“อ้ะเนะเนะ!” เสียงเล็กๆ บ่งบอกถึงความไม่พอใจดังขึ้นทันที เขาเอื้อมสองมือเล็กๆ ‘คว้า’ ใบหน้าท่านแม่คนงามของตน เหมือนต้องการจะใช้มือบังหน้าไว้ไม่ให้มอง
ซึ่งนั่นทําให้เยี่ยนอวี๋ที่กําลังจะหันไปมองอินหลิวเฟิงถูกลูกน้อยดึงดูดสายตาอีกครั้ง และรู้สึกขบขันที่เจ้าตัวเล็กรู้สึกถึงภัยคุกคาม จึงพยายามแสดงพฤติกรรม ‘การครอบครอง’ เพื่อบ่งบอกว่านางเป็นของตน “เจ้ารู้จัก ‘หวงของ’ ด้วยหรือ”
“อ้า!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าร้องตอบเสียงดัง เป็นความหมายว่า ‘แน่สิเขาต้องรู้จักอยู่แล้ว! ท่านแม่คนงามต้องเป็นของข้าเท่านั้น!’
ฮ่าๆ… เยี่ยนอวี๋หัวเราะออกมา อดไม่ได้ที่จะหอมเจ้าตัวนุ่มนิ่มอีกครั้ง น่าชังจริงๆ!
ส่วนเยี่ยนเสี่ยวเป่าผู้น่ารัก ขณะที่ยังถูกหอมอยู่นั้น เขาก็พยายามที่จะกอดท่านแม่คนงามของตน แต่น่าเสียดายที่มือป้อมๆ ของเขาไม่แข็งแรงพอ เยี่ยนอวี๋จึงไม่รู้สึกถึงเรี่ยวแรงอะไรนัก ทว่ากลับเข้าใจว่าเจ้าตัวเล็กนี้พยายามจะกอดนาง หัวใจจากเดิมที่อ่อนนุ่มของเยี่ยนอวี๋ละลายกลายเป็นไอหมอกทันที ซึ่งไอหมอกนั้นได้ลอยขึ้นเบาๆ ทําให้นางรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
แต่เจ้าตัวเล็กรู้สึกว่านั่นยังไม่พอ เขาพยายามใช้เรี่ยวแรงเด็กๆ ของเขาค่อยๆ ยกศีรษะขึ้น จากนั้นถูๆ ไถๆ ไปตามใบหน้าท่านแม่คนงามของตน
เยี่ยนอวี๋ “!”
แววตาของนางเป็นประกาย
หัวใจที่เหมือนหมอกควันพลันเปล่งประกายระยิบระยับประหนึ่งลูกไฟที่อัดแน่นไปด้วยความดีใจจนแทบระเบิด!
ลูกแม่!
รู้จักถูไถออดอ้อนนางแล้วหรือนี่!
“อ้ะเนะเนะ…” เจ้าตัวเล็กยังคงบ่นพึมพำอย่างไร้เดียงสาราวกับว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องจริงจังอยู่
ทว่าเยี่ยนอวี๋ไม่ได้ยินแล้ว! นางกอดกระชับลูกน้อยของนางอย่างมีความสุข รู้สึกเพียงว่าเจ้าตัวเล็กนี้ดูเหมือนจะนุ่มนิ่มและอบอุ่นยิ่งกว่าเดิม
ฟืดฟืด… เยี่ยนอวี๋ที่ดีอกดีใจหอมลูกอีกหลายฟอด
“อ้ะเนะเนะ!” เจ้าตัวเล็กร้องขึ้นอย่างดีใจ ยังยิ้มเผยให้เห็นแผงเหงือกที่ยังไม่มีฟันขึ้น และดูเหมือนจะหันไปยิ้มเหมือนต้องการที่จะยั่วยุอินหลิวเฟิง
น่าเสียดายที่เขายังตัวเล็กอยู่ ท่าทางที่แสดงออกมายังไม่ชัดเจนนัก จึงไม่มีใครสังเกตเห็นความพยายามของเขา คนอื่นๆ จึงเห็นเพียงแค่ว่าแม่ลูกคู่นี้แสดงความรักต่อกันราวกับไม่มีคนนอกอย่างไรอย่างนั้น
“…เอ่อ นังหนูอวี๋” ผู้อาวุโสรองจำต้องเอ่ยเตือนขึ้นว่า “เล่นกับลูกเมื่อใดก็ได้ แต่ตอนนี้…” ยังไม่ทันพูดจบก็ส่งสายตาให้กับเยี่ยนชิง เป็นความหมายว่าให้เขารีบคุยกับบุตรสาวเร็วเข้า!
แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ผู้อาวุโสรองก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ‘การสู่ขอ’ ที่ซวงเสวียนจวินเอ่ยถึงนั้นเป็นเรื่องจริง! ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่เขาไม่เข้าใจ เขาสามารถรอจนกระทั่งทุกอย่างเป็นที่แน่นอนแล้วค่อยไปซักไซ้ไล่เรียงให้เข้าใจภายหลังก็ได้
แม้ว่าเขาอยากจะรู้ตอนนี้! ว่าแม่หนูเยี่ยนจื่ออวี๋รู้จักซวงเสวียนจวินได้อย่างไร และทำให้ซวงเสวียนจวินมีใจให้ได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น เด็กน้อยที่เพิ่งจะอายุครบเดือนคนนี้! เขาคงไม่ได้เป็นบุตรชายของซวงเสวียนจวินหรอกกระมัง มิฉะนั้นจะรีบมาสู่ขอหรอกหรือ
อย่างไรก็ตาม ในใจของผู้อาวุโสรองเต็มไปด้วยความสงสัย! ทว่าบัดนี้เขาต้องแสดงตนเป็นผู้อาวุโสที่สำรวมต่อไปก่อน มิอาจบุ่มบ่าม และกระทำการอันใดให้เป็นที่ดูหมิ่นได้ อย่างไรเสียก็ต้องสงวนท่าทีเอาไว้
และเยี่ยนชิงผู้ซึ่งถูกเตือนสติขึ้นมา เขาอยากแกล้งเอาหูทวนลมจริงๆ ถึงอย่างไรเขาไม่เพียงแต่ไม่ต้องการให้ลูกสาวแต่งงานเข้าไปอยู่ในราชสำนักเท่านั้น แต่ยังไม่คิดที่จะให้ลูกสาวแต่งงานไปยังเมืองโยวตูด้วย ดังนั้นเขาจึงกล่าวด้วยท่าทีจริงจังว่า “เมื่อครู่เสี่ยวเป่าเพิ่งตกอกตกใจ ต้องปลอบใจกันเสียก่อน เรื่องนี้ยังไม่รีบร้อนนัก”
ผู้อาวุโสรอง “…”
“กล่าวถูกต้องแล้ว” ผู้อาวุโสเก้าชอบคําตอบอย่าง ‘มะนาวไม่มีน้ำ’ ของเยี่ยนชิงนัก “ซวงเสวียนจวินเดินทางมาไกล หยุดพักเสียก่อนมิดีกว่าหรือ”
อินหลิวเฟิง “…”
สถานการณ์ผิดจากที่เขาคาดไว้โดยสิ้นเชิง!
เหตุใดวีถีของสำนักชางอู๋ถึงได้แปลกเช่นนี้!
เขาเริ่มรู้สึกประดักประเดิดจริงๆ…
โชคดีที่ในที่สุดเยี่ยนอวี๋ก็เอ่ยปากขึ้นว่า “ซวงเสวียนจวิน? ข้าพอจะนึกออกแล้วว่าเจ้าเป็นใคร”
“โชคดีนัก!” อินหลิวเฟิงถอนหายใจโล่งอก นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเหน็ดเหนื่อยที่ต้องสื่อสารกับหญิงสาว โดยเฉพาะแม่นางโฉมงามผู้นี้ นางสามารถเพิกเฉยต่อความหล่อเหลาและความสง่างามของเขาไปโดยสิ้นเชิง ซึ่งรวมไปถึงฐานะและอำนาจของเขาด้วย
หรือว่านางจะชอบชีหลางแห่งตระกูลกู้จริงๆ?
อินหลิวเฟิงเริ่มกังขาในเสน่ห์ของตน
องครักษ์ชุดดําผู้นิ่งเงียบมาตลอดเริ่มเห็นเค้าลางอะไรบ้างแล้ว แค่เริ่มต้นยังมีลางไม่ดี ต่อไปเกรงว่าจะยากยิ่งขึ้นไปอีก
“ซวงเสวียนจวินเชิญเจ้าค่ะ” เม่ยเอ๋อร์ทําหน้าที่เป็นผู้นำทางที่ดี โดยพาคนที่คุณหนูใหญ่อนุญาตแล้วไปยังหอเจ้าสำนัก
แม้ว่าเยี่ยนชิงจะไม่เต็มใจให้ผู้ที่เปรียบเสมือนสุนัขจิ้งจอกเข้าไปด้านในห้อง แต่บุตรสาวต้องการจะต้อนรับแขก เขาจึงทำได้เพียงรีบตามไปติดๆ เท่านั้น แต่ก่อนที่เขาจะเริ่มเดินออกไปนั้น ก็ยังไม่ลืมที่จะจัดการเรื่องที่สมควรทำให้เรียบร้อยเหมาะสม
ผู้อาวุโสเก้ามองหาโอกาสครั้งแล้วครั้งเล่าที่จะบอกให้เม่ยเอ๋อร์ปล่อยเยี่ยนอู้ที่หมดสติ แต่น่าเสียดายที่เขาไม่สบโอกาสเหมาะที่จะเอ่ยปากบอก คงทำได้เพียงอดทนไปก่อน
แม้ว่าเขาจะอดทนเพียงใด ผู้อาวุโสรองก็พอจะมองออก หลังจากที่ทุกคนออกไปหมดแล้ว เขาก็เอ่ยเตือนขึ้นว่า “น้องเก้า ข้ารู้ว่าเจ้าอยากสนับสนุนเยี่ยนอู้มาโดยตลอด แต่ตอนนี้ทุกอย่างได้พิสูจน์แล้วว่าเยี่ยนชิงเป็นประมุขสำนักชางอู๋ได้อย่างดี ข้าหวังว่าเจ้าจะเลิกแสดงท่าทีอันเป็นปรปักษ์ มิฉะนั้นหอผู้อาวุโสจะลงโทษเจ้า”
“พี่รอง…” ผู้อาวุโสเก้าไม่พอใจ “ชิงถังยังมีคุณค่ากว่าเยี่ยนจื่ออวี๋มากนัก! ข้า…”
“เช่นนั้นหรือ” ผู้อาวุโสรองตัดบทผู้อาวุโสเก้า และกล่าวยืนกรานว่า “ข้าไม่คิดเช่นนั้น! น้องเก้า เจ้าลองนึกถึงรถม้าวิหคสุริยัน วิชาปรุงยา การเปลี่ยนแปลงของนาง และอย่าลืมนึกถึง ซวง! เสวียน! จวิน!”
“หมายความว่าอย่างไร” ผู้อาวุโสเก้าชะงัก
“เจ้าคิดว่าเยี่ยนจื่ออวี๋คนนี้เป็นลูกที่เยี่ยนชิงเลี้ยงดูมาอย่างนั้นหรือ” ผู้อาวุโสรองถามกลับ
ผู้อาวุโสเก้าเบิกตากว้างด้วยความตกใจ “ความหมายของพี่รองคือ…”
“ข้าไม่ได้หมายความว่าอะไร ข้าแค่อยากให้เจ้าตระหนักว่า เจ้าได้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับสองแล้ว เมื่อมีเวลาก็หมั่นบำเพ็ญเพียรถึงจะเป็นประโยชน์ต่อเจ้า” ผู้อาวุโสรองกล่าวอย่างแฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้ง
หัวใจของผู้อาวุโสเก้าเต้นไม่เป็นจังหวะ ความคิดบางอย่างแวบเข้ามาชั่วขณะ! หรือว่าเรื่องที่เขาสนิทชิดเชื้อกับสำนักคุนอู๋ได้ล่วงรู้ไปถึงหูของผู้อาวุโสรองแล้ว แต่เมื่อเขากลับมาคิดดูก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้!
อย่างไรก็ตาม ขณะที่เขากำลังปรับจิตใจให้สงบอยู่นั้น ผู้อาวุโสรองก็ออกไปแล้ว ปล่อยให้เขายืนตกใจอยู่ที่เดิม หลังจากนั้นอีกครู่ใหญ่ เขาจึงเดินออกจากห้องโถงไป
และในเวลาเดียวกัน อีกคนที่หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะเช่นเดียวกัน! อินหลิวเฟิงผู้ตกใจปนสงสัย เขากำลังมองสตรีผู้งดงามพร่างพรายตรงหน้าผู้นี้อย่างมึนงง “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
“…”