ตอนพิเศษ 29 อวี๋เอ๋อร์ติดสามี วันเกิดของเป่า
เนื่องจากสีหน้าของแอนนาดูจริงจังและเคร่งขรึมมาก เทียนตี้อดเป็นกังวลไม่ได้ แต่กลับเห็นแอนนาหยิบไข่ฟองหนึ่งออกมา
เทียนตี้ชะงัก “น้องไก่?”
“อื้ม” แอนนาพยักหน้า “ก่อนหน้านี้มันยังดีๆ อยู่เลย เมื่อครู่นี้ดูอีกทีกลับกลายเป็นไข่อีกครั้ง นายท่านรู้หรือไม่ว่าเป็นเพราะเหตุใด จะเป็นอันตรายหรือไม่”
หรงอี้ไม่ทันตอบ เทียนตี้ที่มีสีหน้าไม่สู้ดีนักรู้สึกผิด “ความผิดข้าเอง ทำเอาน้องไก่ในวันนี้กลายเป็นไข่ และยังหดเล็กลงเหลือตัวน้อยเท่านี้ด้วย”
หรงอี้ยังไม่ได้พูดอะไร เขารับไข่ไก่ใบน้อยมาจากมือของแอนนา ผ่านไปครู่หนึ่ง…
หรงอี้คืนไข่ไก่ใบน้อยให้แอนนา “ไม่เป็นอะไร สภาพไม่ต่างจากก่อนหน้านี้ กำลังเลื่อนขั้นเช่นกัน”
แอนนากลับรู้สึกประหลาดใจ “มันสามารถเลื่อนขั้นได้โดยที่สติปัญญายังไม่ฟื้นคืนหรือ”
“บางทีหลังจากเลื่อนขั้นแล้ว ความทรงจำอาจจะค่อยๆ ฟื้นคืน” หรงอี้คาดเดา
แอนนาจึงพยักหน้า “หากเป็นเช่นนี้ คงเป็นชะตากรรมของมัน จะว่าไปแล้วเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะช่วงนี้สวรรค์เก้าชั้นฟ้าสั่นไหวเป็นประจำหรือไม่”
“อืม” หรงอี้พยักหน้า “เจ้าถามเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์เรื่องรายละเอียดได้”
“เจ้าค่ะ” แอนนาเก็บไข่ไก่ใบน้อยกลับไปในกระเป๋า ครั้นกำลังจะไปถามเยี่ยนอวี๋ นางก็ได้ยินเสียงที่นางกลัวและอยากจะหลีกเลี่ยงที่สุด “แม่นางแอนนา”
แอนนา “…”
ช่างหลอกหลอนไปทุกที่เสียจริงๆ
เหตุใดก่อนหน้านี้นางจึงรีบจากไปเร็วนัก ก็เพราะคนๆ นี้อย่างไรเล่า
แต่จะทำอย่างไรได้ นางจำเป็นต้องกลับมาและยังต้องอยู่อีกครู่หนึ่งด้วย
เมื่อแอนนาคิดถึงสถานการณ์ของตนเองก็ปวดศีรษะ
“ฮ่า” เทียนตี้กลับหัวเราะและยังพูดเชิงโน้มน้าวว่า “ท่านลุงรองหรงไม่เลวเลย ผู้อาวุโสแอนนาไม่ลองพิจารณาดูหรือ”
แอนนาแค่นเสียง ‘ฮึ’ ใส่เทียนตี้ เมื่อหรงเจ๋อเข้ามาใกล้ จู่ๆ นางก็จับมือของเทียนตี้ไว้
ครานี้เอง… เทียนตี้รู้สึกขนหัวลุกไปหมด
หรงเจ๋อที่ปรากฏกายขึ้น จุดสนใจของเขาย่อมไปอยู่ที่มือของเทียนตี้ที่แอนนาจับไว้
หรงอี้มองทั้งสามคน มั่นใจว่าเจ้าเทียนตี้ต้องถูกจัดการแน่ ไม่ต้องเปลืองแรงเขาแล้ว เขาจึงถอนตัวออกมาอย่างยินดี
…
ในเดือนจันทรคติที่สิบสองของปีสี่สิบสองของหยวนหยิน ยังคงเป็นฤดูที่มีหิมะตกหนัก
เมื่อเยี่ยนอวี๋เดินออกมาจากในห้อง ยื่นมือออกไปจับเกล็ดหิมะที่ร่วงหล่นคล้ายขนห่าน ทำให้นางนึกถึงสิ่งที่นางเห็นเมื่อนางนำลูกตัวน้อยของนางกลับไปที่สำนักชางอู๋
ในครานั้น นางจำชาย ‘คนนั้น’ ที่ทำให้นางให้กำเนิดลูกไม่ได้แล้วและยังเกือบจะเข้าใจผิดว่าพ่อของเด็กคือกู้หยวนเหิงที่ไม่มีอะไรดีสักอย่างคนนั้น แม้กระทั่งจนถึงวันนี้ อันที่จริงนางเพิ่งจะจำทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอดีตได้ จำสิ่งที่พวกเขาได้ผ่านและรายละเอียดต่างๆ เมื่อพวกเขาเจอกันครั้งแรก นอกจากการคลอดบุตรในครานั้น
เรื่องนี้ทำให้เยี่ยนอวี๋เดินออกมาจากความทรงจำไม่ได้ จนเมื่อนางเห็นสามีของนางเดินย่ำหิมะมา นางจึงดึงสติกลับมาได้ และเรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและหวานฉ่ำ “สามี”
“หือ” หรงอี้ที่ขานตอบขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกได้ว่าคำว่า ‘สามี’ ที่ภรรยาเรียกนี้ไพเราะเป็นพิเศษ ใกล้เคียงกับเสียงเคลียเคล้าชิดใกล้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
เยี่ยนอวี๋ที่ไม่รู้เลยว่าเขาคิดไปไกลอีกแล้ว นางวิ่งไปหาสามีของนาง ฝีเท้าเบาสบายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
หรงอี้เห็นดังนี้ก็ยืนนิ่ง มือของเขายื่นไปข้างหน้า เตรียมรับรับเจ้าปลาตัวน้อยที่ถลามาหาเขาอย่างยินดีปรีดา
เยี่ยนอวี๋ที่โถมตัวเข้าไปอ้อมอกของเขาอย่างมีความสุขจริงๆ ก็เรียกอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “สามี”
“อื้ม” หรงอี้กอดเจ้าปลาน้อยตัวนี้ไว้แน่น และยังอุ้มนางขึ้นมาจูบอย่างรักใคร่ ก่อนจะถามว่า “เรียกเพราะขนาดนี้ มีเรื่องอะไรให้ข้าช่วยหรือ”
เยี่ยนอวี๋กอดคอเรียวยาวของเขา ทิ้งน้ำหนักทั้งตัวไว้บนตัวของเขา “จู่ๆ ก็จำได้ว่าเมื่อครั้นต้นปีที่หกของหยวนคัง เจ้าเคยบอกให้ข้ารอเจ้าในห้องนี้”
“เพิ่งจำได้หรือ” หรงอี้ขมวดคิ้วถาม เขาคิดมาตลอดว่าตั้งแต่ที่เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์จำเรื่องราวคืนนั้นได้ นางก็จำทุกอย่างได้แล้ว บัดนี้กลับไม่ใช่เช่นนั้น
เยี่ยนอวี๋คลอเคลียไปมาพูดว่า “เดิมทีข้าคิดว่าข้าจำได้หมดแล้ว ไม่กล้าย้อนคิดถึง และไม่รู้สึกว่ามีตรงไหนแปลก ตอนนี้เพิ่งรู้ว่า ที่แท้เรื่องบางเรื่องอันที่จริงข้าจำไม่ได้
แต่จะโทษข้าก็ไม่ได้ ข้ามีความทรงจำมากมายเช่นนั้น จะไปจำทั้งหมดได้อย่างไร ตอนนี้จำขึ้นมาได้ถือว่าดีมากๆ แล้ว”
หรงอี้ที่หัวเราะเบาๆ ฟังออกว่าเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ของเขากำลังประจบประแจงเขา ดูการอธิบายและข้อแก้ตัวที่มีเหตุมีผลนี่สิ…
ทำเอาเขาใจอ่อน “ใช่แล้ว เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์พูดถูก โทษเจ้าไม่ได้ โทษข้าเองที่ไม่ได้บอกเจ้า”
“ใช่แล้ว” เยี่ยนอวี๋พยักหน้าอย่างจริงจัง
หรงอี้หัวเราะอย่างมีความสุขก่อนจะก้มลงไปจูบเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ที่น่ารักและซุกซนคนนี้ “น่ารักจริงๆ”
หลังจากพลอดรักกันครู่หนึ่ง หรงอี้จึงพาเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ของเขาไปพบญาติคนอื่นๆ
ดังนั้นสองสามีภรรยาคู่นี้จึงเข้างานสายไปมาก แต่ยังไม่ใช่คนสุดท้าย เพราะหรงเจ๋อและเทียนตี้ยังไม่มา แต่แอนนาอยู่ในงานแล้ว
“แม่…” เมื่อตัวเอกตัวน้อยเห็นเยี่ยนอวี๋ เขาก็ทะยานตัวเข้าไปหาทันที
เยี่ยนอวี๋รีบรับเด็กน้อยไว้ และสังเกตเห็นว่า “เสี่ยวเป่าของเราโตขึ้นแล้ว ผมก็เยอะขึ้นด้วย”
“ฮ่า…” เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่ถูกพูดถึงเรื่องที่มีความสุข เขาก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี
เยี่ยนอวี๋ยิ้มตาม ทำเอาทุกคนที่มองพวกเขาสองแม่ลูกอึ้ง
จากนั้นเลี่ยวจงหมิงก็ทอดถอนใจเป็นคนแรก “สมแล้วที่เป็นภรรยาอี้เอ๋อร์ งดงามจริงๆ”
“หากไม่ได้เห็นกับตาตนเอง จินตนาการไม่ออกเลยว่ามีสาวงามวิจิตรเช่นนี้” หนี่ว์ตี้เองก็เห็นด้วย นางคิดว่าบุตรสาวอันเป็นที่รักของตนงดงามมากแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีแม่นางที่งดงามกว่า
“ฮ่าๆๆ…” เยี่ยอู๋จี๋หัวเราะเสียงดัง “อี้เอ๋อร์ เจ้าให้ความสำคัญกับความรักตั้งแต่เด็ก คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องแต่งงานเจ้าจะสู่ขอแม่นางงดงามเช่นนี้กลับมาได้ ใช้ได้นี่”
“ขอบคุณท่านตาที่ชมขอรับ” หรงอี้ที่ไม่ถ่อมตนแม้แต่น้อยยกแก้วสุราขึ้นทำท่าชนแก้วกับเยี่ยอู๋จี๋ที่อยู่ไกลออกไป
เยี่ยอู๋จี๋พูดขึ้นทันทีว่า “เราสองพ่อลูกใช้แก้วสุราดื่มได้อย่างไร เยี่ยนชิงมีถ้วยหรือไม่ ยกถ้วยมา”
“มีขอรับ” เยี่ยนชิงรีบถีบบุตรชายคนเล็กทีหนึ่งให้เขาไปหยิบถ้วยใบใหญ่มา
เยี่ยนจื่อเสารีบไปทันที ผ่านไปไม่นานก็พาคนมาเปลี่ยนแก้วสุราบนโต๊ะประธานเป็นถ้วยใบใหญ่แทน
“ฮ่าๆๆ ดี” เยี่ยอู๋จี๋เทสุราใส่ถ้วยอย่างมีความสุข เขาดื่มหมดถ้วยในคำเดียว
คนอื่นๆ เห็นดังนี้ก็ไม่ยอม ต่างดึงหรงอี้ไปร่วมดื่มด้วย บรรยากาศสนุกสนานครึกครื้น
เยี่ยนอวี๋มองอยู่ครู่หนึ่งก็พูดขึ้นว่า “ผู้อาวุโสทุกท่านอย่ามัวแต่ร่ำสุรา ทานอาหารบ้างสิเจ้าคะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เยี่ยอู๋จี๋ก็ยิ้มพูดว่า “ภรรยาอี้เอ๋อร์เห็นใจอี้เอ๋อร์หรือ”
“ใช่” เด็กน้อยพยักหน้า ทำเอาทุกคนหัวเราะ ทว่า… อวิ๋นจื่อซีผู้จำจุดประสงค์งานเลี้ยงในวันนี้ได้ก็เอ่ยขึ้นว่า “จะว่าไปแล้ว วันนี้ยังเป็นวันสำคัญของเสี่ยวเป่าของเราด้วย ไม่สมควรมัวแต่ดื่มกับอี้เอ๋อร์จริงๆ”
เสี่ยวหรงเยี่ยนได้ยินดังนั้น จู่ๆ ตาก็ลุกวาว “งั้นก็… ดื่มกับเป่าหรือ”
ในขณะที่พูด… เจ้าตัวน้อยยังทำท่าจะโถมตัวเข้าไปที่ถ้วยสุราของท่านแม่เขา เขาได้กลิ่นหอมมานานแล้ว แต่ท่านแม่เขาไม่ให้เขาดื่ม ตอนนี้เป่าดื่มได้แล้วสินะ
ขณะที่คิดเช่นนี้ เจ้าตัวน้อยยิ้มกริ่ม น่าเสียดาย…
“ฝันไปเถอะ” เยี่ยนอวี๋ที่หยิกแก้มของเด็กน้อยเบาๆ ก็ยกถ้วยสุราออกไป
เสี่ยวหรงเยี่ยน “อ้ะ?”
เยี่ยนเชียนหลียื่นนมแก้วหนึ่งให้เจ้าตัวน้อยด้วยรอยยิ้ม “เป่าของเราตอนนี้ยังเด็กเกินไป ยังดื่มสุราไม่ได้ ดื่มนมแทนนะ”
เดิมทีเด็กน้อยไม่พอใจ แต่นมที่ท่านย่าหลีของเขายื่นมามีกลิ่นหอมเช่นกัน เขาจึงยื่นมืออวบอ้วนทั้งคู่ออกไปอย่างไม่ปฏิเสธและกอดนมแก้วนั้นไว้
จากนั้นหรงหวงปล่อยลำแสงสีขาวกลุ่มหนึ่งลอยไปทางเด็กน้อยในครานี้ เห็นได้ชัดว่าในนั้นมีค้อนจิ๋วสีดำเล่มหนึ่ง? ทำเอาเด็กน้อยเบิกตากว้าง “ค้อนค้อน?”
“อืม” หรงหวงพยักหน้าพูดขึ้นว่า “เรียกค้อนของเจ้าออกมาด้วย”
เด็กน้อยเรียกค้อนจิ๋วของตนเองออกมาอย่างเชื่อฟัง จากนั้น…
หึ่ง
ค้อนสีดำของหรงหวงผสานกับค้อนจิ๋วขนาดเท่าบ๊ะจ่างของเด็กน้อยทันที จากนั้นค้อนจิ๋วก็ใหญ่ขึ้นเท่าตัวอย่างรวดเร็ว
เด็กน้อยร้อง ‘ว้าว’ ดวงตาเป็นประกาย “ใหญ่”
เมื่อเขาเอ่ยขึ้น… ค้อนจิ๋วที่มีขนาดเท่าบ๊ะจ่างสองลูกเหมือนกับฟังเข้ารู้เรื่อง มันใหญ่ขึ้นอีกเท่าตัว
“ว้าววว…”
เสี่ยวหรงเยี่ยนตะลึงงัน รู้สึกว่าค้อนของตนเองเก่งกาจขึ้นมาก กำลังคิดจะลองทุบใครสักคนดู บังเอิญกับที่… เทียนตี้กลับมาพอดี
เสี่ยวหรงเยี่ยน ‘โยน’ ค้อนจิ๋วของตนเองออกไปทางเขาทันที
เทียนตี้ “!”
เขาที่รู้สึกได้ว่าตนเองตกเป็นเป้ารู้สึกวูบ
โชคดีที่เยี่ยนอวี๋ห้ามไว้ทัน “เสี่ยวเป่าไม่ได้!”
“ขอรับ…” เสี่ยวหรงเยี่ยนที่จับค้อนจิ๋วของตนเองไว้แสดงให้เห็นถึงพลังการควบคุมค้อนจิ๋วอันไม่ธรรมดาของเขา เขาสามารถสั่งการค้อนจิ๋วได้ตลอดเวลา
ทำเอาเหล่าผู้อาวุโสในงานหนังตากระตุก “เจ้าหมอนี่…” สมแล้วที่เป็นลูกของตระกูลหรง ยังเด็กยังเล็ก ความสามารถไม่ธรรมดาจริงๆ
ในขณะที่ทุกคนทอดถอนใจ หรงหวงจึงถามว่า “นี่คือของขวัญครบขวบของเสี่ยวเป่าที่ปู่ทวดหวงให้ ชอบหรือไม่”
“ชอบขอรับ…” เสี่ยวหรงเยี่ยนตอบอย่างดีใจ ก่อนจะเรียกค้อนกลับมาและยังคิดได้อย่างรวดเร็วว่าเขาสามารถควบคุมให้มันใหญ่ขึ้นหรือเล็กลงได้ด้วย ‘ความคิด’
ใหญ่
ฟิ้ว
เล็ก…
หึ่ง
…
เขาเล่นเช่นนี้อยู่พักใหญ่ รู้สึกสนุกสนานจนไม่สนใจอย่างอื่น อยากเล่นค้อนอย่างเดียว
ทว่าอวิ๋นจื่อซียื่นดอกไม้สีสันสนใจและประกายระยิบระยับให้เด็กน้อยแล้ว “นี่คือของขวัญที่ย่าทวดซีให้เสี่ยวเป่า กินได้นะ มีรสหวาน”
“อ้ะ” ทันทีที่เสี่ยวหรงเยี่ยนเห็นสีและประกายของดอกไม้ก็ดีใจมากแล้ว เมื่อได้ยินว่ากินได้ รอยยิ้มของเขาก็เริ่ม ‘ประหลาด’ เขากัดลงไปทันที รู้สึกถึงความหวานหอมดุจน้ำผึ้ง
“ฮ่า…” เด็กน้อยหัวเราะดีใจ และยังกัดดอกไม้ทีละดอกอย่างรวดเร็ว
หรงมั่วเห็นดังนั้นก็แขวนเครื่องรางให้กับเด็กน้อย ในนั้นมีดวงวิญญาณส่วนหนึ่งของเขา ในเวลาที่จำเป็นมันจะช่วยให้พลังศักดิ์สิทธิ์สี่ประการของเด็กน้อยถูกปลุกตื่น
ส่วนเยี่ยเชียนหลี นางก็ใช้พลังวิเศษของนางทำเครื่องหมายอาณาจักรทั้งปวงลงบนมือของเด็กน้อย สามารถทำให้เด็กน้อยค่อยๆ ค้นพบและเปิดใช้งานพลังพรสวรรค์ของนาง
เด็กน้อยจึงเห็นเครื่องรางระยิบระยับที่แขวนบนหน้าอกของเขา ‘ดอกไม้ดอกน้อย’ หลากสีที่ประทับบนหลังมือ ทำเอาเขาหัวเราะ ‘ฮ่า’ และพูดขึ้นว่า “สวย”
สองสามีภรรยามั่วหลีที่รู้ว่าเด็กน้อยชอบสิ่งใดย่อมให้ของขวัญที่ถูกใจเขาได้
จากนั้นทุกคนก็ทยอยให้ของขวัญเสี่ยวเป่า และส่วนใหญ่ก็ให้สิ่งของที่เปล่งแสงระยิบระยับแบบที่เขาชอบ
เจ้าตัวน้อยรับของขวัญจนมือไม้อ่อน แต่รู้ว่าต้องพูด ‘ขอบคุณขอรับ ขอบคุณ’ ไม่หยุด ทำเอาผู้หลักผู้ใหญ่ที่ให้ของขวัญเขายิ่งรักและเอ็นดูเขา บางคนถึงกับมอบของขวัญล้ำค่าของตระกูลตนให้
“ฮ่า…” เสี่ยวเป่าผู้น่ารักรู้สึกว่ากระเป๋าตนเองจุไม่ลงแล้ว เขาจึงขอกระเป๋าอีกใบหนึ่งจากท่านพ่อเขา เขายิ้มกว้างตลอดทั้งงาน เหมือนกับพระศรีอริยเมตไตรยองค์น้อย
“เจ้าหมอนี่…” ไท่อี้ชายชราน้อยลูบหนวด อดตบหรงอี้ตัวใหญ่เบาๆ ไม่ได้ “ไม่เหมือนกับเจ้าตอนเด็กเลย”
หรงอี้เข้าใจว่า “โง่กว่าเยอะ”
ไท่อี้ชายชราน้อยขบขัน “ว่าเสี่ยวเป่าเช่นนี้ ระวังเขาจะรังควานเจ้าทุกวัน”
“มีปู่น้อยพวกท่านช่วยดูแล ไม่มีเรื่องเช่นนั้นหรอก” หรงอี้คิดว่าส่วนที่ดีที่สุดของเด็กน้อยคนนี้คือเขาไม่กลัวคน ไม่เหมือนเขาตอนเด็ก หากตอนนอนพบว่าพ่อแม่ไม่อยู่ข้างกายก็จะอาละวาด แม้อันที่จริงท่านพ่อท่านแม่จะไม่ได้ไปไหนไกลก็ตาม
เพียงแต่ว่า… เขาเพิ่งคิดเช่นนี้เสร็จ
เจ้าตัวน้อยก็โถมเข้ามาหาเขา “พ่อ…”
“อื้ม” หรงอี้ที่รวบตัวเด็กน้อยไว้กำลังจะถามว่าสนุกหรือไม่
เจ้าตัวน้อยกลับพูดขึ้นเหนื่อยๆ ว่า “หิว พ่อป้อนเป่า กินข้าวข้าว…”
หรงอี้ที่ถูกชี้ตัวยิ้มแหยงๆ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ เขายกข้าวถ้วยหนึ่งของเด็กน้อยออกมาเริ่มป้อนข้าวให้เขา
ไท่อี้ชายชราน้อยหัวเราะ “บอกว่าไม่เหมือนกัน แต่ก็ยังเหมือนกัน ติดพ่อ เจ้าดูสิ แค่กินข้าวยังต้องให้เจ้าป้อน”
“รักพ่อ” เด็กน้อยรีบพูด
ไท่อี้ชายชราน้อยลูบศีรษะของเขาเบาๆ และมองไปที่หญิงงามวิจิตรข้างกายหรงอี้ อดยิ้มตาหยีไม่ได้ “ดีๆๆ”
พระสังฆราชที่ร้องดีไม่หยุดพูดคำในใจของเหล่าอาวุโสที่นั่งอยู่ออกมา ทำให้พวกเขาหยักหน้าตาม “ดีจริงๆ ดีมาก”
ไม่ว่าอี้เอ๋อร์พวกเขาผ่านด่านเคราะห์อะไรมา ผลสุดท้ายย่อมดีเสมอ ครอบครัวใหญ่เช่นพวกเขาได้อยู่ร่วมกันพร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้งและยังมีสมาชิกตัวน้อยเพิ่มมาด้วย
…
อวิ๋นจื่อซีมองดูภาพความสุขเหล่านี้ก็ดึงหรงหวงที่อยู่ข้างๆ ลุกขึ้นมาชูแก้วขึ้นพูดว่า “มา เรามาร่วมอวยพรให้เสี่ยวเป่าราบรื่น ค่อยๆ เติบโต”
“ขอให้เสี่ยวเป่าราบรื่น ค่อยๆ เติบโต” เสียงอวยพรพร้อมเพียงดังไปทั่วสำนักชางอู๋ เป็นการอวยพรและการคาดหวังของเหล่าญาติๆ ที่มีต่อเจ้าตัวน้อย
พวกเขาไม่หวังให้เสี่ยวเป่าเติบโตไวๆ (เพราะมันเป็นเรื่องยากเกินไป) ขอเพียงเด็กน้อยราบรื่น ราบรื่น… คือพรข้อเดียวในใจของพวกเขา
ทว่าทันทีที่เด็กน้อยได้ยินก็ไม่พอใจมาก “ไม่ใช่ เติบโตไวๆ”
“ฮ่าๆๆๆ…” ทุกคนหัวเราะ
เจ้าตัวน้อยหงุดหงิด เขาทำท่าจะปีนขึ้นบนโต๊ะพยายามถกเถียงด้วย แต่เขาเพิ่งยื่นมือออกไปจับโต๊ะก็พบว่ามือน้อยๆ ของตนเองกำลังเปล่งแสง “เนะ?”