“ใช่ขอรับ ข้าน้อยก็ไม่ทราบว่าบุตรสาวคนรองของเยี่ยนฉี่ซานหลุดจากการควบคุมตัวในครั้งนี้ได้อย่างไร หรืออาจเป็นเพราะการด่วนจับกุมนาง” ในขณะที่พ่อบ้านเฒ่าปาดเหงื่อ ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรแปลกๆ พิกล
เยี่ยนชิงพยักหน้า “เมื่อนางออกจากเรือนพักม้าก็ให้คุมตัวทันที” แม้ว่าเขาจะไม่คิดว่าเด็กนั่นจะก่อเรื่องวุ่นวายอะไรได้อีก แต่การตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลมก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
เมื่อมองจากเหตุการณ์ปัจจุบัน เยี่ยนชิงแน่ใจแล้วว่าคนของฝ่ายเยี่ยนอู้ได้เตรียมการมากมายเพื่อโค่นล้มเขา แม้กระทั่งบุตรชายของเขาคนนี้ที่ถูกเอาไปปล่อยในถิ่นทุรกันดารยังถูกลอบกัดกลับมาได้อีก
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เยี่ยนชิงจึงมองไปที่ใบหน้าไร้สีเลือดของบุตรชายคนรอง ทว่าหลังจากที่พ่อบ้านเฒ่าจากไปแล้ว เขากลับพูดสิ่งที่น่าตกใจว่า “ท่านพ่อ ข้าสงสัยว่าในสำนักเรามีคนที่สนิทชิดเชื้อกับสำนักคุนอู๋”
“หืม?” แววตาคมกริบของเยี่ยนชิงพลันฉายวาบ “อย่างไรคุนอู๋ก็เป็นผู้นำของทั้งเจ็ดสำนัก ในสำนักเรามีคนที่สนิทชิดเชื้อกับคนของคุนอู๋ก็ไม่แปลก”
“ท่านพ่อขอรับ ท่านก็รู้ว่าข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” เยี่ยนจื่อเสากำหมัดอย่างไม่พอใจ “ท่านรู้ว่าที่ข้าพูดถึงไม่ใช่ความสนิทชิดเชื้อธรรมดา”
ประโยคนี้ทําให้เยี่ยนอวี๋ที่กำลังกล่อมลูกน้อยให้นอนหลับถามแทรกขึ้นมา “คนของสำนักคุนอู๋เป็นคนวางยาท่าน?”
“ถูกต้อง!” เยี่ยนจื่อเสาหันไปมองน้องสาวอย่างนึกชมเชย และตอบโดยไม่ปกปิด “ความจริงก่อนที่ข้าจะถูกวางยา ข้ากำลังติดตามร่องรอยของมนุษย์วานรหวาไหว”
“พบมนุษย์วานรหวาไหวจริงหรือ” เยี่ยนอวี๋ประหลาดใจเล็กน้อย
“ข้าไม่แน่ใจ แต่ที่นั่นมีลมปราณของมนุษย์วานรหวาไหวเข้มข้น ข้ายังสืบจนพบคนของคุนอู๋ และคลำทางจนเกือบจะเข้าไปยังส่วนในของพวกเขาได้แล้ว แต่น่าเสียดายที่ต่อมาข้าก็ถูกลอบทำร้าย และ… เรื่องหลังจากนี้ก็อย่างที่พวกเจ้ารู้กัน” เยี่ยนจื่อเสาไม่มีหน้าเอ่ยถึงเรื่องราวหลังจากนั้น
“ถ้าเช่นนั้น คนของคุนอู๋กำลังลอบหลอมโอสถแปรผันให้กลายร่างเป็นมนุษย์วานรหวาไหว?” เยี่ยนชิงขมวดคิ้วครุ่นคิด รู้สึกไม่เข้าใจ “ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น ราชสำนักให้ความสำคัญกับสำนักคุนอู๋มาก การหลอมโอสถแปรผันกลายร่างเป็นมนุษย์วานรหวาไหวจะกระทบกับอำนาจราชวงศ์ของตระกูลซย่าโฮ่ว ไม่มีประโยชน์ต่อพวกเขาแม้แต่น้อย”
“ข้าเองก็รู้สึกแปลกๆ ถึงได้อยากสืบให้แน่ชัด คิดไม่ถึงว่าจะเสียท่าให้กับเจ้าคนถ่อยอย่างเยี่ยนฉี่ซานได้ ว่าแต่ว่า เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ สาวใช้ข้างกายเจ้าร้ายกาจมาก!” เยี่ยนจื่อเสาไม่เคยลืมท่วงท่าการต่อสู้ของสาวใช้ชุดดำ
“จริงสิ เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ สาวใช้ของเจ้าคนนี้ได้มาจากที่ใดกัน” เยี่ยนชิงก็ประหลาดใจเช่นกัน แม้ว่าเขาจะเคยได้ยินเรื่องผลงานของเม่ยเอ๋อร์มานานแล้ว แต่เพิ่งจะได้เห็นความแข็งแกร่งของเม่ยเอ๋อร์กับตาตัวเอง
“ท่านพ่อมอบให้มาไม่ใช่หรือเจ้าคะ” เยี่ยนจื่ออวี๋ถามกลับ
“หืม?” เยี่ยนชิงอยากจะบอกว่าแม้กระทั่งตัวเขาเองอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสาวใช้คนนี้ด้วยซ้ำ แล้วเขาจะไปหาบุคคลเช่นนี้มาได้อย่างไร แต่เมื่อบุตรสาวไม่อยากบอก เช่นนั้นก็ถือว่าเขาเป็นผู้มอบให้ก็แล้วกัน
“เกิดอะไรขึ้นกับกู้หยวนเหิง เสี่ยวเป่าด้วย…” เยี่ยนจื่อเสามองอย่างไม่รู้จะพูดอะไรดี ถึงจะสามารถอธิบายได้หมด เจ้าตัวน้อยในอ้อมแขนของเยี่ยนอวี๋ก็โกรธไม่ลง และเขารู้สึกว่าเด็กคนนี้ดูไม่เหมือนลูกของเจ้าคนถ่อยอย่างกู้หยวนเหิงจริงๆ
หรือว่า…
เยี่ยนจื่อเสาถามอย่างไม่ใช้สมอง “เสี่ยวเป่าเป็นลูกของซวงเสวียนจวิน?”
“…” เยี่ยนอวี๋ปรายตามองพี่ชายอย่างจนใจ “พี่ลองดูสิว่าเหมือนเขาหรือไม่”
เยี่ยนจื่อเสาทำจริง! เขาพินิจมองเยี่ยนเสี่ยวเป่าอย่างตั้งอกตั้งใจ พลางนึกถึงใบหน้าของซวงเสวียนจวิน จากนั้นก็พูดอย่างเสียมิได้ว่า “ละม้ายคล้ายกันจริงๆ หน้าตาดีด้วยกันทั้งคู่”
“…เช่นนั้นหรือ” เยี่ยนอวี๋เริ่มสับสน ถึงอย่างไรนางก็ไม่รู้ว่าพ่อของเสี่ยวเป่าคือใคร ทว่านางกลับต้องตะลึงงัน
เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่น่าจะหลับอยู่ ได้ฝืนลืมตาคู่โตตื่นขึ้นอย่างงัวเงีย เสียงเล็กๆ ดังขึ้นอย่างไม่พอใจ “อ้ะเนะเนะ!” ไม่ใช่เสียหน่อย
เยี่ยนจื่อเสาอึ้งไปสักพัก เมื่อรู้ตัวก็หันไป พบว่าเจ้าตัวน้อยกำลังจ้องเขาเขม็ง ทั้งๆ ที่ง่วงนอนมากเช่นนั้น ช่างน่ารักน่าชังเสียจริง! เขาหัวเราะลั่นอย่างกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ “ฮ่าๆ แต่พอดูดีๆ ก็ไม่ค่อยเหมือน เสี่ยวเป่าดูดีกว่าเยอะ!”
“อ้ะเนะเนะ…” เยี่ยนเสี่ยวเป่าพอใจ ไม่นานนัก เขาก็ฝืนลืมตาไม่ไหวจึงหลับตานอนต่อ
ฮ่าๆๆ… เยี่ยนจื่อเสาหัวเราะจนตัวงอ และพูดอย่างกระตือรือร้น “เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ ให้ข้าอุ้มหลานชายข้าหน่อยเถิด!”
“ถอยไปเลย! พ่อเจ้ายังไม่ได้อุ้มเลย เจ้ารอไปก่อน” เยี่ยนชิงโกหกอย่างไม่อาย ทั้งยังมองหน้าเยี่ยนอวี๋ตาปริบๆ
เยี่ยนจื่อเสาที่ถูกเบียดทำได้แค่ลูบจมูก ยืนจ้องตาเป็นมันรอคอยโอกาสที่จะได้อุ้มต่อ เนื่องจากอารมณ์ดีทำให้เขามีสีหน้าแช่มชื่นมีสีเลือดขึ้นมาไม่น้อย แต่เยี่ยนอวี๋รู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงภาพลวงตา ยามนี้เยี่ยนจื่อเสาจะต้องเจ็บปวดทรมานมากแน่นอน เพราะระบบโลหิตของมนุษย์วานรหวาไหวจากการหลอมโอสถแปรผันให้กลายร่างนั้น จะกลืนกินเลือดเนื้อของเยี่ยนจื่อเสา และพลังการรักษาที่นางส่งเข้าไปจะยังคง ‘ต่อต้าน’ จนกว่าเขาจะแปรสภาพอย่างสมบูรณ์ หรือจนกว่าจะรักษาจนหายสนิท
…
ณ เรือนจ่างสื่อ
ครั้งแรกที่กู้หยวนเหิงได้ยินว่าซวงเสวียนจวินมา เขาคิดว่าคุณชายผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นคุณชายเจ้าสำราญเหมือนพี่ใหญ่ของเขาคนนี้จะมาสืบถามเกี่ยวกับเรื่องของเยี่ยนจื่ออวี๋ เพราะเขาได้ยินมาว่าซวงเสวียนจวินไปสู่ขอนางถึงสำนักชางอู๋
อย่างไรก็ตาม หลังจากทักทายอินหลิวเฟิงสองสามคำแล้ว เขาก็ถามขึ้นว่า “ชีหลาง จากที่ข้ารู้มา ในระยะหนึ่งปีมานี้ เจ้าอยู่ที่เขตชางอู๋มาโดยตลอด”
กู้หยวนเหิงประหลาดใจ แต่เขาก็ยังพยักหน้าและพูดว่า “ใช่ขอรับ”
“เจ้าคงเคยได้ยินว่าต้าซือมิ่งก็มาเขตชางอู๋เช่นกัน” อินหลิวเฟิงถามอีกครั้ง
“ต้าซือมิ่ง?” กู้หยวนเหิงงุนงงจริงๆ “ซวงเสวียนจวิน ท่านหมายถึงคุณชายหรง ต้าซือมิ่งของราชสำนัก อวี้หลินจวินผู้ซึ่งเป็นอันดับหนึ่งในสี่สุภาพบุรุษอย่างนั้นหรือ”
“…ใช่” อินหลิวเฟิงไม่อยากยอมรับอวี้หลินจวินอะไรนั่น แต่เขาก็รู้ด้วยว่าคนผู้นั้นไม่สนใจเรื่องพรรค์นี้เลย ซึ่งไม่เหมือนกับสุภาพบุรุษทั้งสาม ฉายาอวี้หลินจวิน…ชายอันดับหนึ่งรูปงามดั่งหยกนี้มิได้ตั้งขึ้นมาเอง หากแต่เป็นคนอื่นบังคับแต่งตั้งขึ้นให้
อินหลิวเฟิงผู้ซึ่งได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา ยอมรับจริงๆ ว่าต้าซือมิ่งผู้มีอำนาจของราชสำนักท่านนี้ ความรู้สึกแรกที่มีต่อเขาคือ ‘ยามนั่งอยู่เหนือผู้คนช่างงามบริสุทธิ์ราวกับหยก กริยาวาจาความรู้เลิศล้ำ ไม่เป็นสองรองผู้ใด’