บทส่งท้าย 28 เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันของตระกูลหรง เคราะห์เกียจคร้าน
อวิ๋นจื่อซีชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็ตื่นตระหนก สิ่งที่นางกลัวมากที่สุดตลอดหลายปีมานี้คือการได้ยินว่าบุตรชายและหลานชายต้องไปผ่านด่านเคราะห์
ลูกหลานของนางเหล่านี้ยิ่งมีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์เท่าไร เคราะห์กรรมที่พวกเขาต้องฝ่าฟันก็ยิ่งอันตราย ทำเอานางวิตกจนหัวจะล้านอยู่แล้ว ทุกครั้งที่นางได้ยินอะไรเกี่ยวกับ ‘เคราะห์กรรม’ ‘ผ่านด่านเคราะห์’ ก็รู้สึกปวดศีรษะมาก
หรงหวงรู้บาดแผลในใจของนางดีจึงรีบอธิบายว่า “อย่าได้ตระหนก เคราะห์กรรมของเจ้าสี่ไม่รุนแรงมาก”
เมื่อได้ยินดังนั้น อวิ๋นจื่อซีกลับรู้สึกเหมือนยิ่งโดนซ้ำเติม “ครั้งที่แล้วตอนที่อี้เอ๋อร์ไปผ่านด่านเคราะห์ เจ้าก็พูดเช่นนี้”
หรงอี้อ้ำอึ้ง เขาเงียบงัน
กลับกลายเป็นว่าอวิ๋นจื่อซีสำนึกได้ว่าตนเองใช้คำพูดผิดจึงรีบยื่นมือไปโอบชายข้างกาย “ไม่ใช่เช่นนั้น ข้าไม่ได้โทษเจ้า ข้าแค่กลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุอะไรอีก” พูดแบบนี้… ก็เหมือนจะไม่ถูกอีก
“ไม่ใช่สิ…” อวิ๋นจื่อซีอยากจะบอกว่าตนเองไม่ได้ตั้งใจจะกล่าวโทษ ถึงอย่างไรเด็กๆ ทุกคนก็มีชะตากรรมของตนเอง สิ่งที่เขาทำได้ก็แค่ช่วยให้ทุกอย่างราบรื่นขึ้น อันที่จริงก็ไม่เหมาะที่จะเข้าไปยุ่งมากเกินไป
แต่ด้วยความร้อนใจเมื่อครู่นี้ ทำให้นางพูดเช่นนี้ออกไป ทำเหมือนกับกล่าวโทษเขาผู้เป็นถึงราชาแห่งเขาพระสุเมรุไม่สามารถปกป้องลูกหลานได้และยังทำหายด้วย
ครานี้เอง… เมื่อคิดจะอธิบายใหม่กลับรู้สึกว่าอธิบายอย่างไรไปก็ไม่ถูก
อวิ๋นจื่อซีหงุดหงิด นางหงุดหงิดตัวเอง ทั้งๆ ที่นางรู้ว่า เขาผู้เป็นทั้งพ่อและปู่คนนี้ได้พยายามเป็นอย่างมากเพื่อเด็กๆ เหล่านี้ นางจะตำหนิเขาได้อย่างไร
แต่คำพูดที่พูดออกไปก็เหมือนน้ำที่สาดออกไป เก็บคืนไม่ได้
ครั้นอวิ๋นจื่อซีกำลังหงุดหงิดตนเองจนเหงื่อซึมหน้าผาก นางก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากเหนือศีรษะโนเวลพีดีเอฟ
“ฮึ…”
หรงหวงที่กำลังหัวเราะ เขาโอบนางที่กอดเขาไว้ ฝ่ามือเรียวยาวและกว้างปกคลุมหน้าผากของนางไว้ ฝ่ามือเขายังมีอุณหภูมิเย็นเล็กน้อยเสมือนหยกที่มีความเย็น
สัมผัสของหยกที่มีความเย็นนี้ทำให้ความหงุดหงิดในใจของอวิ๋นจื่อซีเหมือนกับเพลิงไฟที่ถูกโยนลงไปในทะเลสาบน้ำแข็ง มันดับลงในทันที
“เจ้าโง่” หรงหวงเอ่ยขึ้นเบาๆ “เป็นสามีภรรยากันมานานเช่นนี้ เจ้าคิดอะไรข้าจะไม่รู้หรือ เจ้าจะโมโหตนเองไปอีกนานเท่าไร”
อวิ๋นจื่อซีเงยหน้ามองเขา ดวงตาของนางสบกับดวงตาสีดำขลับ ลุ่มลึกไร้ที่สิ้นสุด กลับสะท้อนเงาของตนเองอย่างชัดเจน ทำให้นางอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
นั่นน่ะสิ เป็นสามีภรรยากันมานานเช่นนี้แล้วจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าความรักของทั้งสองนั้นลึกซึ้งเพียงใด นางรู้ดียิ่งกว่าว่าเขารักและยอมรับในตัวนางมากเพียงใด
แต่ก็เป็นเพราะว่ารู้ นางจึงยิ่งกลัวว่าคำพูดไม่ตั้งใจของตนเองจะทำร้ายเขา ทำให้เขาคิดมาก เพราะว่านางเองก็รู้ดีว่านางคือหนึ่งเดียวในใจเขา นางมีอิทธิพลต่อเขามากที่สุด
เขาทำดีกับนางเช่นนี้ นางจะยอมทำร้ายเขาแม้แต่น้อยได้อย่างไร แม้จะเป็นการกระทำที่ไม่ได้ตั้งใจก็ไม่สมควร มันไม่ใช่การระมัดระวัง แต่คือการทะนุถนอมดุจสมบัติล้ำค่า
และการให้ความสำคัญเช่นนี้ หรงหวงเข้าใจ ในดวงตาที่กำลังยิ้มให้เขา เขาดูออกแล้ว จากนั้นอาการใจสั่นก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง…
เขาอดไม่ได้ที่จะกอดนางแน่นขึ้นกว่าเดิม น้ำเสียงที่บริสุทธิ์และคลุมเครือของเขากลายเป็นเสียงแหบแห้งยอมจำนน กระทั่งกระด้างเล็กน้อย “เจ้ามันโง่จริงๆ”
“หวงหวงไม่เสียใจก็ดีแล้ว” อวิ๋นจื่อซีผ่อนคลายลง “เช่นนั้นตอนนี้ต้องทำอะไร”
หรงหวงรู้ว่านางถามถึงเจ้าเด็กขี้เกียจคนนั้นจึงตอบอย่างละเอียดกว่าเดิมว่า “พวกเขาเป็นแฝดสาม จะถูกแบ่งเคราะห์กรรมเท่าๆ กัน ดังนั้นเทียบกับมั่วมั่วและอี้เอ๋อร์แล้ว เขาจะดีกว่ามาก”
อวิ๋นจื่อซีวางใจลงไม่น้อย “หมายความว่า เคราะห์กรรมของเจ้าสี่จะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต?”
“ใช่แล้ว” หรงหวงมั่นใจในเรื่องนี้มาก “แต่เขาขี้เกียจเช่นนี้ อาจจะไม่แน่นอน ข้าและหลงตี้จะไปรับเขาเอง จากนั้นจะส่งเขาไปผ่านด่านเคราะห์”
“ไม่พาข้าไปด้วยหรือ” อวิ๋นจื่อซีจับ ‘ประเด็น’ ได้ รู้สึกไม่เต็มใจนัก
หรงหวงหัวเราะ “ปกติเจ้าบ่นไม่ใช่หรือว่าข้าชอบรบกวนเวลาเชื่อมสัมพันธ์ของเจ้าและสะใภ้”
“…ไม่มีเสียหน่อย” อวิ๋นจื่อซีปฏิเสธความจริงเรื่องนี้
หรงหวงเคยชินกับการโกหกหน้าตายของนาง ซึ่งไม่สามารถทำอะไรนางได้ วันนี้เห็นว่านางให้ความสำคัญกับตนเองเช่นนี้ ยิ่งทำใจสั่งสอนไม่ลง เหลือเพียงทางเดียวคือเกลี้ยกล่อม “เด็กดี เจ้ายังต้องไปช่วยผีผีนะ”
“ข้า…” อวิ๋นจื่อซีอยากจะพูดว่าผีผีไปจีบสาวเองได้
หรงหวงกลับพูดข้างหูนางเสียงเบาว่า “ผีผีเป็นคนหัวรั้น เคราะห์กรรมอื่นยังดี แต่เคราะห์รักน่ะยาก”
อวิ๋นจื่อซีกะพริบตาสองสามที “แอนนาคือเคราะห์ของเขา?”
“ยังไม่ทราบ” คำพูดของหรงหวงคือความจริง เพราะว่าเคราะห์ของหรงเจ๋อยังไม่ปรากฏ แต่เขาเคยทำนายชีวิตให้เด็กทั้งสาม และรู้จักข้อบกพร่องของทั้งสามเป็นอย่างดี ดังนั้นแม้เคราะห์ของเขายังไม่ปรากฏ เขาก็พอจะรู้ได้ล่วงหน้า
อวิ๋นจื่อซีย่อมเชื่อในคำพูดของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย นางพยักหน้าพูดว่า “เช่นนั้นข้าไปหาแอนนาเป็นเพื่อนผีผี เจ้าเองก็รีบไปรีบกลับ”
“ได้” หลังจากหรงหวงจูบหน้าผากของนางเสร็จจึงยอมปล่อยภรรยาผู้อ่อนนุ่มและเนื้อหอมออกอย่างอาลัย จากนั้นก็เรียกผีผีมา “เชื่อฟังท่านแม่เจ้า”
หรงเจ๋อที่ถูกเรียกมาย่อมพยักหน้าอย่างว่านอนสอนง่าย “ทราบแล้วขอรับ เช่นนั้นเจ้าสี่…”
“ไม่เป็นไร” หรงหวงตบไหล่บุตรชายคนที่สองเบาๆ เดิมทีคิดจะฝากฝังอะไร แต่ก็คิดว่าไม่จำเป็นจึงไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่เหินไปทางหลงตี้ที่อยู่บนท้องฟ้า
เสี่ยวหรงเยี่ยนที่รับรู้การมาถึงของเขาก็หันไปทันที ทันทีที่เห็นปู่ทวดหวง มืออวบอ้วนก็ยื่นออกไปด้วยสัญชาติญาณ “อุ้ม…”
หรงหวงที่ยื่นมือไปรับเจ้าตัวน้อยก็ตีก้นน้อยๆ ของเขา “ขี้อ้อน”
“ฮี่…” เสี่ยวหรงเยี่ยนที่ไม่ได้รู้สึกถูกว่ายังยิ้มหวานให้
อวิ๋นจื่อซีเห็นดังนั้น เดิมทีคิดจะไปรับเหลนชายลงมา หรงหวงกลับมองไปที่นางก่อน “ข้าจะพาเสี่ยวเป่าไปเอง”
อวิ๋นจื่อซียังไม่ทันตอบ หรงมั่วก็เอ่ยขึ้นว่า “ให้เสี่ยวเป่าอยู่ที่นี่เถอะ ท่านพ่อตาแม่ยายพวกเขาใกล้ถึงแล้ว”
หรงหวงหรี่ตามองบุตรชายคนโตทีหนึ่ง ก่อนจะพาเด็กน้อย มังกรทองตัวอ้วนและหลงตี้หายวับไปทันที
หรงมั่ว “…” พ่อใจดำตั้งใจไม่อยากให้เขาเอาใจพ่อตาแม่ยายของเขาแน่ๆ
เยี่ยเชียนหลีเห็นใบหน้าขาวดั่งหยกของเขากลายเป็นสีดำ ในใจนึกขบขัน แต่ใบหน้ากลับเผยรอยยิ้มเล็กน้อย
หรงมั่วที่เห็นดังนั้นก็ยกมือขึ้นหยิกเอวของนาง “ตลกหรือ”
“เปล่าเจ้าค่ะ” เยี่ยเชียนหลีปฏิเสธ แต่กลับหัวเราะ “ฝ่าบาทท่านก็จริงๆ เลย มีอะไรต้องแย่งกัน ให้พ่อสามีเจอเสี่ยวเป่าก่อนก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว” ไม่รู้จริงๆ ว่าพวกท่านสองพ่อลูกจะแย่งกันทำไม
อวิ๋นจื่อซีก็เพิ่งรู้ว่าที่แท้มั่วมั่วใจแคบเช่นนี้ นางหัวเราะตาม พูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อว่า “หลีเอ๋อร์ เจ้ายังไม่เข้าใจหรือ มั่วมั่วอยากให้เจ้ามีหน้ามีตาน่ะ แม้แต่พ่อแม่ก็ไม่เอาแล้ว”
เมื่อพูดเสร็จ อวิ๋นจื่อซีก็ลากผีผีที่ยืนเหม่อไปหาแม่นางแอนนาท่านนั้นที่มีความเป็นไปได้มากว่าเป็นเคราะห์กรรมของเขา ปล่อยให้สองสามีภรรยามีเวลาอยู่ร่วมกันสองคน
…
นอกเขตสวรรค์เสวียนเทียน
ซู่
ลำแสงสีขาวเสมือนกระแสน้ำวนได้ขวางขบวนกลุ่มมนุษย์และอสูรที่ยิ่งใหญ่กลุ่มหนึ่งไว้
หรงซีที่ถูกปลุกขยี้ตา รู้สึกเหมือนกับว่าได้ยินเสียงโทรจิตของท่านพ่อใจดำเขา แต่เมื่อครู่นี้เขาหลับลึกมาก ไม่ได้ตั้งใจฟัง ครานี้พอจะติดต่อกลับไปกลับติดต่อไม่ได้
“เจ้าสี่ รู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น” เหวินเหรินเอ่าเย่ว์ขมวดคิ้วถาม ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าลำแสงสีขาวตรงหน้าคืออะไร
กลับกลายเป็นฝูเหอที่โบกพัดเบาๆ เห็นความลึกลับบางอย่าง ใบหน้าสีขาวซีดเป็นประจำมาตลอดปีของเขาขรึมลงเล็กน้อย “คุณชายสี่ ลำแสงสีขาวนี่น่าจะเกี่ยวข้องกับท่านขอรับ”
“ข้ารู้” หรงซีมั่นใจในเรื่องนี้มาก เพียงแต่ว่าเขาไม่รู้ว่าทำอย่างไรกับลำแสงสีขาวนี้ ดังนั้นจึงคิดจะติดต่อท่านพ่อใจดำของเขา แต่คิดไม่ถึงว่าจะติดต่อไม่ได้
เอาเถิด… หรงซีได้แต่ใช้สมองของตนเองสัมผัสลำแสงสีขาวตรงหน้า จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนจะถูกดูดเข้าไป ทำให้เขาอยากจะปล่อยตัวตามมันไป แต่สุดท้ายหรงซีก็หักห้ามความบุ่มบ่ามและสัญชาติญาณนี้ไว้ แต่เขารับรู้ได้เลือนลางว่าลำแสงสีขาวนี้แผ่ซ่านกลิ่นอายการกลับชาติมาเกิดอันลึกลับ เหมือนกับจะเหมือนกับชะตาชีวิตของเขามากด้วย
จังหวะหนึ่ง หรงซีรู้สึกว่าตนเองไม่ควรต่อต้านสัญชาติญาณอันใกล้ชิดนี้ บางทีควรปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ แต่หากจากไปเช่นนี้จริงๆ ทางฝั่งท่านตาท่านยายคงตระหนก
อีกทั้งกฎมิติปริภูมิรอบด้านล้วนถูกบิดเบือนเพราะการปรากฏของลำแสงสีขาว ทำให้เขาไม่สามารถติดต่อกองกำลังเขาพระสุเมรุได้ในทันที หากเขาไป เกรงว่าจะเกิดเรื่อง
ดังนั้นหรงซีที่ตัดสินใจได้จึงพูดว่า “รอก่อนเถอะ”
“ไม่มีปัญหาหรือ” เหวินเหรินเอ่าเย่ว์ไม่ค่อยวางใจ รู้สึกว่าลำแสงสีขาวที่ปรากฏขึ้นนี้ดูแปลกประหลาดเกินไป
ต้องรู้ว่าเขตสวรรค์เสวียนเทียนและบริเวณรอบสงบมาพันกว่าปีแล้ว วันนี้พวกเขาเพิ่งคิดจะออกไป กลับเจอเรื่องเช่นนี้ นี่มันช่าง…
เหวินเหรินเอ่าเย่ว์ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี อวิ๋นอีหมิงกลับยิ้มร่าพลางพูดโน้มน้าวว่า “ไม่ต้องกลัว กองกำลังของลูกเขยจะต้องพบความผิดปกติของโดยเร็วแน่นอน ย่อมต้องมาช่วยทันที”
เหวินเหรินซู่ซินที่ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าทันที ผัวเมียเสียงเดียวกัน
เหวินเหรินเอ่าเย่ว์เห็นดังนั้นก็ไม่พอใจ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่พาเหวินเหรินซู่จ้งออกมาคนเดียวถามว่า “ช่วงนี้ในแขตแดนสวรรค์เสวียนเทียนไม่มีความผิดปกติใดๆ เลยจริงหรือ”
“ไม่มีขอรับ” เหวินเหรินซู่จ้งตอบอย่างหนักแน่น
เหวินเหรินเอ่าเย่ว์จึงไม่ได้พูดอะไรอีก หางตาของเขากลับเห็นฝูเหอกำลังนับนิ้วทำนายบางอย่าง สีหน้ายังดูเคร่งเครียด
ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสในกลุ่ม เหวินเหรินเอ่าเย่ว์คิดจะถามอะไรเล็กน้อย แต่กลับรู้ว่าไม่ควรเข้าไปขัดจังหวะฝูเหอในยามนี้ ได้แต่รอคอยอย่างใจเย็น
สุดท้ายฝูเหอเพิ่งจะเก็บมือกลับ เหวินเหรินเอ่าเย่ว์ไม่ทันปริปาก เขาก็มองไปที่หรงซี พูดว่า “คุณชายสี่ หากท่านอยากลองเข้าไปดู พวกเรารอที่นี่ก็ได้”
“ไม่เป็นไร รออีกสักครู่” หรงซีเป็นห่วงทุกคน เขาเป็นคนพาพวกเขามา หากเป็นอะไรไป ท่านแม่คงหยิกหูเขาด่าทุกวันแน่ๆ
ชีวิตที่ ‘ไร้ความสงบสุขอีกต่อไป’ นั้น ทำให้หรงซีที่แค่คิดก็รู้สึกขนหัวลุกแล้ว เขาจึงพูดอย่างยืนหยัดว่า “ไม่ต้องห่วง เมื่อกองกำลังเขาพระสุเมรุมา ข้าค่อยไปก็ยังไม่สาย”
“แต่ว่า…” ฝูเหอที่ทำนายบางอย่างได้รู้สึกว่าคุณชายสี่ควรเข้าไปในลำแสงสีขาวนี้ก่อน หากไม่เข้าตอนนี้ อาจมีปัญหาในอนาคต
แต่ทันทีที่หรงซีจับสังเกตได้ เขาก็กล่าวยืนกรานว่า “ท่านลุงฝูไม่ต้องเป็นห่วง ข้ารู้แก่ใจดี มิหนำซ้ำเมื่อครู่นี้ท่านพ่อข้าส่งโทรจิตให้ข้าแล้ว ไม่เป็นไรหรอก”
ทันทีที่ฝูซีได้ยินว่าเขาได้รับสารจึงวางใจลง เพียงแค่ถามอีกว่า “ไม่ทราบว่าคุณชายมีคำสั่งอะไรหรือไม่ เพียงแค่ให้พวกข้ารอที่นี่หรือ”
“…ข้าได้ยินไม่ชัด” หรงซีกล่าวตามจริง
จู่ๆ ฝูเหอก็พูดไม่ออกเหมือนมีก้อนเนื้อติดในลำคอ “ได้ยินไม่ชัดหมายความว่าอย่างไรกัน”
“ก็ข้าหลับสนิทเกินไปน่ะ ได้ยินไม่ชัด แต่ไม่เป็นไรหรอก เหมือนกับว่าท่านพ่อข้าบอกว่าเขาจะมา” หรงซีคลับคล้ายคลับคลาว่าได้ยินเช่นนั้น ท่านพ่อเขาเคยพูด ดังนั้นเขาจึงไม่ตระหนกแม้แต่น้อย
ในความเป็นจริง หรงหวงก็กำลังเร่งเดินทางมาจริงๆ อีกทั้งยังมาด้วยความรวดเร็ว เพราะว่าเขารู้สึกงุนงงมาก “ข้าส่งโทรจิตให้จอมขี้เกียจให้เขาเข้าไปในวงวัฏจักรก่อน เหตุใดเขาจึงไม่เข้าไปนะ ขี้เกียจขนาดนี้ ต้องให้พ่อถีบเขาสักทีถึงจะยอมเข้าไปรึ”
“…อาจจะ” ทันทีที่หลงตี้คิดถึงบุตรชายคนเล็กของราชา ดวงตากลมโตของมันก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มและหมดหนทาง “นายน้อยสี่เป็นคนที่หากนั่งได้ก็จะไม่ยืน หากนอนได้ก็จะไม่นั่งมาตั้งแต่เล็ก ครานี้แม้จะรู้ว่านั่นคือบ่วงเคราะห์ที่เขาต้องเข้าไปก็อาจจะไม่ยอมเข้าไปเองก็ได้”
หรงหวง “…” ขี้เกียจขนาดนี้ เขาผู้เป็นพ่อคนนี้ทำได้เพียงเร่งให้เร็วกว่าเดิม
เพียงแต่ว่าทันทีที่ออกมาจากแดนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า คิ้วเรียวยาวของหรงหวงขมวดเป็นปมทันที “แย่แล้ว”
“เนะ?” เสี่ยวหรงเยี่ยนที่แขวนอยู่กับหนวดของหลงตี้มองไปที่ปู่ทวดหวงของเขาทันที “ทำไมหรือ”
หลงตี้เป็นห่วงขึ้นทันทีเช่นกัน มันหันไปมองราชาที่อยู่บนหลัง “นายน้อยสี่เกิดเรื่องแล้วหรือ”
“พลาดโอกาสผ่านด่านเคราะห์ที่ดีที่สุดไป” หรงหวงขมวดคิ้วแน่น “เร็วขึ้นอีก”
หลงตี้จับเด็กน้อยที่อยู่บนหนวดให้ราชาของมัน ใช้กำลังทั้งหมดที่มีตรงไปยังแดนสวรรค์เสวียนเทียน
แดนเขาพระสุเมรุปรากฏเสียงคำรามมังกรทั่วสารทิศ ทำเอาสิ่งมีชีวิตไม่น้อยตื่นตระหนก
“มาแล้ว” หรงซีที่ได้ยินเสียงตาเป็นประกาย กลับเห็นว่าลำแสงสีขาวตรงหน้านี้ค่อยๆ สลายไป
หรงซีรู้สึกไม่ได้การแล้วจริงๆ เขาเตรียมจะหายตัวเข้าไปในวงแหวนสีขาวนั่น ถึงอย่างไรเสียงร้องของมังกรครานี้ทำให้เขามั่นใจว่าท่านพ่อและท่านลุงหลงตี้มาพร้อมกัน เช่นนั้นครอบครัวฝั่งท่านแม่ของเขาย่อมได้รับการปกป้องดูแลอย่างเหมาะสม
ทว่า… หรงซีทำท่าจะกระโดดเข้าไป
“กลับมา!”
หรงหวงที่นานๆ ทีจะพูดด้วยเสียงดุดัน ร่างของเขาก็มาถึง เขาดึงหรงเจ้าสี่ที่กำลังจะกระโดดลงไปที่วงแหวนสีขาวที่จางลงไปแล้วกลับมา
หึ่ง
ลำแสงสีขาวที่เหมือนกับกระแสน้ำวนหายไป ราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
หรงซี “…” เหมือนกับว่าเขาจะพลาดบางอย่างไป ยังทำให้ท่านพ่อใจดำโมโหมากด้วย?
หรงหวงที่โมโหมากจริงๆ ก็ตบบุตรชายคนเล็กทันที “ก่อนหน้านี้บอกให้เจ้าเข้าไป ให้ครอบครัวท่านแม่เจ้ารอข้าอยู่ที่เดิม แต่เจ้ากลับชักช้าจนถึงตอนนี้?”
“…” หรงซีที่ไม่กล้าบอกว่าตนเองหลับลึก ได้ยินไม่ชัดตอบเบาๆ ว่า “ถ้าเมื่อครู่นี้ท่านพ่อไม่จับข้าไว้ ข้าก็ยังกระโดดเข้าไปทัน”
หรงหวงตบศีรษะของบุตรชายจอมขี้เกียจทีหนึ่ง “การกลับชาติไปเกิดเข้าเร็วดีกว่าเข้าช้า หากเจ้าเข้าไปเร็วจะได้ผ่านด่านเคราะห์ได้อย่างสุขสบาย หากเข้าไปช้าจะมีโอกาสรอดน้อยนิด เจ้าคิดจะให้ท่านแม่เจ้าเป็นห่วงและเป็นทุกข์หรือ”
“…” หรงซีที่รู้สึกผิดไม่กล้าพูดอะไรอีก คิดในใจว่ามิน่าตอนที่เขากำลังจะสัมผัสลำแสงสีขาวเมื่อครู่นี้จึงรู้สึกแปลกๆ
ฝูเหอที่ยืนฟังอยู่ข้างๆ เขาก็ถามคำถามที่สำคัญคำถามหนึ่งทันที “คุณชาย ในเมื่อเจ้าสี่พลาดไปแล้ว แล้วยังมีวิธีแก้ไขหรือไม่”