอยู่รอบตัวเขา คล้ายกับว่ากำลังตระหนักรู้ตัวเขา?
เหอะ น่าสนใจ
หรงหวงยิ้มแล้วปล่อยให้เจ้าตัวเล็กตระหนักรู้ไป ไม่ได้หยุดเขา เขาก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าเจ้าตัวเล็กจะตระหนักรู้อะไรได้
ส่วนเยี่ยนเสี่ยวเป่า เขาค้นพบว่าในขณะที่เขาหลับ มีมังกรตัวใหญ่วนเวียนอยู่รอบตัว ‘ท่านพ่อ’ ที่อุ้มเขาอยู่ เอ๋า~ สีดำ ตัวใหญ่ ใหญ่มากๆ เอ๋า~
ด้วยเหตุนี้–
หลงตี้ที่เฝ้าระวังอยู่ที่เขาพระสุเมรุ จู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีคนกำลังมองมันอยู่?
สิ่งนี้ทำให้หลงตี้กวาดสายตามองไปรอบๆ ครั้งหนึ่งตามสัญชาตญาณ แต่มันก็ไม่พบสิ่งมีชีวิตใดๆ!
“ว้าว~”
เจ้าตัวเล็กบางคนค้นพบว่าหลงตี้นั้นแข็งแกร่งมาก มันมีขนาดตัวมหึมา เขาจึงอุทานออกมาแบบเด็กๆ!
หลงตี้มองตามเสียงนั้นไป และทันใดนั้นมันก็เห็น เห็น เจ้าตัวเล็กน่ารักตัวหนึ่ง?!