บทส่งท้าย 28 เด็กน้อยกอบกู้ที่เกิดเหตุคนหนึ่งปรากฎ
หรงซีเองก็มองท่านพ่อใจดำของเขาตาปริบ หวังว่าจะได้ยินคำตอบที่น่าฟัง แต่น่าเสียดาย…
“ไม่มี” หรงหวงที่บีบระหว่างคิ้วเบาๆ อยากจะตบบุตรชายจอมขี้เกียจคนนี้อีกทีจริงๆ ฤกษ์ดีเช่นนี้ดันพลาดไปเสียอย่างนั้น
ฝูเหอวิตก “แล้วทำอย่างไรดี ที่คุณชายสี่ไปไม่ทันก็เป็นพวกข้าทั้งนั้น”
เหวินเหรินเอ่าเย่ว์และอวิ๋นอีหมิงก็แสดงสีหน้าร้อนรน มีเพียงหรงซีตัวเขาเองที่ดูสงบนิ่ง “อย่าวิตกเลย ท่านพ่อข้าหมายถึงครั้งนี้ไม่มีวิธีแก้ไขได้แล้ว ข้าต้องรอครั้งต่อไป ใช่หรือไม่ขอรับ ท่านพ่อ”
“ลูกเขย เช่นนี้หรือ” ใบหน้างดงามของเหวินเหรินซู่ซินซีดลงอย่างเห็นได้ชัดเพราะความกังวลมากเกินไป “ซีซีไม่ได้ไปเพราะเป็นห่วงพวกข้า เจ้าอย่าโมโหเขาเลย”
หรงหวงพยักหน้า “ท่านแม่ยายอย่าได้ร้อนรน แม้ครั้งนี้จะไม่มีทางช่วยแล้ว แต่ยังมีโอกาสครั้งต่อไป” เพียงแต่ว่าโอกาสครั้งต่อไปคงไม่ดีเท่าครั้งนี้
หรงหวงไม่ได้พูดคำพูดข้างหลัง เขาไม่อยากให้ครอบครับของภรรยาเป็นกังวล
เหวินเหรินซู่ซินเชื่อเขาจึงถอนหายใจโล่งอก “เช่นนั้นก็ดีแล้ว แต่โอกาสครั้งหน้าคงไม่ดีเท่าครั้งนี้สินะ ไม่ต้องห่วง ไม่เป็นไรหรอก ขอเพียงยังมีโอกาสแก้ไขก็พอ
ซีซีครั้งต่อไปอย่าลังเลอีก นิสัยของเจ้าน่ะ ต้องปรับปรุงหน่อยแล้ว ทำอะไรก็ชักช้าเฉื่อยชา ไม่เหมือนท่านแม่เจ้าเลยแม้แต่น้อย ท่านแม่เจ้าน่ะ…”
เหวินเหรินซู่ซินที่เริ่มบ่น ทำเอาหรงซีเริ่มรู้สึกง่วง ทว่าครานี้เขาหลับไม่ได้ เพราะว่าท่านพ่อเขาดึงหูของเขาไว้ “ก่อนหน้านี้เจ้าเผลอหลับจึงไม่ได้ยินสารที่ข้าส่งให้สินะ”
หรงซีที่ถูกเปิดโปงตาสว่างทันที เขาไม่กล้าแม้แต่จะขยับ รู้สึกผิดมาก
“ฮึ” หรงหวงหัวเราะอย่างเย็นชา กลับรู้สึกว่าเจ้าตัวน้อยในอ้อมอกที่เดิมทีเหมือนจะหลับไปแล้วขยับตัว
ทันทีที่เด็กน้อยขยับ ฝูเหอที่ยืนอยู่ข้างกายเขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าในแขนเสื้อของคุณชายอุ้มบางอย่างไว้ เหมือนกับว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตด้วย?
ไม่โทษฝูเหอที่เพิ่งพบเด็กน้อย ประเด็นคือเจ้าตัวน้อย้หมือนเป็นโรคอย่างหนึ่ง ทุกครั้งที่ตื่นเต้นหรือกลัวจะซ่อนตัว เมื่อครู่ตอนที่หรงหวงให้หลงตี้เร่งความเร็ว เจ้าตัวน้อยจึงรู้สึกตื่นเต้นไปด้วย เขาจึงซ่อนตนเองไว้อย่างไม่ลังเล
จากนั้น… ฝูเหอในครานี้ก็เพิ่งพบว่าในอ้อมอกของคุณชายมีบางอย่างที่ถูกห่อหุ้มไว้เหมือนกับกำลังขยับ
อืม ไม่ถูก เห็นได้ชัดว่าคุณชายอุ้มเจ้าตัวนี้ไว้ ดังนั้น… ฝูเหออดถามไม่ได้ว่า “คุณชาย ท่านกอดอะไรไว้หรือ”
เมื่อฝูเหอถามขึ้น ทุกคนที่เดิมทีให้ความสนใจกับหรงซีมองไปที่อ้อมอกของหรงหวง
หรงหวงเองก็หลุบตาลงมองอ้อมอกของตนเอง ครั้นกำลังจะอุ้มเด็กน้อยออกมาแนะนำให้ทุกคนรู้จัก ทว่า…
“เนะ”
เสี่ยวหรงเยี่ยนที่โผล่ศีรษะออกมาเองแนะนำตนเองพร้อมกับยิ้มตาหยี “เป่าไง”
“เฮ้ย”
ฝูเหอตกตะลึงก้าวถอยหลังด้วยสัญชาติญาณ ไม่ใช่เพราะตกใจ แต่เป็นเพราะไม่อยากจะเชื่อว่าตนเองเห็นอะไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่น ทุกคนเบิกตาและอ้าปากกว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
มีเพียงหรงซีเป็นข้อยกเว้น ถึงอย่างไรเขาก็เคยเจอเด็กน้อยแล้ว อีกทั้งหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เขาเคยเล่นกับเด็กน้อย ครานี้จึงดีใจและผ่อนคลายลง “ที่แท้เสี่ยวเป่าเองหรือ เจ้าซ่อนตัวมิดชิดเช่นนี้ ปู่น้อยไม่เห็นเจ้าเลย”
“ฮี่…” เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่ยิ้มตาหยีบอกว่า “ตกใจ”
หรงซีคิดว่าเจ้าตัวน้อยหมายถึงต้องการทำให้พวกเขาตกใจ หารู้ไม่ว่าเจ้าตัวน้อยเพียงแค่ตกใจเมื่อครู่นี้ จึงแอบเข้าไปในเสื้อผ้าของปู่ทวดหวงเป็นที่หลบภัย
“เจ้าหนูขี้ขลาด” หรงหวงที่อุ้มเด็กน้อยออกมาหมดคำจะพูดกับความขี้ขลาดของหลานชายน้อย ดีที่เขาเป็นคนอุ้ม หากภรรยาเป็นคนอุ้ม เสื้อผ้าของภรรยาคงถูกเจ้าเด็กคนนี้เปลื้องออกหมด เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้เช่นนี้… หรงหวงแอบคิดเล็กคิดน้อย มือของเขาตบหลังนุ่มนิ่มของเด็กน้อยเบาๆ อย่างซื่อสัตย์ก่อนจะปลอบประโลมว่า “กลัวอะไร ปู่ทวดอยู่นี่ไง”
“ไม่ได้ กลัว ตื่น เต้น” เสี่ยวหรงเยี่ยนตอบอย่างจริงจัง ข้าไม่ได้กลัวสักหน่อย ข้าแค่ตื่นเต้นเท่านั้นเอง
หรงหวงหัวเราะเบาๆ “แล้วเมื่อครู่นี้เจ้าพูดว่า ‘ตกใจ’? ”
เสี่ยวหรงเยี่ยนเริ่มแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ดวงตากลมโตสุกใสมองไปที่ผู้คนรอบๆ ท่าทางอยากรู้จักใบหน้าใหม่ๆ เหล่านั้น
เมื่อหรงหวงเห็นเขาแสดงสีหน้าเช่นนี้ก็คิดถึงมั่วมั่วตอนเด็ก เจ้าหมอนั่นหากทำอะไรผิดแล้วไม่อยากยอมรับก็จะทำหน้าแบบนี้ตลอด ตีหน้าซื่อได้เก่งมาก บางครั้งยังอาศัยใบหน้าที่ใสซื่อนี้ไปฟ้องเรื่องชั่วร้ายของเขาให้ซีเอ๋อร์ฟัง
เมื่อคิดถึงตรงหนี้… มือที่ตบหลังของเหลนชายก็อ่อนโยนลง ใบหน้าก็อ่อนโยนลงมาก มุมปากยังยกขึ้นอย่างไม่รู้ตัวโนเวลพีดีเอฟ
เขาที่เป็นเช่นนี้และเด็กน้อยในอ้อมอกของเขาทำให้อวิ๋นอีหมิงและเหวินเหรินซู่ซินน้ำตาคลอ เพราะคิดถึงตอนที่พวกเขาเจอลูกเขยเป็นครั้งแรกและบุตรสาวพาหลานชายน้อยกลับไปหาพวกเขาที่บ้านตระกูลอวิ๋น
หลานชายน้อยตัวเล็กและน่ารักน่าชัง ลูกเขยที่ติดดินยิ่งกว่า บุตรสาวที่ถูกห้อมล้อมด้วยความรักจนดูสดใส …ภาพนี้เหมือนกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน แต่ก็ดูเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นวันนี้
“นี่… นี่คือเสี่ยวเป่าหรือ” อวิ๋นอีหมิงกลั้นน้ำตา น้ำเสียงแหบแห้ง
เหวินเหรินซู่ซินกลับน้ำตาไหลอย่างมิสามารถอดกลั้นได้ “เหมือนมั่วมั่วตอนเด็กเลย เหมือนมากกว่าอี้เอ๋อร์อีก” นอกจากจะมีหน้าตาเหมือนกันแล้ว นิสัยและพฤติกรรมยังเหมือนกันด้วย
ตระกูลเหวินเหรินเช่นเหวินเหรินเอ่าเย่ว์ยังดี เพราะว่าเสี่ยวเป่าในบัดนี้ยังเด็กมาก แต่ตอนที่พวกเขาได้เจอหรงมั่ว ฝ่ายหลังมีอายุสี่ห้าขวบแล้ว
ทว่าท่าทางอ่อนโยนและเชื่อฟังของเด็กน้อยก็ทำให้พวกเขาเอ่ยไม่หยุดปาก “เหมือนมั่วมั่วจริงๆ อี้เอ๋อร์ผยองกว่านี้ กลับกลายเป็นว่ามั่วมั่วตอนเด็กอ่อนโยนเหมือนเสี่ยวเป่า”
“…นั่นน่ะสิ” เด็กน้อยอ่อนโยนเช่นนั้นกลับตัดสินใจเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงแดนสวรรค์เสวียนเทียน ทำให้ปวดใจยิ่งนัก และยิ่งสะเทือนใจ
ครานี้… เนื่องจากการปรากฏตัวของเด็กน้อย ครอบครัวของอวิ๋นจื่อซีตาแดงน้ำตาไหล เหมือนกับสะกิดโดนส่วนที่อ่อนไหวและอ่อนโยนที่สุดของหัวใจ
“ทำ ไม” เสี่ยวหรงเยี่ยนไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าเหตุใดเจอเขาแล้ว คนเหล่านี้จึงไม่ดีใจ กลับเสียใจแทน หรือว่าเป็นเพราะเป่ายังน่ารักไม่พอหรือ
“เสี่ยวเป่า ให้ยายเทียดอุ้มเจ้าหน่อยดีหรือไม่จ๊ะ” เหวินเหรินซู่ซินยื่นมือที่สั่นเทาเล็กน้อยออกไปหาเจ้าตัวน้อย มีน้ำตาและความหวังอยู่ในดวงตา
เสี่ยวหรงเยี่ยนกลับเงยหน้ามองปู่ทวดหวงของเขาเหมือนกับลังเลเล็กน้อย
หรงหวงลูบศีรษะโล้นๆ ของเด็กน้อย อธิบายว่า “ท่านคือท่านแม่ของย่าทวดซีของเจ้า”
เมื่อได้ยินดังนั้น เจ้าตัวน้อยก็ยื่นมืออวบอ้วนออกไป โถมตัวเข้าหาเหวินเหรินซู่ซิน “ยาย เทียด..”
“จ้า” น้ำตาของเหวินเหรินซู่ซินกลั้นไว้ไม่อยู่อีกต่อไป มันไหลลงมาจนทำให้ศีรษะน้อยๆ ของเด็กน้อยเปียกอีกครั้ง เจ้าตัวน้อยปิดศีรษะของตนไว้ด้วยสัญชาติญาณอย่างงงงัน
อวิ๋นอีหมิงควบคุมอารมณ์ได้ เขาปลอบภรรยา “ซู่ซินหยุดร้องได้แล้ว เสี่ยวเป่าตกใจ เสี่ยวเป่าไม่ได้กล้าหาญเช่นนั้นนะ อย่าทำให้เขาตกใจเลยนะ”
“ใช่ๆ ข้าผิดเอง พี่หมิงพี่อุ้มเด็กน้อย ข้าขอเช็ดน้ำตาก่อน” เหวินเหรินซู่ซินพยายามควบคุมอารมณ์ของตนเองอย่างรู้สึกผิด แต่เมื่อน้ำตาไหลลงมาแล้วก็ยากที่จะควบคุมจริงๆ
ดีที่อวิ๋นอีหมิงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาให้นางและพูดว่า “ไม่ร้องนะ ทุกอย่างดีแล้ว”ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
“เจ้าค่ะ” เหวินเหรินซู่ซินพยักหน้า ค่อยๆ หยุดน้ำตาได้
เด็กน้อยจึงพูดอย่างหน่อมแน้มว่า “ดี ไม่ร้อง”
หัวใจของเหวินเหรินซู่ซินอ่อนยวบทันที น้ำเสียงทั้งเบาและอ่อนโยน “ไม่ร้องๆ ยายเทียดไม่ดีเอง ทำเอาเสี่ยวเป่าของเราตกใจ”
“ไม่ขอรับ…” เยี่ยนเสี่ยวเป่าบอกว่าตนเองไม่ได้ตกใจและยังยิ้มพูดว่า “ดี…”
เจ้าตัวน้อยที่ชอบยิ้มเช่นนี้ กลับทำให้ทุกคนตาร้อนผ่าวอีกครั้ง พวกเขาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงมั่วมั่วตอนเด็ก
“เสี่ยวเป่าแตกต่างจากนายน้อยมาก นายน้อยสำรวมมาก ไม่ยิ้มง่ายๆ เหมือนกับนายน้อยมากกว่าจริงๆ” ฝูเหอทอดถอนใจ
ครั้งนี้เขาเป็นตัวแทนของลูกน้องอวิ๋นจื่อซีติดตามคุณชายสี่ไปร่วมงานเลี้ยงเฉลิมฉลองสี่รุ่นของนายท่านพร้อมกับตระกูลเหวินเหรินและตระกูลอวิ๋น
จะว่าไปแล้วเขาก็โชคดี บังเอิญกลับค่ายหมอเทวดา คนที่เหลือบางคนจำศีล บางคนออกไปทัศนาจร ทำให้เขาได้โอกาสเป็นตัวแทนไป ไม่ต้องจับฉลากหรือประลองกันเลย ดังนั้นแล้วฝีมือน่ะสำคัญมาก เพราะเขาทำนายได้ว่าช่วงนี้จะมีเรื่องมงคลเกิดขึ้นจึงเร่งเดินทางกลับมา บังเอิญเจอกับคุณชายสี่ที่กลับมาพาคนไปพอดี
ขณะที่ฝูเหอทอดถอนใจ เด็กน้อยก็ถูกส่งต่อไปหลายทอด เขากำลังถูกญาติมากมายทั้งอุ้ม หยิกและลูบ ทำเอาใบหน้าเขาแดงไปหมด
โชดดีที่เด็กน้อยอารมณ์ดีจึงไม่ได้ร้อง ยังปล่อยให้บรรดาญาติๆ ทั้งหยิกและกอด หากเป็นท่านพ่อเขาเมื่อตอนเด็กที่มีอารมณ์รุนแรง คงขัดขืนไปนานแล้ว
หรงซีที่เห็นดังนั้นก็อดทอดถอนใจไม่ได้ รู้สึกตนเองไม่ได้โดดเดี่ยว คิดถึงตอนที่เขาเป็นเด็กก็เคยถูกจับเล่นเช่นนี้เหมือนกัน โชคดีที่ตอนนี้โตแล้ว บรรดาญาติๆ ก็ยับยั้งชั่งใจได้ มิเช่นนั้น…
หรงซีหนังตากระตุก พยายามดึงตนเองออกมาจากความทรงจำอันเหลือทนออกมาและถามท่านพ่อเขาว่า “เสี่ยวเป่าอารมณ์ดีจริงๆ ตอนเด็กๆ พี่ใหญ่ก็เป็นเช่นนี้จริงๆ หรือขอรับ”
“อื้ม” หรงหวงพยักหน้า เขาจำได้ว่าครานั้นมั่วมั่วก็เป็นเช่นนี้ แม้อันที่จริงในใจจะต่อต้าน แต่กลับรู้ว่าเหล่าญาติๆ ล้วนรักและเอ็นดูเขาจึงปล่อยให้พวกเขา ‘นวด’
“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ” หรงซีจินตนาการไม่ออก “ข้าคิดว่าพี่ใหญ่ตอนเด็กๆ จะเย็นชา ไม่ยอมให้ใครจูบหรืออุ้ม คิดว่าน่าจะไม่ต่างจากอี้เอ๋อร์มาก”
“อี้เอ๋อร์เองก็ชอบ เขาแค่หยิ่งยโส รักในศักดิ์ศรีมากกว่า” หรงหวงอธิบาย
หรงซีหัวเราะ “จริงตามนั้น” ตอนเด็กๆ อี้เอ๋อร์เล่นกับพวกเขา ปากบอกว่าไม่เอา แต่อันที่จริงสนุกมากที่ได้เล่น
แน่นอนว่าหากอี้เอ๋อร์รำคาญจริงๆ เขาไม่ยอมอดทนฟังใครแน่ โมโหก็คือโมโห แตกต่างจากสภาพในบัดนี้มาก
“ท่านพ่อ เคราะห์ของข้าจะดีกว่าอี้เอ๋อร์หรือไม่” หรงซีถาม หวังเพียงว่าตอนไปผ่านด่านเคราะห์เป็นอย่างไรกลับมาก็เป็นเช่นนั้น ถึงอย่างไรหากนิสัยเปลี่ยนไปมากย่อมหมายถึงการผ่านความยากลำบากมามากมาย
หรงซีคิดว่านิสัยของตนเองดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องแก้ไข แบบนี้ก็ดีแล้ว ทว่า…
“พูดยาก” หรงหวงกล่าวเสียงขรึม “เจ้าพลาดโอกาสครั้งแรกไปเพราะความขี้เกียจ ครั้งที่สองคงไม่ดีเช่นนี้แล้ว แน่นอว่าหากเจ้าเลื่อนออกไปครั้งที่สามความยากก็จะมากขึ้นร้อยเท่า
นอกจากนี้ เนื่องจากเจ้ามีชะตากรรมเดียวกับแฝดอีกสองคนของเจ้า ครานี้เจ้าทำตัวเองตกที่นั่งลำบากเท่ากับว่าทำพวกเขาตกที่นั่งลำบากด้วย ข้าเชื่อว่าพวกเขาคงต้องมาคุยกับเจ้า เจ้าเตรียมตัวให้ดีแล้วกัน”
“เฮ้ย” หรงซีอดพ่นคำหยาบไม่ได้ “ท่านพ่อ ท่านอย่าหักหลังข้านะ”
“ฮึ” หรงหวงที่ยิ้มอย่างเยือกเย็นเหลือบตามองบุตรชายขี้ขลาดทีหนึ่ง ดูเย็นชามาก “ข้าหักหลังเจ้าแน่นอน อย่าคิดว่าโชคจะช่วย”
หรงซี “…” ท่านพ่อคนนี้ใจดำเกินไปแล้ว อยากเปลี่ยนพ่อ
ในขณะที่หรงซีโต้ตอบกับท่านพ่อ เด็กน้อยก็ดิ้นรนออกมาจากฝูงชน โถมตัวมาทางนี้ “ปู่ ทวด… อุ้ม เป่า…” น่ากลัวเกินไปแล้ว หน้าของเป่าถูกจูบจนเจ็บไปหมด
น่าเสียดายที่เด็กน้อยที่ร้องขอความช่วยเหลือ นอกจากจะไม่สามารถไปอยู่ในอ้อมอกของปู่ทวดหวงได้สำเร็จ ฝ่ายหลังยังหลบเขา ทำหน้ารังเกียจ “สกปรก”
เสี่ยวหรงเยี่ยนที่เนื้อตัวมีแต่กลิ่นน้ำลาย “…”
“ฮ่าๆๆๆ” ฝูเหอที่รับเจ้าตัวน้อยไว้ มือข้างหนึ่งเสียบพัดลงไปที่เอว อีกข้างหนึ่งหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดหน้าและตัวให้เขา
เสี่ยวหรงเยี่ยนที่ถูกรังเกียจเดิมทีหน้ายังบูดบึ้ง แต่หลังจากถูกเช็ดแล้ว เขาก็มองไปที่ฝูเหออย่างงุนงง ดวงตากลมโตของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “ปู่ น้อย อีกหรือ”
“ไม่ใช่ ข้าคือตาของเสี่ยวเป่า ตาฝูเหอ” ฝูเหออธิบายพลางเช็ดเด็กน้อยจนสะอาด
“ตา” เสี่ยวหรงเยี่ยนเรียกด้วยเสียงหน่อมแน้มและรีบพูดว่า “ไม่จูบ อีกนะ”
พรวด ฝูเหอที่หัวเราะขึ้นมาพยักหน้า “ไม่จูบ”
เสี่ยวหรงเยี่ยนโล่งอก เขากอดตาท่านนี้ไว้อย่างเหน็ดเหนื่อย ท้องน้อยๆ ของเขากลับร้อง จ๊อกๆ ขึ้นมา แต่เขากลับหาปู่ทวดหวงของเขาไม่เจอ ได้แต่พิงแผ่นอกของฝูเหอ
ฝูเหอถามว่า “เสี่ยวเป่าหิวแล้วหรือ”
“ไม่” เสี่ยวหรงเยี่ยนตอบอย่างโมโห จู่ๆ ก็นึกบางอย่างขึ้นได้ เขาลุกขึ้นล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าของตนเอง จากนั้นเขาก็หยิบขนมชิ้นหนึ่งออกมาได้ตามคาด เขาจึงหันไปมองปู่ทวดหวงพลางกินขนม ท่าทางเหมือนกับกำลังบอกว่า เป่าจะไม่สนใจปู่ทวดอีกแล้ว
“ฮ่าๆๆๆ…” เมื่อเหวินเหรินเอ่าเย่ว์เห็นถึงตรงนี้ก็หัวเราะด้วยเจตนาดี
หรงหวงลูบศีรษะของเจ้าตัวน้อยอย่างไม่สบอารมณ์นัก จากนั้นก็เรียกหลงตี้เข้ามา “ไปเถอะ ไปหาภรรยาของอี้เอ๋อร์และครอบครัวของภรรยาอี้เอ๋อร์”
“ไป” ทุกคนขึ้นไปบนหลังหลงตี้เพื่อไปยังแดนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า
ระหว่างทางเด็กน้อยลืมไปอย่างรวดเร็วว่าตนเองยังโกรธปู่ทวดหวงอยู่ เขายังคงกลับไปกินขนมในอ้อมอกของป่ทวดหวงและยังหัวเราะอย่างมีความสุข
หรงซีทอดถอนใจอีกครา หากเป็นอี้เอ๋อร์ คงไม่ได้ง้อง่ายๆแบบนี้
ผ่านไปเพียงครู่หนึ่งก็มาถึงเขตแดนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าแล้ว หรงหวงกลับพบว่าแดนสวรรค์ยังคงขาดบางอย่างไป แต่คืออะไรนั้นเขาเองก็พูดไม่ถูก แต่ก็รู้สึกขาด ‘อะไร’ บางอย่างไปจริงๆ
ทว่าเขาไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้กับใคร เพียงแค่ครุ่นคิดว่ากลับไปจะบอกภรรยาอี้เอ๋อร์
และทันทีที่พวกเขามาถึงสำนักชางอู๋อย่างเชื่องช้า ครอบครัวของเยี่ยเชียนหลีก็มาถึงสักพักใหญ่แล้ว ทว่า…
“โอ๊ย”
เสียงร้องโอดโอยกลับดังขึ้นจากในสำนักชางอู๋ ฟังจากเสียงแล้ว…
ฝูเหอพวกเขาจำได้ “ผีผี?”
หรงซีหนังตากระตุก เขากำลังคิดว่าหรือว่าที่เขาไม่ได้ลงไปผ่านด่านเคราะห์ได้ส่งผลต่อผีผีแล้ว?